top of page
image.png

ไทยต้องพร้อมรับโลกเปลี่ยนแปลง...รับนโยบาย 'ทรัมป์ 2.0' ป่วนโลก


บุคลิกและวิธีคิดของทรัมป์ที่มีอัตตาสูงจะทำให้โลกมีความปั่นป่วนไม่แน่นอน นโยบาย America First และ Trade War ของทรัมป์ ที่หวังโค่นจีน ปรามเม็กซิโก แคนาดา ท้ายสุดแล้วจะเป็นผลเสียย้อนกลับมายังอเมริกาเอง โดยเฉพาะชนชั้นกลางถึงชั้นล่างจะมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ยากลำบากจากราคาสินค้า อาหารที่แพงขึ้น เชื่อ...จีนมีวิธีรับมือทรัมป์ด้วยการสร้างสัมพันธ์ทางการค้า-การเมืองกับพันธมิตรในแถบเอเชียและอาเซียน สำหรับไทยในฐานะเป็นประเทศเล็กและเศรษฐกิจเปิดต้องเตรียมรับมือกับพลวัตของโลก ต้องนำพาไทยโดยเฉพาะธุรกิจเอสเอ็มอีให้เข้าสู่ห่วงโซ่อุปทานของโลกด้วยการพัฒนาทักษะการผลิต ทักษะด้านภาษา ผสานกับจุดเด่นด้านการเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรของไทย รวมทั้งการเตรียมความพร้อมรองรับการย้ายฐานการผลิตจากจีนมายังอาเซียน ที่ตอนนี้ไทยยังเป็นรองเพื่อนบ้านอย่างเวียดนามอยู่มาก

 

Interview : ดร.วรรณสินท์ สัตยานุวัตร์ สถาบันวิจัยนโยบายเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง


เรื่องสหรัฐอเมริกา เรื่องจีน จะมีผลกระทบต่อโลกจากนี้อย่างไร

           

โดนัลด์ ทรัมป์ ได้เข้ารับตำแหน่งวันที่ 20 มกราคม 2568 สิ่งที่โลกกำลังจับตามองคือสิ่งที่ทรัมป์หาเสียงไว้ ภาพรวมของการหาเสียงที่ทรัมป์พูดไว้เรื่องมาตรการทางการค้าอยู่ภายใต้มาตรการทางเศรษฐกิจ เป็นมาตรการเพื่อภายในประเทศ ประกอบด้วยอัตราภาษีที่เก็บกับทุกสินค้า อาจจะเพิ่ม 20-30% ส่วนจีนขูดไปถึง 60% แคนาดา เม็กซิโก 25% และมีประเด็นต่อมามีมาตรการตอบโต้หากประเทศใดตอบโต้ขึ้นมา

           

เรื่องนี้เป็นการต่อเนื่องจากสงครามการค้าปี 2018 ถ้าดูจากปี 2018 เมื่อทรัมป์หมดวาระไป มีการลงนามข้อตกลงเฟสหนึ่งซึ่งยุติการตอบโต้ระหว่างกัน จนมาถึง โจ ไบเดน ซึ่งไบเดนไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอัตราใดๆ ที่ทรัมป์ทำไว้ แต่ส่วนของไบเดนจะมีความพยายามใช้มาตรการให้เกิดการลงทุนกลับมาที่ฝั่งสหรัฐอเมริกา ส่วนที่หนึ่งก็คือมีกฎหมายลดเงินเฟ้อ แต่ให้เครื่องมือภายในในการกระตุ้นการลงทุนในประเทศ อีกเรื่องคือเซมิคอนดักเตอร์ ทั้งสองเรื่องประสบความสำเร็จพอสมควร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเซมิคอนดักเตอร์ มีการลงทุนอยู่ในสหรัฐอเมริกา

           

ทีนี้มาถึงทรัมป์รอบนี้เขาชนะการเลือกตั้ง ระดับคะแนนเสียงของประชาชนสูง ลักษณะเช่นนี้ ต้องจับตามองว่าเขาจะลงนามจริงหรือไม่ แต่ดูจากกระแสการตอบรับ แคนาดามีท่าทีของการระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง รัฐมนตรีต่างประเทศแคนาดาพยายามจะหาช่องทางเจรจา ใช้คำว่าคงเตรียมการแล้ว แต่ยังไม่เปิดเผยว่าจะตอบโต้ด้วยอัตราอย่างไร

           

สำหรับแคนาดากับเม็กซิโกเป็นพรมแดนที่เกิดการลงทุน ตอนที่จีนโดนสงครามการค้า นักลงทุนจีนจำนวนมากก็ไปลงทุนในเม็กซิโก ทำให้เห็นว่าจะใช้เขตการค้าเสรี ในกลุ่มที่แคนาดากับเม็กซิโกและสหรัฐอเมริกามี เพื่อส่งกลับมาที่สหรัฐอเมริกา ก็ประสบความสำเร็จพอสมควรที่ใช้วิธีนี้ โดยเห็นจากมูลค่าการขาดดุลการค้าที่สหรัฐอเมริกาขาดดุลกับเม็กซิโกเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

           

