'สุราษฎร์' ฝ่าวิกฤต...เกษตร/ท่องเที่ยว ช่วยพยุงปีก
- Dokbia Online
- 7 minutes ago
- 2 min read

เครื่องจักรเศรษฐกิจ 2 ตัวหลักของสุราษฎร์ยังโตได้ดี ทั้งท่องเที่ยวและการเกษตร แม้อัตราเติบโตจะไม่ปรู๊ดปร๊าด แต่ถือว่าอยู่ในระดับที่ดีเมื่อเทียบกับปัจจัยปัญหาที่รุมเร้ารอบด้าน หวัง...ในอนาคตจะมีนักลงทุนต่างถิ่นและต่างชาติมาลงทุนโครงการขนาดใหญ่ในสุราษฎร์มากขึ้น กรณีภาษีตอบโต้ 19% ของอเมริกาว่าจะกระทบการส่งออกที่เกี่ยวกับภาคเกษตรของสุราษฎร์และภาคใต้มากน้อยแค่ไหน ซึ่งต้องรอดูหลังมีการค้าขายและส่งออกภายใต้ภาษีใหม่ไปอีกระยะหนึ่ง ณ จุดนี้ถือว่าผ่านด่านแรกที่ไทยไม่เสียเปรียบด้านภาษีกับคู่แข่ง ส่วนด่านต่อไปต้องพยายามขายของและส่งออกให้มากที่สุด โดยยังไม่ต้องตั้งธงว่าจะต้องเป็นที่ 1 ในการส่งออกของโลก
Interview : คุณเกษียร ไลยโฆษิต ประธานหอการค้าจังหวัดสุราษฎร์ธานี
สรุปว่าสถานการณ์เป็นอย่างไร
ภาคใต้เราโดยเฉพาะสุราษฎร์ธานี เรามีเครื่องจักรในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจหลักๆ 2 ตัวคือเกษตรและการท่องเที่ยว การท่องเที่ยวจะโตกว่าเกษตรหน่อยนึง เรามีอุตสาหกรรมน้อย ก็จะมีเหมืองแร่บ้าง มีผลิตแปรรูปบ้าง ซึ่งระดับอุตสาหกรรมก็เป็นอุตสาหกรรมเกษตรเป็นส่วนใหญ่ แปรรูปปาล์ม แปรรูปยาง แล้วก็แปรรูปอาหารทะเล มีเหมืองแร่นิดหน่อย
ในแง่ของการท่องเที่ยว 6 เดือนที่ผ่านมา อย่างที่ทราบคือนักท่องเที่ยวจีนน้อยลง อันนี้จริง นักท่องเที่ยวมาเลเซียก็อาจจะน้อยลง อันนั้นก็จริง โดยรวมถือว่ายังเติบโตอยู่ในระดับที่ช้าลง การท่องเที่ยวส่วนที่กลับช่วยได้บ้างคือการประชุมภายในประเทศ งานสัมมนา งานประชุมของหน่วยงานทั้งหลายทั้งปวง งานแต่งงาน ก็ยังช่วยโรงแรม ร้านอาหารที่อยู่ในจังหวัดได้อยู่ในระดับหนึ่ง ต้องพูดว่าในแง่การท่องเที่ยวเติบโตช้าลงอันนี้อันที่ 1
อันที่ 2 คือเรื่องของเกษตร เผอิญว่าเรามีเกษตรพื้นฐานเป็นส่วนใหญ่ เราขายยาง ขายปาล์ม ขายผลไม้โดย Basic Product เราไม่ค่อยได้มี Value Added มากนัก ผลไม้ไม่ค่อยดี อันนี้เป็นทั้งประเทศ โดยเฉพาะทุเรียนเรา ทุเรียนใต้ ทุเรียนสุราษฎร์ ราคาไม่ค่อยดี ยางยังราคาดีอยู่แต่ปริมาณน้อยลง ส่วนปาล์มไม่มีผลผลิตเข้าไปป้อนโรงงานมากนัก แต่โดยรวมราคาปาล์มดี น้ำมันปาล์มส่งออกก็ยังดีอยู่ ไม่ค่อยมีประเด็น ยางพาราก็ยังทรงๆ เพราะฉะนั้นภาคการเกษตรถือว่าลดลง แต่ไม่ได้ลดลงแบบน่าใจหายมาก เพราะฉะนั้น 2 เครื่องยนต์ดูช้าลง
