หุ้นไทยไร้ปัจจัยบวก...SET 1,300 สมเหตุสมผล
- Dokbia Online
- 4 days ago
- 2 min read

ภาษี 19% ไม่มีผลบวก-ลบโดยตรงกับตลาดหุ้นไทย การปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นไทยรอบที่ผ่านมาเป็นผลมาจาก Valuation Drive ที่ราคาหุ้นไทยถูกเกินจริงทั้งในแง่ P/E และ Book Value ส่วนสาเหตุที่หุ้นปรับตัวลดลงในวันที่ 1 ส.ค. มาจากแรงซื้อก่อนหน้ามากเกินจริง หรือ Overbought และเป็นการลงทุนระยะสั้น จึงมีการเทขายและทำกำไรระยะสั้นของนักลงทุนรายใหญ่และนักลงทุนที่เก็งกำไร ย้ำ...มองไปข้างหน้ายังไม่มีปัจจัยบวกที่จะดันดัชนีหุ้นไทย ทำให้ดัชนีวนเวียนแถวๆ 1,250 จุด ถ้าผ่านไปถึง 1,280-1,300 จุดได้ จะเป็นจุดที่สมเหตุสมผล เป็นจังหวะทำกำไรอีกรอบของรายใหญ่และนักลงทุนต่างชาติ แต่ไม่จูงใจให้เข้าซื้อ เว้นแต่จะซื้อหุ้นที่มีปันผลดี และหุ้นที่มีคุณภาพ
Interview : คุณชยนนท์ รักกาญจนันท์ Mr.Messenger
1 สิงหาคม ถือเป็นวันโลกาวินาศของตลาดทุนทั่วโลกเลย แม้แต่หุ้นไทยเราก็ไม่เว้น ทั้งที่นึกว่าวันที่ 1 สิงหาคมสรุปได้ภาษี 19% น่าจะดี
ในเงื่อนไขรายละเอียดเป็นข้อเสนอแลกเปลี่ยนที่เราเสนอให้สหรัฐ เห็นอย่างแรกคือ ที่กังวลและคิดว่าคนไทยเราเป็นห่วงก็คือจะยอมให้สหรัฐอเมริกามาตั้งฐานทัพในไทย ซึ่งก็ไม่ได้มีในเงื่อนไขการเจรจาต่อรองข้อนั้น อย่างไรก็ตามคิดว่าเงื่อนไขที่ทำให้เราได้ภาษี 19% ต่ำกว่าเวียดนาม 1% ถ้าดูจากสิ่งที่เราไปแลก คิดว่ามีสิ่งหนึ่งที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ไม่เคยพูดถึงประเทศอื่น นั่นก็คือความความพยายามในการลดดุลการค้าจาก 1.2 แสนล้านดอลลาร์ต่อปี ลดให้ได้ 30% ภายใน 7 ปีข้างหน้า อันนี้คิดว่าเป็นสิ่งที่เป็นมิติใหม่ หรือเป็นสิ่งที่สหรัฐอเมริกาไม่เคยได้แผนระยะยาวแบบนี้จากประเทศอื่นๆ ก็อาจจะเป็นประเด็นหลักที่เขายอมลดภาษีให้กับเรา
คำถามต่อมา แล้วทำไมผลออกมาว่าลดให้แล้วตลาดหุ้นดูจะไม่ตอบรับเลย จริงๆ ตลาดหุ้นไทยจะร่วงหรือจะขึ้น ไม่ได้เกี่ยวข้องกับภาษีของทรัมป์มากขนาดนั้นตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เหตุผลแรกก็คือรายได้ที่มาจากการส่งออกโดยเฉพาะส่งออกไปสหรัฐอเมริกาของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นไม่ได้เยอะเท่ากับตัวจีดีพีของประเทศ การส่งออกของไทยคิดเป็น 70% ของจีดีพี