กรณีจีนขาดดุลการค้าในทิศทางที่ลดลง ที่สหรัฐอเมริกานำเข้าทั้งปี 2023 ประมาณ 3.17 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ เป็นการขาดดุลประมาณ 1.15 ล้านล้านเหรียญ การขาดดุลลดลงจากปี 2022 อยู่ที่ 1.31 ล้านล้านเหรียญ ปี 2021 เท่ากับ 1.8 ล้านล้านเหรียญ ปี 2020 เท่ากับ 0.9 ล้านล้านเหรียญ แต่ว่าสัดส่วนการนำเข้าอันดับหนึ่งตอนนี้ 3.17 ล้านล้านเหรียญ เป็นการนำเข้าทั้งปี 2023 โดย 15% อยู่ที่เม็กซิโก, 14% มาจากจีน, 13% จากแคนาดา, 5.1% คือเยอรมัน, 4.8% จากญี่ปุ่น, ส่วนเกาหลี 3.8%  และอันดับรองลงมาคือเวียดนาม 3.7%

           

ตัวเลขการนำเข้าเหล่านี้ที่สหรัฐอเมริกาขาดดุลสูงสุดคือจีน ขาดดุลรองลงมาคือเม็กซิโก ส่วนแคนาดาไม่มาก ทีนี้การตอบโต้ระยะสั้นว่าจะเพิ่มภาษีไปที่แคนาดากับเม็กซิโก ตรงนี้ก็น่าเป็นห่วงว่าจะกล้าหรือไม่ ในทางเศรษฐศาสตร์ก็มองว่าค่อนข้างจะมีผลเสียต่อสหรัฐอเมริกาเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเงินเฟ้อที่จะเกิดขึ้น และการคาดหวังว่าอุตสาหกรรมจะกลับไปลงทุนในสหรัฐอเมริกา ในทางปฏิบัติไม่ได้เกิดง่าย เพราะหลายอุตสาหกรรม เช่นของเล่นเด็ก เครื่องซักผ้า รองเท้า เครื่องนุ่งห่มต่างๆ สินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไป ต้นทุนแรงงานในสหรัฐอเมริกาค่อนข้างสูง

           

อีกจุดหนึ่งที่อยากให้พวกเราคิดตามก็คือว่า นโยบายที่คนอเมริกันอาจจะโปรนโยบาย America First แต่พวกบริโภคเอาเข้าจริงๆ ไม่ได้ตัดสินใจเลือกซื้อ Made in America สักเท่าไหร่ ในฐานะนักเศรษฐศาสตร์ที่ติดตามพฤติกรรมผู้บริโภค เราจำแนกผู้บริโภคประมาณ 3-4 ประเภทคือ 1. ถ้าเห็นตราสินค้า Made in USA มีฉลากว่าด้วยสิ่งแวดล้อมต่างๆ ผู้บริโภคที่เชื่อในสิ่งนั้นก็ซื้อ แต่กลุ่มที่ 2 ก็คือไม่สนใจ ขอให้ถูก คุ้มเงินในกระเป๋าของฉันถึงจะซื้อ และ 3. ถูกแพงไม่สำคัญ ขอให้คุณภาพสินค้านั้นตรงกับรสนิยมของเรา คุณภาพการจ่ายของเรา เช่นแบรนด์เนม กลุ่มนี้ไม่ได้สนใจเมดอินที่ไหนเลย สนใจแค่คุณภาพสินค้า

           

ดังนั้น กลุ่มที่จะเชื่อตามนโยบาย Made in USA อาจจะมีสัดส่วนไม่สูงนักในทางปฏิบัติ ถ้ามองแบบนี้ รอบนี้ค่อนข้างน่าเป็นห่วงว่ามูลค่าของโลกจะเปลี่ยนแปลงอย่างไร ผลกระทบของเศรษฐกิจ Domestic Economy ของสหรัฐอเมริกา จะทำให้ราคาสินค้าสูงขึ้นแน่นอน นำมาซึ่งเงินเฟ้อ ซัพพลายเชนสหรัฐอเมริกาต้องถูกกระทบแน่เพราะสหรัฐอเมริกาใช้เงื่อนไข ใช้กฎหมาย ในการประกาศภาวะฉุกเฉิน การขึ้นภาษี อะลูมิเนียม เหล็กที่นำเข้าจากจีน ซึ่งตอนที่สงครามการค้ารอบแรก สหรัฐอเมริกาใช้กฎหมายฉบับนี้ และกฎหมายว่าด้วยสินค้า ซึ่งประธานาธิบดีสามารถใช้กฎหมายตรงนี้ได้ด้วยโครงสร้างอำนาจรัฐของเขา ก็ต้องดูต่อว่าเมื่อใช้ไปแล้ว อาจจะขยายผลไปสู่การออกกฎหมายพิเศษ กฎหมายเฉพาะเจาะจงว่าด้วยเรื่องของการค้าก็ได้ ตรงนี้ก็เป็นความน่าเป็นห่วง แต่ว่าโลกได้รับผลกระทบแน่นอนจากสภาวะแบบนี้

           

ทั้งนี้ มีผลการศึกษาล่วงหน้า ซึ่งเข้าไปดูในเว็บไซต์หนึ่งมีการประมาณการว่าถ้าขึ้นภาษีจริงจะกระทบค่าใช้จ่ายของกลุ่มชนชั้นกลางประมาณ 2,600 เหรียญต่อปี เป็นต้นทุนที่แพงขึ้นในการดำรงชีวิตจากการขึ้นภาษี แต่อีกด้านหนึ่งทรัมป์ก็ประกาศว่าจะลดภาษีภายในประเทศเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ส่วนนั้นใช้คำว่าสร้างผลบวกต่อชนชั้นกลางประมาณ 1.3% แต่ก็ยังว่าติดลบจากที่ประเมินออกมาว่าใช้จ่ายกลุ่มชนชั้นกลางจะเพิ่ม 2,600 เหรียญต่อปี หรืออยู่ที่ประมาณลบ 4.1% ต่อชนชั้นกลาง ดังนั้น ชนชั้นกลางก็ยังติดลบอยู่