ตัวที่มีประเด็นคือการบริโภค การจับจ่ายใช้สอยของคนเราในเมือง ร้านอาหาร สินค้าที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน ยอดขายของตลาด ร้านค้า พวกนี้จะน้อยลง ผมเข้าใจว่าเป็นเพราะทั้งโรงเรียนเปิดแล้ว ความกังวลในเรื่องอื่นๆ ในเรื่องเชิงเศรษฐกิจ Spending ของคนน้อยลง อันนี้เรื่องที่ 3
เรื่องที่ 4 การ Spending ของภาครัฐยังสม่ำเสมอ ในแง่ของงบประมาณที่ลงมาไม่ได้ติดขัดอะไร
ทั้งหมดนี้ก็จะเป็นภาพรวมของสุราษฎร์ธานี โดยรวมของภาคใต้ก็จะมีลักษณะคล้ายๆ กัน ยกเว้นบางจังหวัดที่โดนกระทบหนัก ๆ อย่างภูเก็ตก็จะมีการท่องเที่ยวที่หนักมากกว่าภาคเกษตร เมื่อนักท่องเที่ยวหายไปจะมีผลกระทบต่อเขาเยอะ อันนี้ก็จะเป็นภาพโดยรวมๆ ของภาคใต้และสุราษฎร์ธานี
ดูแล้วภาคธุรกิจส่วนใหญ่ก็จะเป็นของคนในจังหวัด คนนอกเข้ามาลงทุนเยอะไหม
จริงๆ แล้วน้อย สิ่งที่ภาคใต้หรือตัวจังหวัดสุราษฎร์ธานีหวังเป็นอย่างยิ่งในอนาคตคือการลงทุนจากภายนอกที่ชะงักมานานเป็น 10 ปีแล้วไม่มีโปรเจกต์ใหญ่ๆ ที่เราเรียกว่า Mega Project เหมือน EEC ที่จะลงมาในภาคใต้ แทบจะน้อยมาก นอกจาก Infrastructure ของรัฐที่ทำทางรถไฟ ถนน ท่าเรือ เราไม่มีเอกชนจากส่วนกลาง หรือแม้แต่นอกประเทศที่จะเข้ามาลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ เราจึงหวังว่า SEC ที่อาจจะเกิดขึ้นน่าจะเป็นโอกาสของภาคใต้ในอนาคต
โครงการใหญ่อย่างสะพานเชื่อมไปสมุยหรือว่าโครงการต่างๆ คือเงียบไปแล้วใช่ไหม
ด้วยสถานการณ์โดยรวมทั้งเรื่องสงคราม ทั้งเรื่องจีน อเมริกา ทั้งเรื่องเศรษฐกิจโลก ทำให้การลงทุนเริ่มซาลง แผ่วลง แต่อย่างไรก็ตามอยู่ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติสังคมพัฒนาเศรษฐกิจสังคมแห่งชาติ ในแง่ที่การลงทุนภาคใต้จะต้องเกิดขึ้นให้ได้ ในสเกล ยังไงผมว่าเรากำลัง Work out กันอยู่
ตอนนี้เท่ากับว่าเราอยู่กันแบบว่าจําทนอยู่ใช่ไหม
ใช่ ต้องเรียกว่าประคับประคองตัวเองให้อยู่ให้ได้ก่อน คือโดย Nature ยังโชคดีที่มี 2 ขาที่ Balance กันอยู่ คือการท่องเที่ยวยังไม่ถึงกับดับสูญไปทีเดียว ยังมีการประชุมภายในประเทศ ในจังหวัด พอมา Balance ได้ แต่นึกได้ว่าที่น่าเสียใจคือ อยากจะให้ไทยเที่ยวไทยเราบูมได้ดีกว่านี้ อันนี้ผมคิดว่าน่าจะช่วยเราได้ในระยะ 2-5 เดือนระยะสั้น
โครงการเขาก็ออกมาแล้ว
แต่ขนาดตัวผมยังลงทะเบียนไม่ได้เลย ไม่ง่ายเหมือนเดิม
ผู้ประกอบการเองไปลงทะเบียนก็ไม่ง่ายเลย
จริงๆ ควรจะสะดวกกว่านี้