แต่ว่าบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นบ้านเราส่งออกคิดเป็นสัดส่วนไม่ถึง 10% ของจีดีพี โดยใน 10% มีส่งออกไปที่สหรัฐอเมริกาไม่ถึงครึ่งหนึ่ง ดังนั้นแปลว่าบริษัทจดทะเบียนในบ้านเราแทบไม่ได้รับผลในทางตรงว่าทรัมป์จะขึ้นภาษีหรือลดภาษี แต่อาจมีผลกระทบทางอ้อม สมมุติบริษัทจดทะเบียนเรามีคู่ค้าเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ไปที่สหรัฐอเมริกา พอสหรัฐอเมริกามีปัญหา เขาชะลอการสั่งซื้อก็อาจจะกระทบ ฉะนั้นทางอ้อมมันมีอยู่แล้ว แต่ทางตรงเป็นเหตุผลที่อธิบายข้อที่หนึ่งว่าหุ้นเราไม่ได้เกี่ยวข้องกับภาษีทรัมป์
คำถามคือแล้วที่ผ่านมาทำไมหุ้นถึงขึ้นมาค่อนข้างแรงจากจุดที่ต่ำสุด แล้วพอประกาศลดภาษีหุ้นก็ลงแรงในวันนั้น มันเกิดอะไรขึ้น
ต้องบอกว่าการขึ้นแรงในรอบที่ผ่านมานั้น มาจาก Valuation Drive ก็คือ มูลค่าของตลาดหุ้นบ้านเราถูกเกินไปทั้งใน 2 มิติเลย คือทั้ง P/E และ Book Value ซึ่งเราเคยคุยกันไปแล้วว่า หุ้นไทยเรา P/E อยู่ที่ประมาณ 12 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปี ส่วน Book Value เคยลงไปตอนที่ SET อยู่ที่ 1,100 จุด Book Value ลงไปถึงประมาณ 1 เท่าเป๊ะๆ เลย ซึ่งเป็นจุดที่ถูกมาก อย่างที่สามที่ตามมา คือถูกขนาดนี้มาพร้อมกับโอกาสในการจ่ายปันผลหรือ Dividend Yield ที่สูงมากระดับ 6.1-6.5% ซึ่งตอนนี้ถึงแม้ตัดผ่านลงมายังอยู่ในระดับ 6% ฉะนั้นเหตุผลที่อธิบายได้ว่า นับจากช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมาทำไมตลาดหุ้นไทยกลับรีบาวด์ได้ดี คิดว่ามาจาก Valuation และ Dividend
ส่วนวันศุกร์ที่ 1 สิงหาคม ทำไมมันปรับฐานลงแรงจังเลย ทั้งๆ ที่ภาษีออกมา19% น้อยกว่าเวียดนามด้วย ก็ต้องย้อนกลับไปว่าจากจุดต่ำสุดของหุ้นแถวๆ 1,100 ขึ้นมาที่ 1,250 มันขึ้นมา 150 จุด ภายในระยะเวลาแค่เดือนเดียว หรือคิดเป็นประมาณ 13-14% ภายในรอบเดียวเลย ซึ่งถ้าดูสัญญาณทางเทคนิคพบว่ามีสัญญาณของความ Overbought คือซื้อแรงเกินไป ซื้อมากเกินไปในระยะสั้น และแถมสวนทางชาวบ้านด้วย คือชาวบ้านเขาวิ่งกันไปก่อนหน้านี้ แล้วตอนคนอื่นเขาลงกัน เราเพิ่งวิ่งขึ้น