           

จริงๆ แล้ว ผลการศึกษาทางเศรษฐศาสตร์พบว่าการขึ้นกำแพงภาษีจะทำให้กลุ่มคนจนได้รับผลกระทบสูงกว่าคนรวย กลุ่มที่เป็นท็อป 1% ได้รับการลดภาษีไป จะทำให้ได้ผลบวกเพิ่มขึ้น 2.3% แต่กลุ่มคนจนลงมาจนถึงต่ำสุดติดลบตามๆ กัน ดังนั้น นโยบายแบบนี้สหรัฐอเมริกาเองก็ประเมินตัวเองเหมือนกันว่าน่าจะมีผลเสีย แต่ว่าทรัมป์ก็เป็นคนที่มีบุคลิกพิเศษ ซึ่งมีประเด็นให้ทุกคนจับตามองก็คือกรณีไฟป่าที่เกิดขึ้น เขาต่อว่าผู้ว่าการแคลิฟอร์เนียแบบค่อนข้างชัดเจน หากมองเชิงการเมืองแคลิฟอร์เนียเป็นรัฐที่เดโมแครตได้คะแนนต่อเนื่องมา ซึ่งวิธีของทรัมป์ ไม่แน่ใจว่ากุนซือของเขาคิดอย่างไร แต่ว่าบุคลิกของเขา กุนซือคงจะทำงานที่จะเปลี่ยนพฤติกรรมยาก จุดนี้คิดว่าอาจจะมีการต่อต้านทรัมป์จะสูงมาก คิดว่าจะต้องติดตามสถานการณ์ค่อนข้างกระชั้นชิดวันต่อวัน เพราะคิดว่าเขามีการเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา

           

จุดหนึ่งที่เกิดขึ้นในรอบนี้ คือถ้าดูจากมาตรการการหาเสียงที่พูดถึงเรื่องเศรษฐกิจการค้า ความมั่นคงชายแดน และปัญหาระหว่างประเทศ เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงมาก เพราะประเด็นที่เขาพึ่งพากับจีนอย่างเดียวไม่พอ แต่ประเด็นเรื่องไต้หวันที่มีสัญญาณออกมา ลักษณะแบบนี้ คิดว่ายิ่งสร้างความปั่นป่วนให้กับโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศในอาเซียน ทีนี้ก็อยู่ที่ว่าเราจะปรับตัวได้แค่ไหน

           

ในฐานะนักเศรษฐศาสตร์สิ่งที่คิดว่าสำคัญและจะต้องดำเนินการคือ พลวัตใหม่ของกลุ่มเศรษฐกิจจะเปลี่ยนแปลง เก่าคือ CPTPP, RCEP กลุ่มเศรษฐกิจแบบนี้ จะมีความสำคัญเพิ่มขึ้นหากทรัมป์ไปเพิ่มภาษี เม็กซิโก แคนาดา จีน และทั่วโลก เพราะห่วงโซ่อุปทานของโลกอาจจะต้องหาที่ลงใหม่ อาเซียนยังมีความเนื้อหอมอยู่ แต่ภายใต้ความเนื้อหอมตรงนี้ เวียดนามอาจจะมีความโดดเด่นที่สุด ไทยจะปรับตัวภายใต้โครงสร้างเศรษฐกิจที่มีปัญหาตรงนี้ได้อย่างไร ก็เลยถือโอกาสขอแชร์ว่า จุดนี้ก็เป็นจุดสำคัญที่ไทยอาจจะใช้โอกาสที่โลกมีความผันผวนจากพลวัตของอัตราภาษีที่จะเปลี่ยนแปลง ทำให้โครงสร้างของผู้ผลิตอาจจะย้ายฐานมาสู่เราเพิ่มขึ้น เราจะต้อนรับเตรียมการกับสิ่งเหล่านี้อย่างไร

 

ถึงตรงนี้ จีนจะเป็นอย่างไร

           

ส่วนที่จีนส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกา ถ้ามีการปรับอัตราภาษีตามที่ประกาศว่าจะเป็น 10% ทันทีที่เปลี่ยนประธานาธิบดี และต่อไปจะเพิ่มเป็น 60% จะกระทบสินค้าจากจีนแน่นอน แต่ว่ากรณีนี้อยากจะแยกเป็น 3 ส่วน ส่วนที่จีนส่งออกไปสหรัฐอเมริกา ส่วนที่เป็นเศรษฐกิจภายในจีน และส่วนที่จีนไปลงทุนต่างประเทศ ทั้งนี้ ส่วนที่เป็นเศรษฐกิจในจีนตั้งแต่ผลการเลือกตั้งของสหรัฐอเมริกาออกมา จีนคงเตรียมการเพื่อจะรองรับความผันผวนทางเศรษฐกิจและรักษาการเติบโตภายในประเทศระดับหนึ่งแล้ว มีการอัดฉีดเงินในประเทศ ใส่ใหญ่เลยส่วนที่กระทบอาเซียน ถ้าติดตามข่าว เงินกู้ที่ให้กับกัมพูชาก็อาจจะลดลง กัมพูชากู้เงินจากจีนมหาศาล ตอนนี้จีนคงจะเตรียมกระสุนเพื่อรองรับในประเทศระดับหนึ่ง

