ตลาดหุ้นสหรัฐพักสั้นๆ ท่ามกลางความกังวลภาวะฟองสบู่
- Dokbia Online
- 6 days ago
- 1 min read

แม้ว่าตลาดหุ้นโลกและสหรัฐจะมีปัจจัยหนุนจากการที่กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยตัวเลขประมาณการครั้งที่ 3 สำหรับผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ประจำไตรมาส 2 ปี 2568 ว่า เศรษฐกิจสหรัฐขยายตัว 3.8% ในไตรมาสดังกล่าว สูงกว่าตัวเลขประมาณการครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 ที่ระดับ 3.0% และ 3.3% ตามลำดับ หลังจากหดตัว 0.5% ในไตรมาส 1 ปี 2568 ซึ่งเป็นการหดตัวครั้งแรกในรอบ 3 ปี โดยการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐในไตรมาส 2 ปี 2568 ได้รับแรงหนุนจากการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่แข็งแกร่ง และการปรับตัวดีขึ้นของดุลการค้าสหรัฐ ทั้งนี้ การหดตัวของเศรษฐกิจในไตรมาส 1 ปี 2568 มีสาเหตุจากการนำเข้าที่พุ่งขึ้น เนื่องจากภาคธุรกิจต่างพากันรีบนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ ก่อนที่มาตรการเรียกเก็บภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์จะมีผลบังคับใช้ อย่างไรก็ตามการนำเข้าลดลงถึง 29.8% ในไตรมาส 2 ปี 2568 และเป็นปัจจัยหนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจในไตรมาสดังกล่าว
ขณะที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ โพสต์ข้อความบน Truth Social แสดงความยินดีต่อการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐ พร้อมกับตำหนินายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยอย่างเชื่องช้า ทั้งนี้ในการโพสต์ข้อความใน Truth Social ปธน.ทรัมป์ มักเรียกนายพาวเวลว่า "นายสายเกินไป" (Mr.Too Late) นอกจากนี้ยังมีปัจจัยหนุนจากการที่กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรก ลดลง 14,000 ราย สู่ระดับ 218,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว และต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 235,000 รายด้วย
อย่างไรก็ดีในระยะสั้นๆ นักลงทุนมีความกังวลเกี่ยวกับข่าวที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศขึ้นค่าธรรมเนียมวีซ่า H-1B เป็น 100,000 ดอลลาร์ ซึ่งคาดว่านโยบายนี้จะส่งผลกระทบต่อบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Amazon, Microsoft และ Google ที่พึ่งพาโครงการ H-1B มายาวนาน โดยเฉพาะตำแหน่งนักพัฒนาซอฟต์แวร์ นอกจากนี้เจ้าหน้าที่บางคนของเฟด ได้แสดงความสงสัยถึงความจำเป็นในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติม หลังจากที่เฟดได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมเมื่อวันที่ 17 ก.ย. 68 ซึ่งเป็นการปรับลดดอกเบี้ยเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือน ธ.ค. 67 พร้อมกับส่งสัญญาณว่าจะปรับลดเพิ่มเติมในการประชุมครั้งต่อๆไป โดยนายอัลเบอร์โต มูซาเลม ประธานเฟดสาขาเซนต์หลุยส์ และราฟาเอล บอสติก ประธานเฟดสาขาแอตแลนตากล่าวว่า แม้การปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมครั้งที่ผ่านมา เป็นสิ่งที่เหมาะสมเพื่อจัดการกับความเสี่ยงอันเนื่องมาจากอัตราการว่างงานที่สูงขึ้น แต่การฉุดเงินเฟ้อให้ลดลงยังคงเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรก
อย่างไรก็ดีนาย สตีเฟน มิแรน หนึ่งในสมาชิกคณะผู้ว่าการเฟดซึ่งโหวตสวนมติในที่ประชุมเฟดครั้งที่แล้วด้วยการสนับสนุนให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.5% ได้แสดงความเห็นในเวลาต่อมาว่า นโยบายการเงินของเฟดในขณะนี้ถือเป็นระดับที่เข้มงวดแล้ว