ดังนั้นมองว่าแถวๆ 1,250 เป็นแนวต้านทางจิตวิทยา บน EMA-100 วัน พอดีอยู่แล้วมันจึงเป็นเหตุผลให้ลง คือสมมุติว่าผมเป็นคนเล่นสั้น ซื้อตั้งแต่ข้างล่าง ผมขายตอนไหนให้ไม่เสียราคาและมีคนมารับแน่ๆ ก็ต้องขายตอนมีข่าวดี ตอนที่ทุกคนสบายใจแล้วว่าได้ภาษี 19% เขาเข้าไปซื้อกันเถอะ แมงเม่าก็เข้าในวันพฤหัสบดีวันศุกร์กันเต็มเลย รายใหญ่นักเก็งกำไรที่เข้าไปแล้วก่อนหน้านี้ เขายังไม่แน่ใจไม่สบายใจ เขาก็ Take Profit ในระยะสั้น... นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น
แล้วยังเห็นนักลงทุนต่างชาติเข้ามาซื้อมากขึ้นด้วยช่วงนี้
ใช่ อีกเรื่องหนึ่งคือธีม คือจริงๆ หุ้นจะวิ่งได้แรงๆ หรือหุ้นขนาดใหญ่ ธีมใหญ่ๆ ทั้งโลก สมมุติถ้าเรามองตลาดหุ้นทั้งโลกเป็นตลาดเดียวกันทั้งหมด หุ้นที่ปรับเคลื่อนให้ดัชนีหุ้นโลกวิ่งมาขนาดนี้มันคือหุ้น AI มันคือหุ้น Tech แต่ในบ้านเราไม่มีหุ้น AI ไม่มีหุ้น Tech เลย ฉะนั้นตอนที่ตลาดอื่นวิ่ง เราเลยนั่งอยู่กับที่ ... แต่ตอนนี้มันประจวบเหมาะด้วยที่หุ้น 7 นางฟ้าประกาศงบครบทุกตัวไปแล้ว ปลายปีใครแย่ เราเห็นไปแล้วเรียบร้อย เพราะฉะนั้นมันจึงเกิด Side Effect ในหุ้น Growth หุ้น Tech เราเห็นแล้ว APPLE, AMAZON พองบออกมาอาจจะแพ้ในเกม AI การ Take Profit ก็ออกมาเยอะ พอมันอย่างนี้นักลงทุนที่กำไรจากหุ้น Growth มาเยอะ ก็เริ่มขายหุ้น Growth แต่เขายังอยากอยู่ในหุ้น ยังไม่อยากเอาเงินไปที่อื่นไม่อยากไปที่ตราสารหนี้ เขาก็เลยเลือกหาหุ้นที่มีคุณภาพดี ปันผลดี ซึ่งโลกเราตลาดไหนที่ให้ปันผลโอเค ก็เลยมาที่หุ้นไทยที่มีปันผลดี มันก็เลยเป็นที่มาว่าทำไมต่างชาติทยอยกลับมาลงหุ้นไทย ตอนนี้สถานะของหุ้นไทย มีจุดแข็งคือราคาลงมาลึกแล้วและจ่ายปันผลดี ในขณะที่ที่อื่นให้ไม่ได้ ดังนั้นต่างชาติเวลามองเราหลังจากขายออกจากหุ้น Tech ที่ตลาดอเมริกาไปแล้ว จะเอาเงินไปหลบไปพักที่ไหนดี ก็เอาไทยแล้วกัน คือราคาลงมาเละเทะเหลือเกิน ปีนี้ไม่ไปไหนเลยแต่ Dividend ได้ตั้ง 6% ถ้าอย่างนั้นมาอยู่ไทยก่อน นี่คือเหตุผลของต่างชาติ
รับรู้ข่าว จบข่าวภาษีทรัมป์ที่ลดลงเหลือ 19% แล้ว ต่อจากนี้ไปนักลงทุนจะใช้อะไรอ้างอิงเป็นปัจจัยบวก/ลบกับหุ้น ใช่ดอกเบี้ยหรือไม่
ต้องบอกว่าถ้าเป็นหุ้นไทย เราไม่มีปัจจัยบวกอะไรอยู่ข้างหน้าเยอะ นอกจากการจ่ายปันผลที่ดี ฉะนั้นก็เห็นว่าแถวๆ 1,250 เทคแล้วไม่ผ่าน แต่ถึงผ่านได้กะไปติดแถวๆ 1,280 ถึง 1,300 ตรงนั้น Valuation P/E ของหุ้นไทยก็จะกลับมาที่ความสมเหตุสมผล คือไม่ได้ถูกจนน่าเกลียด และ Dividend อยู่ในระดับ 5% มันก็แบบว่าไม่ได้จูงใจให้เม็ดเงิน Fund Flow ต่างชาติไหลเข้ามาเยอะเหมือนก่อนหน้านี้