           

แต่ที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานต่างๆ ทั่วโลก มองว่าจีนยังคงนโยบายออกนอกประเทศอยู่หลายอุตสาหกรรม เช่นอุตสาหกรรมยาง จีนก็เป็นประเทศที่มีอุปทานมีพื้นที่ปลูกยางเหมือนกันในมณฑลไหหนาน กวางตุ้ง แถวบริเวณนี้ ขณะเดียวกันจีนก็ส่งเสริมให้ฟาร์มเหล่านี้ไปลงทุนในต่างประเทศเพื่อให้ได้ซัพพลายเชนกลับมาป้อนตลาดในประเทศและเพื่อผลิต เพื่อรักษาเสถียรภาพของวัตถุดิบอยู่

           

ลักษณะแบบนี้ ห่วงโซ่อุปทานเหล่านี้คงไม่ได้รับผลกระทบ เนื่องจากจีนก็คงจะต้องลงทุน ต้องซื้อ นำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศ ขณะเดียวกัน จีนเองก็ไปลงทุนเพื่อจะได้วัตถุดิบจากประเทศนั้นๆ แล้วก็ส่งออกจากประเทศนั้น เช่น มาถือหุ้นบริษัทยางของไทย แล้วทิศทางต่อไปในเรื่องการส่งออกนำเข้าอาจจะมองลักษณะประเทศไม่ได้ กล่าวคือเป็นการส่งออกจากประเทศนี้ แต่ไส้ในเป็นของบริษัทอีกสัญชาติหนึ่ง อย่างนี้เป็นต้น ซึ่งจุดนี้ทรัมป์มีการพูดเหมือนกันว่า หลายบริษัทที่มาจากเม็กซิโกกับแคนาดา ถ้าเป็นบริษัทจีน เขาก็อาจจะมีมาตรการพิเศษ

           

ดังนั้น ตัวไทยเองคิดว่าเราคงเป็นห่วงโซ่อุปทานที่ดีต่อไปได้ ประเด็นอยู่ที่ว่าเราจะปรับตัวรับโอกาสที่จะให้ห่วงโซ่อุปทานเหล่านี้มาที่ไทยอย่างไร ทั้งที่สินค้าจากการเกษตรเป็นพื้นฐานที่เรามีจุดแข็งอยู่แล้ว หรือสินค้านวัตกรรม ไม่ว่าจะเป็นเซมิคอนดักเตอร์ เรื่องของเทคโนโลยี เรื่อง Innovation เราอาจจะไม่มีโอกาสคิดใหม่ แต่เราต้องเลือกให้เราอยู่ในเส้นทางที่ซัพพลายเชนโลกเขาเลือกแล้ว ไม่ว่าจะ Go Green หรือ Innovation ทั้งหลาย

           

กรณี Go Green ทรัมป์ไม่สนับสนุนมาตรการสีเขียวมากนัก เขายังมุ่งใช้ถ่านหิน น้ำมันในประเทศอยู่ เขามองว่ามาตรการสีเขียวมันเพิ่มต้นทุนต่อเขา แต่ถ้าเราต้องขายสินค้าให้สหภาพยุโรปเราคงต้องรักษามาตรฐานสีเขียวไปก่อน อันนี้เป็นภาพรวม ไทยในฐานะประเทศเศรษฐกิจเปิด เป็นประเทศขนาดเล็ก เราไม่มีอิทธิพลต่อราคาตลาดโลก ซึ่งโลกจะราคาเท่าไหร่ เราก็ต้องรับสภาพราคาแบบนั้น แล้วก็ซื้อขายในตลาดโลก ดังนั้น จุดนี้ไทยต้องเตรียมการสำหรับเป็นประเทศรองรับการลงทุน เพื่อกระตุ้นให้เกิดการจ้างงาน อันนี้ก็คงต้องทำกันต่อไป

 

หากมีการย้ายฐานการผลิตมาไทย ไม่ว่าจะจีนหรือใครก็แล้วแต่ที่กลัวผลกระทบจากสงครามการค้าหรือกลัวกำแพงภาษีของสหรัฐอเมริกา ทางสหรัฐอเมริกาเขาจะยอมหรือไม่

           

ในข้อกังวลนี้คาดว่าทรัมป์จะพยายามลงระดับบริษัท แต่อย่างไรก็ตาม ไทยในฐานะประเทศเล็ก เป็นเศรษฐกิจเปิด เราไม่มีทางเลือกมาก เราจะต้องเป็นฐานการผลิตที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานในทิศทางของเทคโนโลยีโลก ขณะเดียวกัน สิ่งที่เรามีแต้มต่อไม่ว่าจะเป็นสินค้าเกษตร ซึ่งแยกออกเป็น 2 ประเภท คือ 1. กินได้ กับ 2. วัตถุดิบเพื่อป้อน เช่นน้ำมันปาล์ม ยาง กลุ่มนี้กินไม่ได้ ส่วนสิ่งที่กินได้จะมีราคาอีกลักษณะหนึ่ง กลุ่มที่เป็นสินค้าเกษตรเพื่อป้อนอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะยางหรือน้ำมันปาล์ม อย่างไรก็แล้วแต่การผลิตอุตสาหกรรมคือสิ่งที่จะสร้างมูลค่าเพิ่ม และเพิ่มให้กับชนชั้นกลางหรือเกษตรกรให้มีรายได้ที่สูงขึ้นภายใต้กลยุทธ์ของการเป็นผู้ประกอบการแบบหนึ่ง กลยุทธ์แบบนี้ทางประเทศสังคมนิยมแบบจีนหรือว่าเวียดนาม ค่อนข้างจะเล่นกับกลไกตลาดได้ดี