ในส่วนของบรรดานักเศรษฐศาสตร์ได้ปรับลดคาดการณ์การจ้างงานในสหรัฐไปจนถึงสิ้นปีหน้า ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้คาดกันว่า เฟดจะเดินหน้าลดอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่อง โดยที่ผลสำรวจนักเศรษฐศาสตร์ 80 คนที่บลูมเบิร์กจัดขึ้นระหว่างวันที่ 19–24 ก.ย. 68 ระบุว่า การจ้างงานนอกภาคเกษตรจะเพิ่มขึ้นเฉลี่ยเพียง 71,000 ตำแหน่งต่อเดือน ตั้งแต่ไตรมาส 4 ปีนี้จนถึงปี 2569 ตัวเลขดังกล่าวต่ำกว่าที่คาดไว้เมื่อเดือนก่อนราว 20,000 ตำแหน่ง ขณะที่การสำรวจยังบ่งชี้ว่า เศรษฐกิจสหรัฐจะชะลอตัวในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ โดยคาดว่า GDP จะขยายตัวเพียง 1.2% ต่อปี ก่อนที่กิจกรรมทางเศรษฐกิจจะเร่งขึ้นอีกครั้งในปี 2569 โดยนักวิเคราะห์ประเมินว่า แนวโน้มการจ้างงานที่ชะลอตัวจะผลักดันให้เฟดทยอยปรับลดดอกเบี้ยรวม 1% ภายใน ก.ย.ปีหน้า โดยเฟดได้เริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกของปีนี้ไปแล้ว ซึ่งนายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด อธิบายว่า ความกังวลเกี่ยวกับตลาดแรงงานเป็นเหตุผลสำคัญ และชี้ว่าตลาดแรงงานไม่สามารถถือว่าแข็งแกร่งเหมือนเดิมได้อีกต่อไป
ด้านนายลุค ทิลลีย์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของวิลมิงตัน ทรัสต์ คอร์ป (Wilmington Trust Corp.) มองว่า ความอ่อนแอของตลาดแรงงาน การสูญเสียตำแหน่งงาน และการใช้จ่ายด้านบริการที่ชะลอลง จะส่งผลมากกว่าผลกระทบจากมาตรการภาษีศุลกากร จึงทำให้เฟดจำเป็นต้องปรับลดดอกเบี้ยหลายครั้งต่อเนื่องไปจนถึงสิ้นปี 2568 และต้นปี 2569 สำหรับเงินเฟ้อพื้นฐาน ซึ่งวัดจากดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคลไม่รวมอาหารและพลังงาน คาดว่าจะขึ้นไปแตะระดับเฉลี่ย 3.2% ในไตรมาส 4 ของปีนี้ ก่อนทยอยลดลงในครึ่งหลังของปี 2569 และนักเศรษฐศาสตร์ยังคาดว่า การจ้างงานจะซบเซาต่อเนื่องจนถึงสิ้นปีนี้ ก่อนจะเริ่มฟื้นตัวในปีหน้า อย่างไรก็ดี การเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐ ในปี 2569 คาดว่าจะอยู่เฉลี่ยไม่ถึง 2% เนื่องจากการชะลอตัวของตลาดแรงงานยังคงกดดันการใช้จ่ายของภาคครัวเรือน
ทั้งนี้สัญญาณดังกล่าวเริ่มสะท้อนออกมาแล้วจากผลสำรวจของมหาวิทยาลัยมิชิแกนระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นขั้นสุดท้ายของผู้บริโภคสหรัฐร่วงลงสู่ระดับ 55.1 ในเดือน ก.ย. 68 ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 55.4 จากระดับ 58.2 ในเดือน ส.ค. 68 โดยดัชนีความเชื่อมั่นได้รับผลกระทบจากความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อ ตลาดแรงงานสหรัฐ และมาตรการภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
ทางวิ่งของตลาดหุ้นสหรัฐเริ่มจำกัดลง ! นอกจากนี้ ความกังวลเกี่ยวสถานการณ์ Stagflation ของสหรัฐ หรือภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวพร้อมกันเงินเฟ้อในระดับสูงกลับมาอีกครั้ง หลังผลสำรวจของมหาวิทยาลัยมิชิแกนระบุว่า ผู้บริโภคคาดการณ์ว่าเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้น 3.7% ในช่วง 5 ปีข้างหน้า สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ในเดือน ส.ค. 68 ที่ระดับ 3.5% และผู้บริโภคคาดการณ์ว่าเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้น 4.7% ในช่วง 1 ปีข้างหน้า ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ในเดือน ส.