อีกไม่กี่เดือนจะครบปีแล้ว เวลาที่เหลือของปีนี้คิดว่าจะต้องทําอย่างไรแบบไหน เพื่อที่จะกระตุ้นให้สุราษฎร์ดีขึ้น แล้วดึงจังหวัดอื่นให้เติบโตขึ้นไปมากกว่านี้
ในแง่สุราษฎร์เราเองก็ยังหวังว่าการท่องเที่ยวในประเทศไทย การจัดประชุมสัมมนาที่เราเรียกว่า MICE, Meeting Incentive Convention and Exhibition สุราษฎร์โชคดีที่ยังเป็นศูนย์กลางของภาคใต้ตอนบน การจัดการพวกนี้ยังพอมีกำลังซื้อเข้ามาในพื้นที่อยู่ ยังพอได้อยู่ หวังว่าการท่องเที่ยวไทยเที่ยวไทยที่เรามีในพื้นที่สุราษฎร์ธานี สมุย พะงัน รวมทั้งพื้นที่บกของเราน่าจะกระตุ้นได้อย่างน้อยระยะสั้นก่อนสิ้นปี สินค้าเกษตรก็คงทรงๆ ไม่ได้มีอะไรได้มากกว่านั้นแล้ว ส่วนงาน Smart Money ที่เกิดขึ้นอย่างน้อยการกระตุ้น Domestic Consumption ที่มี Spending พวกนี้ก็น่าจะเป็นอันหนึ่งที่พอจะช่วยได้ในระยะสั้นๆ 5-6 เดือนก่อนที่เราจะไปเจอปี 69 ใหม่ ซึ่งระยะนี้จะเป็น Wait and See แล้วดูผลของภาษีทรัมป์กับจีน แม้เราจะรู้ว่าเราได้ 19% แล้วก็จริง ไม่ได้เสียเปรียบประเทศอื่นที่เป็นคู่แข่งหลักของเราก็จริง แต่เรายังไม่รู้ว่าเวลาค้าขายจริงที่เกิดขึ้นจะมีเรื่องอะไรที่จะกระทบขึ้นมาได้อีกหรือไม่ ไม่ว่าจะบวกหรือลบ เพราะฉะนั้น 6 เดือนนี้ยังดูไม่ออกจริงๆ ว่าผลกระทบสุดท้ายแล้วจะเป็นยังไง
เนื่องจากว่าเราเป็นประเทศภาคเกษตร ต้นทุนภาคเกษตรก็อาจจะต้องถูกกดดัน เพราะสินค้าก็จะแพงขึ้น ในที่สุดพ่อค้าก็ต้องมากดทางการเกษตรอยู่ดี
ใช่ นี่คือสิ่งที่เรากังวล แต่เรื่องใหญ่ที่สุดคือต้องขายของให้ได้ก่อน ต้องส่งออกให้ได้ก่อน โดยเฉพาะกุ้งอย่างกุ้งขาวซึ่งสุราษฎร์ผลิตมากที่สุดในประเทศไทย กุ้งขาวเราโดน 19% อยู่แล้ว เวียดนามโดน 20% เราได้เปรียบนิดนึง อินเดียซึ่งเคยเป็นคู่แข่งใหญ่ของเราตอนนี้อเมริกากีดกันอินเดีย เราก็อาจจะได้เปรียบ แต่ขณะเดียวกันในฝั่งที่อยู่ลาตินอเมริกาที่อยู่ใกล้ๆ ทางอเมริกา ถ้าเกิดเขาโปรโมตดีอย่างเอกวาดอร์ ตรงนี้เราอาจจะเสียเปรียบ เรายังไม่รู้ว่าสุดท้ายเขาจะเลือกซื้อใคร อันที่ 1 คือเลือกซื้อให้ได้ก่อน อันที่ 2 ผลกระทบตามมาว่าดีไม่ดีก็อาจจะโดน พออเมริกาของแพงก็ต้องถูกกดเข้ามาอีกว่ากำไรเขาหายไป คนนำเข้าเขาก็ต้องมาต่อรองเราอีกทีอยู่ดี เรายังไม่รู้ว่าแรงตรงนี้จะเกิดขึ้นยังไงต่อ แต่เอาขั้นที่หนึ่งก่อนอย่าให้เสียเปรียบตอนส่งออกแล้วกัน ซึ่งถือว่าเราผ่านข้อที่ 1 ไปแล้ว ทำได้ไม่เลวถือว่าดี วางใจได้เปลาะหนึ่ง
เปลาะที่ 2 ยังเหนื่อย
ของจริงไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ไม่รู้ว่าคนซื้อเขาจะมากดเราอีกไหม ไม่มีใครรู้จนกว่าเราจะค้าขายกันจริงๆ