           

ตั้งแต่จีนเปิดประเทศ เติ้ง เสี่ยวผิง ใช้คำว่าสังคมนิยมในอัตลักษณ์แบบจีน ซึ่งการปกครองเป็นจีนแบบคอมมิวนิสต์ก็ตาม แต่ผู้เล่นเป็นรัฐวิสาหกิจ แล้วก็ไปตั้งบริษัทลูก แล้วไปลงทุนในบริษัทต่างๆ รวมถึงบริษัทลูกหลายๆ บริษัท มาลงทุนในบริษัทของไทย มีบางบริษัทที่เป็นบริษัทต้นน้ำ ผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร บริษัทจีนถือหุ้นเกิน 61% แล้ว อย่างนี้เป็นต้น แต่ต้นทางคือบริษัทรัฐวิสาหกิจในจีน ซึ่งการลงทุนมีตั้งแต่ลงทุนจากฐานราก ซื้อที่ดิน หรือลงทุนเข้าไปซื้อหุ้นของบริษัทที่ไทยมีอยู่แล้ว อันนี้เป็นลักษณะของการลงทุนที่กลไกตลาดโลกทำงาน

           

ทีนี้ สิ่งที่ตอบคำถามนี้คือ เราไม่มีทางเลือกมาก มีอยู่ประเด็นหนึ่งซึ่งเห็นว่าเป็นช่องทางโอกาส อาจจะไม่ทางตรงมาก แต่อาจจะมีทางอ้อมคือเรื่องเฮลท์แคร์ ซึ่งเฮลท์แคร์เดิมทีสมัยโอบามา กฎหมายว่าด้วยการเข้าถึงสุขภาพการดูแล เรียกสั้นๆ ว่าโอบามาแคร์ เชื่อว่าทรัมป์คงจะเปลี่ยนแปลงมาตรการนี้ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงจะทำให้ภาคเอกชนเป็นผู้กำหนดราคาค่ารักษาพยาบาลมากกว่าที่รัฐจะไปอุดหนุน ลักษณะเช่นนี้อาจทำให้ต้นทุนรักษาพยาบาลสหรัฐอเมริกาแพงขึ้น ที่เป็นโอกาสที่ธุรกิจการแพทย์ไทยเราที่เป็นมือหนึ่งของโลก ดังนั้น หมอไทย ภาคสาธารณสุขไทย กลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่จะทำรายได้ได้ดีต่อไป อุตสาหกรรมเป็นส่วนหนึ่ง เรื่องของซัพพลายเชนเป็นส่วนหนึ่ง แต่เรื่องของภาคบริการลักษณะแบบนี้ ไทยยังมีโอกาสอยู่

           

ส่วนข้อกังวลตรงนั้นคิดว่าเราคงทำอะไรไม่ได้ แต่สิ่งที่เราต้องเร่งทำคือเราต้องเชื่อมต่อกับห่วงโซ่อุปทานโลก การเจรจากลุ่มเศรษฐกิจไม่ว่าจะเข้าสู่ CPTPP รัฐบาลจะพิจารณาหรือไม่ การที่จะทำให้ RCEP ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ อันนี้คือเขตการค้าเสรีต่างๆ รวมถึงการเจรจาไทยกับอียูที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ ซึ่งไทยกับอียูจะนำมาซึ่งมาตรฐานหลายข้อที่ดูเหมือนจะทำให้กรณีรัฐวิสาหกิจ กรณีลดการอุดหนุน กำลังเปิดเสรีหลายๆ ข้อ แต่เราหนีเรื่องห่วงโซ่อุปทานของโลกไม่ได้ มิฉะนั้น ถ้าโลกเชื่อมกันในลักษณะภูมิภาคหมด โลกอาจเชื่อมรอบเพื่อนบ้านเราด้วยรถไฟความเร็วสูง ถ้าโลกเชื่อมด้วยกลไกของข้อตกลงการค้า เชื่อมหมดแล้ว ต่อให้ที่ตั้งของเราจะโดดเด่นแค่ไหน ก็จะกลายเป็นโดนัท ที่ตรงกลางเป็นรูโหว่ เพื่อจะข้ามเราไป ตรงนี้หนีไม่พ้นที่ไทยต้องพยายามเชื่อมกับห่วงโซ่อุปทานของโลก

           