ตรงจุดนั้น 1,280-1,300 อย่างไรก็ถูก Take Profit อยู่ดี
ฉะนั้น ถ้ามองหุ้นไทย คิดว่ามีไว้ ซื้อเพื่อ Dividend พอได้ แต่ถ้าอยากได้ส่วนต่างราคา upside แบบหวังว่าหุ้นไทยจะไปได้ถึง 1,400 จุด 1,500 จุด ยังมองไม่เห็น ปีนี้อาจจะยังไม่ใช่ปีของเรา เพียงแต่ระยะสั้นที่ผ่านมามันรีบาวด์
คำถามกลับมาคือ ครึ่งปีหลัง 2568 นี้ เราจะเอาอย่างไรกับพอร์ตเราดี คิดว่าจบ Tariff War หรือว่าจบเกมสงครามภาษีของทรัมป์แล้ว สิ่งที่ทรัมป์จะเล่นต่อไปน่ากลัว อย่างวันที่ 1 สิงหาคมที่ผ่านมาเราเห็นการโพสต์บน Truth Social ของทรัมป์ เขาบอกว่าเขาจะเอาเรือดำน้ำบรรทุกนิวเคลียร์ไปจอดที่น่านน้ำแปซิฟิกประชิดรัสเซีย เพราะอดีตประธานาธิบดีออกมาโพสต์บอกว่าให้ทรัมป์ระวังคำพูด และก็ระวังนะฉันก็มีอาวุธอยู่ในมือ แสดงว่าทรัมป์กำลังจะก่อ Hot War หรือเปล่า....ตรงนี้น่ากลัว
ผมเห็นในเฟซบุ๊ก ก็แซวกันใหญ่ว่ากัมพูชาจะเสนอชื่อทรัมป์ให้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ผมว่าโพสต์ของทรัมป์ล่าสุดเรื่องที่ส่งเรือดำน้ำไปขู่รัสเซียนี้ น่าจะอดได้รางวัลโนเบลสาขาสันติภาพแล้ว ไม่ได้แน่นอน แต่ตรงนี้เป็นเกมหนึ่งคือทรัมป์อยากไปหยุดทุกๆ สงคราม ทุกๆ มิติของสงครามไม่ว่าภาพใหญ่ภาพเล็ก ตั้งแต่การเจรจาอิสราเอลกับกลุ่มฮามาส ทรัมป์คุยไว้ตอนหาเสียงแล้วว่ามาปุ๊บจะทำให้อิสราเอลหยุดทันที ยังบอกอีกว่าสนิทกับปูตินมาก ก็อยากให้ปูตินถอยทัพจากยูเครน
ส่วนกัมพูชากับไทย ก่อนหน้านี้ทรัมป์ไม่มีพูดถึงเลย พอเรามีความขัดแย้ง ทรัมป์ก็เสนอหน้ามาทันที แต่คำถามคือทรัมป์สามารถเล่นเกมขู่กับสงครามแบบนี้ได้หรือ คำตอบคือวันที่ 1 สิงหาคมที่ผ่านมาตลาดหุ้นดาวโจนส์ตกไป 500 จุด มันตอบชัดแล้วว่านักลงทุนเตือนทรัมป์ว่า ทรัมป์เล่นเกมภาษีขู่โลกได้ แต่สงครามสู้รบมันขู่ไม่ได้นะ ความเสี่ยงมันสูงเกินไป ... ก็ต้องมาดูว่าเขาจะเล่นเกมนี้จริงหรือเปล่า เพราะน่ากลัวจริง
เรื่องสงครามจะมีผลต่อตลาดหุ้นมากกว่าเรื่องภาษี
ใช่ ประเด็นคือผมพูดตรงนี้ก่อนเพราะเตือนทุกคนก่อนว่า เหตุผลที่หุ้นจะลง มันลงได้แน่ๆ ถ้ามันอยากจะลง แต่ผมยังมีหวังว่าที่ทรัปม์ขู่เรื่องสู้รบแบบส่งเรือดำน้ำมาแบบนี้คงมีคนรอบข้างช่วยสะกิดเขาว่า นายครับอย่าขู่เยอะเกินไป รัสเซียแบบว่าเลือดเข้าตา ปูตินบอกทนไม่ไหวขึ้นมา กดยิงขึ้นมาเราจะเสียหายทั้งหมด ... หวังว่าจะมีคนสะกิดเตือน