ส่วนที่น่าจะเกี่ยวกับทางฝั่งสุราษฎร์แน่ๆ คือ ยางพาราแล้วก็กุ้งใช่ไหม
ใช่ครับ น้ำมันปาล์มอีกอันหนึ่ง
ก่อนหน้านี้ได้มีการตั้งธงกันว่าจะทวงคืนแชมป์ส่งออกกุ้ง ยังมีความหวังอยู่ไหม
มีความหวัง ผมว่ารัฐบาลก็พยายามจะช่วยให้กระบวนการเหล่านี้ง่ายขึ้น ตรวจสารดีขึ้น ไม่มีข้อจำกัดในประเทศมากขึ้นถือว่าช่วยเราได้เยอะพอสมควรแล้ว ช่วยกันเรื่องโรค เรื่องการปรับปรุงพันธุ์ ผมคิดว่าพอภาษีทรัมป์ 19% ที่ว่ายังพอเห็นทางหน่อยคืออย่างน้อยขายของออกไปได้ แล้วมาช่วยกันในประเทศให้เราแข็งแกร่งมากขึ้น
ที่เราเหนื่อยที่สุดก็น่าจะเป็นพวกต้นทุนการผลิต ไม่ว่าจะเป็นค่าไฟฟ้า อาหารกุ้ง เคมี พวกนี้ถ้าเราสามารถที่จะช่วยกันในอนาคตได้ เรื่องพันธุ์กุ้งกับเรื่องของโรคภัยไข้เจ็บที่กรมประมงช่วยดูแล เราน่าจะหวนคืนความเป็นแชมป์ได้ ผมเชื่อว่าเรากลับมาได้เมื่อเทียบกับคนอื่นๆ เราอยู่ในวงการกุ้งกว่า 30-40 ปี เราไม่ใช่เด็กๆ
คำว่ากลับมาได้ ตอนนี้ของเราส่งออกขนาดไหน แล้วจากภาษีทรัมป์ ช่วงตั้งแต่เมษายน-พฤษภาคม มาจนถึงตอนนี้บรรยากาศสถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง
สมัยก่อนเมืองไทยนี้เราพูดยาวไปเลย 30 ปีที่แล้วเราส่งออกกุ้งกุลาดำเป็นเบอร์หนึ่งของโลก ตลาดกุ้งทั้งหมดเราติด 1 ใน 3 ตลอด แต่ 30 ปีให้หลังเราถอยหลังมาตลอด จนปัจจุบันเราอยู่อันดับประมาณ 10 หรือ 11 ด้วยซ้ำไป จะมีอินเดีย เวียดนาม มีเอกวาดอร์เข้ามาใหม่ซึ่งเป็นผู้เล่นใหม่เข้ามา เราเสียตลาดในการแข่งขันไปเยอะมาก เราหวังว่าถ้าเราเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและไม่โดนเรื่องภาษีนี้มากจนเกินไป เราก็น่าจะอัปอันดับขึ้นมาที่ 6-8 แต่เรื่องสำคัญคือเราต้องขายของให้ได้ก่อน ส่วนเรื่อง Rank ของเรายังไม่ค่อยกังวลมากเพราะในแง่ของวอลุ่มการผลิตจริงถ้าเราจำกัดแค่ไหนก็แค่นั้น เราไม่ได้ไปไกลกว่านั้น แต่ขายของให้ได้ Premium ได้กำไรพอ ผมคิดว่าเราน่าจะทำได้ อันนี้คือ กุ้ง
ส่วนเรื่องปาล์มพวกนี้ดีว่าเราไม่ได้ส่งไปอเมริกาเยอะ เราวนเวียนอยู่แถวนี้ใน Southeast Asia เป็นส่วนใหญ่แล้วก็อินเดีย ในแง่ของปาล์มกับน้ำมันปาล์มเราไม่มีประเด็นเรื่องของภาษีพวกนี้ ส่วนเรื่องของยางขึ้นอยู่กับเซกเตอร์ ผมยกตัวอย่าง อย่างกรณียางรถยนต์คนที่ส่งออกเยอะๆ คือจีน เป็นเจ้าโลกอยู่ เราก็ผลิตยางรถยนต์อยู่ส่วนหนึ่ง ถ้าจีนถูกกีดกันมากขึ้น โอกาสของยางรถยนต์ไทยเราก็ดีขึ้น พูดง่ายๆ คือกลายเป็นโอกาสในการแข่งขัน