ยิ่งสหรัฐอเมริกามีมาตรการที่ทำให้โลกตกใจแบบนี้ เป็นโอกาสที่เครื่องมือทางนโยบายของไทยอาจจะต้องปรับตัว มาตรการส่งเสริมการลงทุน เป็นเรื่องที่อาจจะมีการปรับตัวมากกว่ามาตรการว่าด้วยการลดหย่อนเรื่องภาษีเงินได้นิติบุคคล อาจจะมีมาตรการใหม่ๆ หรือเพิ่มแก้กฎหมายพ.ร.บ.ส่งเสริมการลงทุนให้ทำงานได้กว้างขวางขึ้นหรือไม่ กรณีสั้นๆ ตัวอย่างของการส่งเสริมการลงทุนที่กรณี Taylor Swift กลับไปสิงคโปร์ เครื่องมือที่รัฐสามารถเจรจาให้โอกาสลักษณะเครื่องมือแบบนี้ ภาคราชการไทยอาจจะไม่มี คือไม่ได้หมายความว่าจะต้องมีแบบเขา แบบสิงคโปร์ แต่เราต้องเตรียมมาตรการหรือเครื่องมือทางนโยบายที่ยืดหยุ่นแล้วก็ทันกาลต่อพลวัตที่โลกเปลี่ยนแปลงเร็วมากแบบนี้ เศรษฐกิจไทยตอนนี้ คาดว่าถ้าจีดีพีเราเกิน 2.5% ก็เก่งแล้ว ซึ่งน่าหนักใจมากสำหรับเศรษฐกิจไทย ส่วนจีนคาดว่าจีนยังไม่ประกาศตัวเลขเศรษฐกิจคาดการณ์ของปี 2025 เข้าใจว่าคงจะระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง

           

แต่ทั่วโลกประมาณการว่า ถ้า GDP จีนเกิน 5% ถือว่าผ่าน เพราะเศรษฐกิจเขาขนาดใหญ่ขึ้น รายได้ต่อหัวต่อคนสูงขึ้นไปอย่างก้าวกระโดด ของเรายังไม่ผ่าน 8,000 เหรียญสหรัฐต่อหัวต่อคนต่อปี ของจีนน่าจะแตะ 12,000 เหรียญสหรัฐต่อหัวต่อคนต่อปีแล้ว ลักษณะแบบนี้คิดว่าไทยต้องปลั๊กอินกับซัพพลายเชนของโลก

           

ประการที่สอง การอยู่ในห่วงโซ่อุปทานแบบนี้ เราอยู่ในประเทศเอเชียหนีไม่พ้นว่าเราจะต้องให้เอสเอ็มอีเราเติบโตแล้วสามารถเป็นผู้ประกอบการที่ปลั๊กอินกับภูมิภาคนี้อย่างไร ดังนั้น คนไทยรู้ภาษาไทยอย่างเดียวคงไม่พอ อย่างคนรุ่นใหม่ของจีนพูดภาษาไทยได้เก่งขึ้นเยอะมาก ของเราพี่ไทยที่พูดจีนได้มีสักเท่าไหร่ แล้วเอสเอ็มอีที่จะไปปลั๊กอินตรงนี้ก็ต้องพัฒนาด้านภาษา

           

ถ้ามองจีนต่อไป อยากจะให้มองแยกมณฑลด้วยซ้ำ เพราะแต่ละมณฑลมีอำนาจรัฐที่ค่อนข้างจะกระจายอำนาจมากกว่าประชาธิปไตยที่ผ่านการเลือกตั้งด้วยซ้ำ และก็เล่นกับกลไกตลาด ตั้งบริษัทลูก ทำได้ดีมาก จีนเป็นตัวอย่างที่ดี เวียดนามก็เหมือนกัน มีตัวอย่างชื่อบริษัท Vietnam Rubber Group หรือ VRG ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจ แต่สามารถตั้งบริษัทลูก และบริษัทลูกเป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ ลักษณะแบบเดียวกับ ปตท. ลักษณะแบบนี้คือรัฐวิสาหกิจเล่นกับทุนนิยมเป็น หนีไม่พ้นว่าถ้าเกิดเครื่องมือนิติบุคคลแบบนี้ ทำงานได้ไม่เต็มที่ เราก็จะมีแต่ผู้ประกอบการที่ไม่โต แต่อีกจุดหนึ่งของไทยก็มีความเป็นห่วงเรื่องกฎหมายการแข่งขันทางการค้าว่าจะทำอย่างไรให้เอสเอ็มอีไทยสามารถเติบโตขึ้นมาได้

           

จริงๆ สถาบันก็พยายามทำงานส่วนนี้กับหน่วยราชการที่เกี่ยวข้องอยู่ ส่งเสริมให้ SME เปลี่ยนจาก Micro เป็น Small แล้วเป็น Medium และเป็น Large และก็เข้าถึงแหล่งทุนทางการเงิน ก็พยายามทำอยู่ ถือเป็นส่วนหนึ่งของงาน ซึ่งตัวอย่างตรงนี้ จีนเป็นตัวอย่างที่ดีมาก ถ้าดูจากจีน จากปี 2015 จีนมีแผน Made in China 2015 ที่วางเป้าหมายการพัฒนาไปถึงปี 2049 ซึ่งจะเป็นปีที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนครบรอบการก่อตั้ง ทีนี้ จีนมีแผนฉบับใหม่ระหว่างทางคือ China Standard โดยกำหนดเป้าหมายเริ่ม 2025 ซึ่งปีนี้จีนวางเป้าหมายพัฒนาเศรษฐกิจเต็มไปหมดเลย มี 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย เมื่อดูย้อนกลับไปถือว่าทำได้ดีมาก แต่ตอนนี้จีนจะเปลี่ยนไปสู่ China Standard กล่าวคือจีนต้องการกำหนดมาตรฐานโลกไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยี จะเห็นโทรศัพท์มือถือ รถยนต์ มาตรฐานหลายตัวมาจากจีน จุดเหล่านี้คือจุดที่ถ้าย้อนกลับไปยังรากของสงครามการค้า ที่อ้างถึงการขาดดุลการค้า และการจ้างงานของสหรัฐอเมริกา แต่สิ่งที่ซ่อนอยู่มากกว่านั้นคือความหวาดกลัวต่อการเติบโตทางเทคโนโลยีและการคิดเทคโนโลยีได้ของจีนที่ใหญ่โตมหาศาลเลย ที่สหรัฐอเมริกากลัวคือตรงนี้ ใช้คำว่าผู้นำไม่ว่าจะไบเดนเข้ามา สิ่งนี้ก็ยังอยู่ พอทรัมป์ขึ้นมาโลกจะเริ่มวิตกกังวลว่าจะผันผวนอย่างไร