ถ้าเป็นแบบนั้น สมมุติแล้วว่าสงคราม Hot War ไม่เจอ เราจะไปเจอสงครามการค้าทางฝั่งเอเชียกันเอง เนื่องจากกำแพงภาษี Tariff ในเอเชียไม่ได้ต่างกันเยอะนะ 19% และ 20% ถามว่าใครจะขายได้เยอะกว่า คราวนี้จะไม่ใช่เรื่องของ Tariff War แต่จะกลายเป็นเรื่องของสงครามการแข่งราคา ไปถึงสงครามค่าเงิน คือใครอยากส่งออกเยอะคนนั้นต้องทำนโยบายการเงินให้ค่าเงินตัวเองอ่อนค่า ซึ่งตอนนี้ไทยเราเสียเปรียบเพราะค่าเงินบาทเราแข็งค่ามากกว่าใคร... ก็ต้องมาดูว่าเราจะทำให้บาทอ่อนค่าอย่างไร
เรื่องอัตราดอกเบี้ยก็มีผล
ใช่ สุดท้ายแล้วถ้าเศรษฐกิจชะลอ เราก็คงอยากเห็นการลดดอกเบี้ย เราก็เห็นแล้วว่าทรัมป์ขู่พาวเวล ส่วนของไทยพอดีเราได้ผู้ว่าแบงก์ชาติคนใหม่ที่มีกระแสข่าวว่ามาจากทีมที่ปรึกษาคุณกิตติรัตน์ ที่ปรึกษาเศรษฐกิจของเพื่อไทยเขาเป็นคนเลือกขึ้นมาเอง เพื่อสานต่อนโยบาย ก็มีหวังเหมือนกันที่จะเห็นลดดอกเบี้ยลงในครึ่งปีหลังอย่างน้อยครั้งหรือสองครั้ง ซึ่งอาจจะพยุงตัวตลาดได้ระดับหนึ่งเหมือนกัน
อย่างที่สหรัฐอเมริกาพอเฟดออกมาจากการประชุมเมื่อ 30 สิงหาคม ที่ผ่านมา บอกว่าโอกาสที่จะเห็นการลดดอกเบี้ยของเดือนกันยายนเหลือต่ำกว่า 50% คือจุดยืนของพาวเวล ตอนที่พูดหลังประชุมบอกเลยว่ายังไม่เห็นสัญญาณของเงินเฟ้ออ่อนตัว และยังไม่รู้ผลกระทบของ Tariff ฉะนั้นขอคงดอกเบี้ยไว้ก่อน แต่จากนั้นไปเปิดดู Fed Fund Futers ออกมาว่าโอกาสที่เฟดจะลดดอกเบี้ยเดือนกันยายนมีเพิ่มเป็น 80% ...แปลกมั้ย ...แค่เพียง 2 วันถัดมาเท่านั้น แนวโน้มเปลี่ยนเลย... สาเหตุเป็นเพราะเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตรของสหรัฐที่เขาเก็งกันว่าน่าจะออกมาประมาณ 1.2-1.4 แสน แต่ออกมาจริงๆ 7 หมื่นกว่าคน ก็คืออยู่ดีๆ แรงงานหายไป คนไม่มีงานทำ ก็เลยเกิดคำถามว่า เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาเริ่มชะลอหรือยัง เพราะคนหางานทำยากขึ้น ซึ่งสิ่งที่เครียดกว่านั้นคือ ทรัมป์ถึงขนาดปลดผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจที่ออกตัวเลขการจ้างงานนี้ออกมา ให้ออกไปเลย ทรัมป์บอกว่าจะเป็นไปได้ไงสหรัฐอเมริกามีคนจ้างงานตั้งเยอะตั้งแยะ แต่คุณมาบอกตัวเลขการจ้างงานมันน้อยลง แบบนี้ผมไล่คุณออก ...ดูผู้ชายคนนี้สิ...ก็ต้องดูต่อไป เพราะต้องอยู่กับผู้ชายคนนี้อีก 3 ปีเต็ม
Comentários