เราดีขึ้นเพราะคู่แข่งเราถูกกีดกัน ถ้าเกิดเขาซื้อน้ำยางไปทำยาง ถ้าราคาน้ำยางไม่ถูกจนเกินไป ยางพาราก็ยังไปได้ดีอยู่ในระดับหนึ่ง แต่มีข้อจำกัดของยางพาราว่าไม่ได้โตไปกว่านี้ในแง่ของอุตสาหกรรมทั้งหมด คือพื้นที่ปลูกเราก็ไม่ได้เพิ่ม เราลดพื้นที่ปลูกยางไปปลูกทุเรียนมากขึ้น เราแค่ต้องการให้มั่นใจว่าคนที่เอาน้ำยางเราไปผลิตสินค้าแล้วขายของต่อ เขาขายได้ ไม่ว่าจะเป็นถุงมือยาง ยางรถยนต์ ยางแท่ง ก็จะเป็นลักษณะ Nature ของธุรกิจยางในสุราษฎร์ธานีและภาคใต้
ธุรกิจของเราส่วนใหญ่ ไม่ใช่ประเภทแบบสวมสิทธิใช่ไหม
ใช่ ตัดทิ้งเรื่องนี้ไปได้เลย ไม่ต้องกังวล เพราะพวกนี้เป็น Basic Product ที่เราทำเองอยู่แล้ว แต่ถ้าเราไป Manufacturing บางอย่างที่ตรงกลาง อันนี้จะเป็นข้อกังวล เช่นแปรรูปไม้ซึ่งพิสดารขึ้นไป ซึ่งเราไม่มี เรามีแต่เบสิกอย่างเดียว ไม่มีการสวมสิทธิอยู่แล้ว น้อยมากที่จะมีโอกาสเกิดขึ้น
ตอนนี้ความช่วยเหลือจากภาครัฐเข้ามาให้กับภาคธุรกิจสมาชิกของสุราษฎร์ ถึงมือไหม SME แล้วก็เกษตรด้วยต้องการอะไรเสริมเพิ่มเติมจากกรณีต่างๆ ที่เกิดขึ้น
ไม่ค่อยมีประเด็นอะไรในเรื่องของ SME มีแต่เราเองในตัวธุรกิจยังมองไม่เห็นอะไรชัดเจนมากกว่านั้น ในแง่แหล่งความช่วยเหลือไม่มีประเด็นว่ารัฐบาลพยายามช่วยอย่างมาก โดยเฉพาะ SME ก็ถือว่าช่วยได้ ช่วยอยู่แล้ว ความสามารถตัวนี้หลักที่สุดคือความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการเราที่จะต้องช่วยกันมากกว่าทั้งเทคโนโลยี นวัตกรรม
ตอนนี้เท่ากับว่าทางด้านของหอการค้าสุราษฎร์ได้คุยกับหอการค้าภาคใต้เรียบร้อยแล้ว ต้องมีการส่งอะไรมาถึงส่วนกลางเพิ่มเติมอีกไหม
ก็จะมีเรื่องข้อเสนอไปส่วนกลางอยู่ เราก็จะต้อง Work out ใน 2-3 เรื่องที่เราคุยกันในที่ประชุม ก็จะมีเรื่องของ SME ที่พูดถึงเทคโนโลยี เรื่องของความช่วยเหลืออะไรทั้งหลายที่มีโปรเจกต์ทั้งหลายจะทำยังไงบ้าง จะลงอะไรไป แล้วมีเรื่องของการเฝ้าติดตามผลกระทบ เพราะเราอยู่ไกล บางทีเราไม่รู้สถานการณ์ส่วนกลางของเราหลังจากที่เกิดการค้าขายขึ้นไปจริง เรื่องของขนส่ง เรื่องเรือ เรื่องราคา เรื่องระวางเรือ เราควรจะรู้ในฐานะที่อยู่ต่างจังหวัดในฐานะฝ่ายผลิต ก็จะมีเรื่องพวกนี้ที่ติดตามกันอยู่ แล้วก็เรื่องศูนย์แก้ปัญหาเรื่องสินค้าเกษตร อันนี้หอการค้าก็ Set up ขึ้นมาแล้วลิงก์กลับมาทุกจังหวัดเพื่อจะทำให้เร็วขึ้นไม่ว่าตรงไหนมีปัญหา เงาะมีปัญหา ทุเรียนมีปัญหา ตอนนี้ผ่านพ้นไปแล้ว หมดฤดูกาลไปแล้ว แต่พูดถึงคราวต่อๆ ไปจะได้เร็วขึ้น