 

มีรายงานที่ออกมาว่ายิ่งสหรัฐอเมริกากีดกันการค้า เปิดสงครามการค้า ปัญหาก็ยิ่งย้อนกลับมาที่ตัวเอง

           

ถ้าดูจากโครงสร้างเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาขณะนี้ ถ้าสหรัฐอเมริกาหวังผลว่าขึ้นภาษีแล้วต้องการให้อุตสาหกรรมกลับไปที่ประเทศ ข้อนี้ไม่สามารถเกิดขึ้นใน 6 เดือน ตรงนี้ตั้งแต่สมัยไบเดนแล้ว มีความพยายามทำเป็นอย่างยิ่ง แต่สิ่งที่จีนไปลงทุนหรือนักลงทุนชาติอื่นไปลงทุนที่จีน สหรัฐอเมริกาก็ลงทุนในจีนเหมือนกัน ตรงนี้มันเป็นเรื่องของกลไกตลาด

           

แต่สิ่งที่ทรัมป์มีแล้วต่างจากผู้นำคนอื่นๆ ถ้าย้อนกลับไปตั้งแต่เรแกน มาเรื่อยๆ หรือว่าอังกฤษผ่านมาโลกาภิวัตน์ย้อนกลับคือเป็นจุดที่เรียกว่าต่อต้านการค้าเสรีแทนที่ว่าจะเปิดเสรีการค้า การเปิดเสรีการค้าหมายถึงว่า ใครเก่งอะไร ก็เป็นคนผลิตสิ่งนั้น เพราะใช้ทรัพยากรของโลกต่ำกว่าคนอื่น ทำให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงของที่ถูกกว่าผลิตเอง ตรงนี้คือเงื่อนไขพื้นฐานเลยของการค้าเสรี แล้วลดอัตราภาษีเพื่อให้เกิดการสร้างสรรค์ทางการค้า แต่พอขึ้นภาษีแล้วปัญหาหนึ่งในระยะสั้นทางเศรษฐศาสตร์ใช้คำว่า Trade Diversion ซึ่งหมายถึงว่าการผลิตบางตัวจากคนเก่งที่ผลิตได้ถูกกว่า พอโดนภาษีแล้วเข้ามาในสหรัฐอเมริกาอาจจะแพงกว่าคนที่ผลิตเก่งน้อยกว่า ซึ่งคนที่เก่งน้อยกว่าก็ต้องใช้ของมากกว่า ทรัพยากรมากกว่า เวลาใช้แรงงานมากกว่า ล้วนแล้วแต่ทำให้โลกไม่มีประสิทธิภาพทั้งนั้นเลย

           

ดังนั้น สหรัฐอเมริกาใช้มาตรการรอบนี้เข้าใจว่าเป็นบุคลิกและเป็นเป้าหมายทางการเมืองแบบทรัมป์มากกว่าที่จะมองผลรวมของประเทศ แต่แน่นอนปรัชญาของสหรัฐอเมริกาภายใต้กลุ่มผู้นำกลุ่มนี้ก็มีสัญญาณ คือสัญญาณจากคนที่อาจได้รับการแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีไปกระทรวงที่สำคัญที่มีท่าทีที่ไม่สอดคล้องกับสหรัฐอเมริกาในยุคเรแกน ในยุคคลินตัน ลักษณะนี้ก็คือเป็นธรรมชาติว่าการเมืองคือเรื่องของท้องถิ่น เขาต้องการชนะคะแนนเสียงจากประเทศของเขา ซึ่งคนอเมริกันขณะนี้ความมีรากที่แท้จริงน่าจะน้อยกว่าคนเอเชีย เพราะไม่มีจุดยึดเหนี่ยวที่ควรจะเป็น ความเป็นปัจเจกตั้งแต่กำไรสูงสุด แล้วก็มองเรื่องของผลตอบแทน สิ่งเหล่านี้ บางทีก็นำมาซึ่งทุกอย่างมีราคาไปหมด จนทำให้เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาอยู่สภาพแบบนี้ American Dream มองว่ายังขายได้อยู่ แต่ที่อยากชวนติดตามก็คือ ความฝันของคนจีน ซึ่งความฝันของคนจีนเป็นจุดที่มีอิทธิพลพอสมควรเลยที่ทำให้จีนเติบโตทางเศรษฐกิจ มีความมุ่งมั่น ขยัน แต่ยังรักษามาตรฐานของเรื่องดั้งเดิมไม่ว่าจะความเชื่อเรื่องของขงจื๊อ การกตัญญู ยังมีส่วนเชื่อมโยงตรงนี้อยู่มาก