ค. 68 ที่ระดับ 4.8% และเช่นกันสัญญาณดังกล่าวเริ่มสะท้อนออกมาแล้วจากการที่ราคาน้ำมัน WTI พุ่งขึ้นทะลุระดับ 66 ดอลลาร์ หลังรัสเซียประกาศระงับการส่งออกน้ำมันจนถึงสิ้นปีนี้หลังถูกยูเครนโจมตีโรงกลั่นจนกระทบต่อความสามารถในการผลิตน้ำมันภายในประเทศ ขณะที่นายอเล็กซานเดอร์ โนวัค รองนายกรัฐมนตรีรัสเซีย กล่าวว่า รัสเซียจะประกาศระงับการส่งออกน้ำมันดีเซลบางส่วนจนถึงสิ้นปีนี้ และจะขยายเวลาการห้ามส่งออกน้ำมันเบนซิน ทั้งนี้ การลดลงของกำลังการกลั่นน้ำมันในรัสเซียได้ทำให้หลายภูมิภาคในประเทศกำลังเผชิญปัญหาขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง นอกจากนี้ ราคาน้ำมันได้แรงหนุนจากคาดการณ์ที่ว่าสหรัฐอาจใช้มาตรการคว่ำบาตรต่อการส่งออกน้ำมันจากรัสเซีย เพื่อตอบโต้ต่อการที่รัสเซียยังคงใช้ปฏิบัติการทางทหารในยูเครน รวมทั้งการที่สำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่า สต๊อกน้ำมันดิบสหรัฐลดลง 607,000 บาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว สวนทางนักวิเคราะห์ที่คาดว่าเพิ่มขึ้น 800,000 บาร์เรล
ประกอบกับความกังวลเรื่องภาวะ “ฟองสบู่” ในตลาดหุ้นสหรัฐปะทุขึ้นอีกครั้ง เมื่อ "ดัชนีบัฟเฟตต์" ซึ่งเป็นเกณฑ์ที่นักลงทุนระดับตำนานอย่าง นายวอร์เรน บัฟเฟตต์ เคยชื่นชมได้พุ่งทะยานสู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 217% ซึ่งสูงกว่าช่วงฟองสบู่ดอทคอม เมื่อกว่า 20 ปีที่แล้ว โดยดัชนีบัฟเฟตต์ คือ ดัชนีที่คำนวณจาก มูลค่ารวมของตลาดหุ้นสหรัฐ (ดัชนี Wilshire 5000) เทียบกับ ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ หรือ GDP
ทั้งนี้บัฟเฟตต์เคยกล่าวไว้ในนิตยสาร Fortune เมื่อปี 2544 ว่านี่อาจเป็นมาตรวัดเดี่ยวที่ดีที่สุดสำหรับการประเมินมูลค่า ณ ขณะใดขณะหนึ่ง ซึ่งหากอัตราส่วนลดลงเหลือ 70% หรือ 80% การซื้อหุ้นน่าจะได้ผลดีมาก หากอัตราส่วนเข้าใกล้ 200% เหมือนที่เกิดขึ้นในช่วงฟองสบู่ดอทคอมในปี 2542-2543 สะท้อนความเสี่ยงภาวะฟองสบู่ ทั้งนี้ปัจจุบันดัชนีดังกล่าวพุ่งไปถึง 217% ซึ่งสูงกว่าจุดสูงสุดในช่วงดอทคอมที่เข้าใกล้ 150% และสูงกว่าช่วงที่หุ้นพุ่งขึ้นแรงในยุคโควิด-19 ปี 2564 ที่เคยทำไว้ 190% อย่างมาก หลังตลาดหุ้นสหรัฐกำลังเข้าสู่ภาวะที่ไม่เคยมีใครเห็น เนื่องจากมูลค่าหุ้นกำลังขยายตัวเร็วกว่าการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐโดยรวมมาก การเติบโตนี้ส่วนใหญ่ได้รับแรงหนุนจากบรรดาบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ที่ทุ่มเงินมหาศาลในการพัฒนา ปัญญาประดิษฐ์ หรือว่า AI และได้รับผลตอบแทนอย่างทวีคูณจากแนวโน้มการเติบโตของนวัตกรรมใหม่นี้
นอกจากนี้อัตราส่วนราคาต่อยอดขาย (Price-to-Sales Ratio) ของ ดัชนี S&P 500 ก็ส่งสัญญาณคล้ายกัน โดยพุ่งขึ้นเป็น 3.33 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดตลอดกาล เทียบกับจุดสูงสุดของดอทคอมในปี 2543 ที่ 2.27 ทั้งนี้แม้ว่าบัฟเฟตต์จะไม่ได้แสดงความคิดเห็นต่อตัวชี้วัดนี้มานานหลายปี แต่การกระทำของเขาในช่วงที่ดัชนีพุ่งสูงก็เป็นสิ่งที่น่าจับตา
ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา Berkshire Hathaway ได้สร้าง ป้อมปราการ “เงินสด” จำนวนมหาศาล โดยมีเงินสดสะสมถึง 3.44 แสนล้านดอลลาร์ และมีการขายหุ้นเป็นไตรมาสที่ 11 ติดต่อกัน
ในส่วนของกลยุทธ์ สำหรับการลงทุนระยะสั้น (ไม่เกิน 1 สัปดาห์) เน้น “อ่อนตัวซื้อลงทุน” สำหรับการลงทุนระยะกลาง (1-3 เดือน) ในลักษณะ Long-Only แนะนำ “เพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้นไปที่ระดับ 75% ของพอร์ต”
ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่ความเห็นส่วนตัวของผมนะครับ โปรดใช้วิจารณญาณ และศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนการตัดสินใจลงทุนด้วยครับ สำหรับการพูดคุยกันระหว่างสัปดาห์นอกจากทาง Facebook ที่ www.facebook.com/hippowealththailand และ e-mail ที่ hippowealththailand@gmail.com แล้ว แฟนๆ ยังสามารถติดตามมุมมองเกี่ยวกับการลงทุนจาก “นายหมูบิน” ได้ในรายการ “เซียนเศรษฐกิจ” ทาง FM 97.00 ทุกวันอาทิตย์ เวลา 14.00-16.00 น. เช่นเดิมครับ
ภาพประกอบ : การวิเคราะห์ทิศทางตลาดหุ้นไทยในทางเทคนิครายวัน (Daily)

Source: TQ
Comments