           

แต่จุดของอเมริกันนี้ไม่มีการกล่าวถึงในแง่ของสถาบันของประเทศ ปล่อยให้ปัจเจกมีความเชื่อที่เดินไป ลักษณะนี้คิดว่าเป็นผลพวงที่ทำให้สหรัฐอเมริกาใช้คำว่า Domestic Economy ค่อนข้างที่จะไม่แข็งแรง แม้ยังไม่ถึงจุดล่มสลายก็ตาม แต่จุดที่อเมริกาทำตัวเป็นพี่ใหญ่อย่างสมัยก่อนคนขาวเข้าไปดินแดนอเมริกัน มีปัญหาหิมะตก ชนเผ่าอินเดียนแดงให้ไก่งวงกิน ผ่านไปคนขาวไปยึดที่ดินเขา จะเป็นลักษณะแบบนี้

           

ขณะที่คนผิวเหลืองด้วยกันเข้ามาในภูมิภาคของเรา ไม่ได้มีอิทธิพลแบบนี้ ไม่ได้มีพฤติกรรมหรือวิธีคิดแบบนี้ อันนี้คือประวัติศาสตร์ชี้นำว่า คนมันเป็นแบบนี้ ทีนี้คนแบบนี้ คนเหมือนกันก็อาจจะมีความหลากหลายไป แต่บังเอิญทรัมป์มีความเด่นชัดในเรื่องนี้ ตัวอย่างเช่น ความแข็งกร้าวต่อผู้ว่าการแคลิฟอร์เนีย ก็เห็นได้ชัดแล้วว่าจริงๆ แล้วผู้นำอาจจะต้องไปแก้ปัญหาเรื่องสงครามไฟป่าก่อน แต่ทรัมป์กลับไปต่อว่า ไปหาคนผิด เพื่อหวังผลคะแนนเสียงหรือไม่ ตรงนี้เป็นวิธีของเขา โลกก็ต้องติดตามมองว่าจะเป็นอย่างไร

           

แต่สิ่งที่มองไม่เห็นคือสิ่งที่ทรัมป์คุยกับผู้นำจีน ซึ่งเชื่อว่าผู้นำจีนก็คงมีความแยบยลในการเดินทิศทางนโยบายและการใช้ทรัพยากรเหมือนกันว่าควรจะลงทุนอย่างไร ตั้งแต่ทรัมป์ขึ้นมา สี จิ้นผิง กับจีนคงอยู่ในมาตรการตั้งรับเพื่อจะรุกกลับ เพราะตอนที่จีนโดนปี 2018 Trade War รอบนั้นสินค้าที่สหรัฐอเมริกาเก็บภาษีนำเข้าจากจีน เทียบกับสินค้าที่จีนเก็บนำเข้าจากสหรัฐอเมริกา จีนเก็บมากกว่าด้วยซ้ำ คือจีนเก็บมากกว่า แต่จีนไปลดให้ประเทศอื่นในโลก ลดลงอย่างมาก เพื่อให้ต่างประเทศเข้ามาขายในจีน แข่งขันในจีนได้

           

ตรงนี้ก็เป็นการสะท้อนถึงความเป็นจีนคือเตรียมตัวที่จะเป็นหนึ่งในผู้นำเหมือนกัน คือไปลดตรงโน้น แล้วเพิ่มให้กับตรงนี้ แต่ถ้าดูจากจีนท่าทีต่างๆ ไม่มีท่าทีต่อการหักหาญ ทำลายล้าง ล้วนแต่ใช้ความขยันพัฒนาวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีจนออกมาเป็น 5G ที่นำโลกได้ จนหลายประเทศกลัว แต่ประเทศของเราต้องเตรียมการตรงนี้ เชื่อว่าถ้าเราเข้มงวดในมาตรการภายในประเทศ เช่นกรณีที่เป็นข่าวว่ามือถือยี่ห้อจีนได้ฝังแอปพลิเคชันเงินกู้ แบบนี้ผิดกฎหมายเราหรือไม่ ซึ่งถ้าผิดกฎหมายเรา แล้วเราเข้มงวด มองว่ารัฐบาลจีนไม่มีปัญหากับรัฐบาลไทยเลย กรณีของร้านค้าผู้ประกอบการที่เปิดเต็มไปหมดในไทย ถ้าเราใช้กฎหมายในประเทศเข้มงวด มีทะเบียนการค้าหรือไม่ จดทะเบียนเป็นบริษัทหรือไม่ เครื่องมือทางกฎหมายเพื่อที่จะให้เกิดการแข่งขัน เชื่อว่าไม่เสียสัมพันธภาพระหว่างรัฐบาลไทยกับจีนเลย แต่ถ้าเราไม่ทำแล้วปล่อยให้ทุนที่อยากจะแข่งขันอยู่แล้วทำแบบจีน อันนี้เขาอยู่ในดีเอ็นเอพ่อค้า ซึ่งมันมีอยู่ตลอดเวลา ดังนั้น เขาจะหาโอกาสทำกำไรตลอดเวลาอยู่แล้ว หากกฎหมายเราไม่ใช้เครื่องมือเหล่านี้ไปควบคุม เราจะเสียโอกาสเอง

 

7 views

Comments


bottom of page