top of page
379208.jpg

แนะช้อนหุ้น 3 กลุ่มสู้วิกฤต


ชี้...3 ปัจจัยเสี่ยงของโลกทำเศรษฐกิจ การเงิน ตลาดหุ้นปั่นป่วน ประกอบด้วย bond yield ของพันธบัตรรัฐบาลอเมริกาที่พุ่งสูงโดยเฉพาะพันธบัตรระยะสั้น บ่งบอกภาวะรัฐบาลอเมริกาขาดดุลการคลังมากขึ้น เศรษฐกิจจีนตกต่ำอย่างมาก ถึงขั้นรัฐบาลจีนต้องอัดฉีดงบเพื่อกระตุ้นมาตรการการคลังถึงหมื่นล้านล้านหยวน และสงครามอิสราเอล-ฮามาสที่ส่อเค้ารุนแรงและลากยาว ทั้ง 3 ปัจจัยเสี่ยงกระทบไทยตรงๆ และถูกซ้ำเติมด้วยปัญหาของไทยเอง ที่หนักสุดคือการแจกเงิน digital wallet ที่ยังไม่มีความชัดเจนถึงแหล่งที่มาของเงิน อีกทั้งทำไปทำมาอาจแจกเงินได้ไม่ถึง 5 แสนล้านบาท อย่างเก่งแจกได้แค่ 1-2 แสนล้านบาทเท่านั้น ไม่มากพอที่จะกระตุ้นการใช้จ่ายและการขยายตัวของ GDP ในภาวะความสับสนทำให้ตลาดหุ้นไทยแดงแจ๋ หุ้นตกจนหาแนวรับแทบไม่เจอ แต่ในแง่นักกลยุทธ์มองว่าเป็นจังหวะที่เข้าซื้อได้ในหุ้น 3 กลุ่มคือกลุ่ม under value ที่อยู่ในโหมด oversold เช่น BDMS และ CPALL, กลุ่มที่มีผลประกอบการดี เช่น AOT, BLA, BCH ตามมาด้วยกลุ่มที่จ่ายปันผลสูง เช่น BBL และ KTB


Interview : ดร.ปิยศักดิ์ มานะสันต์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัยการลงทุน บริษัท หลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด


หุ้นไทยลงหนักมากไปไม่เป็นความเสี่ยงสูงมากใช่ไหม

ใช่ เป็นช่วงที่ท้าทาย เรียกว่าช่วงว้าวุ่นก็ได้ของนักลงทุนทั่วโลก เพราะภาพทั้งโลกมีความเสี่ยงเรื่องของโลกหรือความเสี่ยง 3 ตัวพร้อมกัน คือเรื่องของอเมริกาเป็นภาพของ bond yield ที่วิ่งขึ้น โดยเฉพาะผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐตัว 10 ปี เห็นภาพของจีนที่ตัวเลขเศรษฐกิจดีขึ้น แต่ก็เห็นภาพว่ารัฐบาลกระตุ้นขนาดใหญ่ทั้งฝั่งด้านการคลังก็มีมาตรการ 10,000 ล้านล้านหยวน ด้านการเงินประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ก็ไปเยือนแบงก์ชาติ หรือ PBOC เป็นครั้งแรกในรอบ 10 กว่าปี ก็เป็นการส่งสัญญาณว่าพยายามอัดเงินเต็มที่อันนี้เป็นภาพของจีน ส่วนการเมืองระหว่างประเทศที่เราติดตามกันมาตลอดในช่วงนี้คือเรื่องของสงครามอิสราเอลและฮามาสที่มีความรุนแรงและอาจจะยืดเยื้อนานขึ้น

อย่างผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐที่ขึ้นมามี 3 ปัจจัย ที่เราเห็นวิ่งขึ้นมาตั้งแต่การประชุมเฟดเดือนกรกฎาคมหลังจากนั้นวิ่งขึ้นจาก 3 กว่าๆ วิ่งเข้า 4 และไปแตะ 5% และลงมานิดนึงตอนนี้อยู่แถว 4.8-4.9%


วางใจได้ไหมที่ผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีกลับมาลดลงต่ำกว่า 5% ได้แล้ว

วางใจไม่ได้

จุดที่น่าสนใจคือที่ผ่านมาในรอบหลายปีกว่า สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากที่เฟดขึ้นดอกเบี้ยแรงๆ ดอกเบี้ยตัวสั้นมันสูง ดอกเบี้ยตัวยาววิ่งสูงขึ้นกว่าตัว 10 ปี ปัจจุบันสิ่งที่เกิดขึ้นคือดอกเบี้ยนโยบายของเฟดตอนนี้อยู่แถว 5.4-5.5 ขณะที่ตัว 2 ปี อยู่ที่ 5.0 ลองคิดภาพดอกเบี้ยนโยบายสั้นสุดอยู่ที่ 5.4 ตัว 2 ปีอยู่ที่ 5.0 ขณะที่ตัว 10 ปีอย่างตอนนี้อยู่ที่ 4.8-4.9 มันยัง invert อยู่แต่น้อยลง ตัวสั้นที่สูงกว่าตัวยาวมันน้อยลงค่อนข้างมาก จริงๆ สาเหตุมาจากตัวสั้นมันขึ้นแรงและดึงตัวยาวขึ้นมาเป็น curve นี่เป็นภาพของ bond yield ที่แปลว่าต้นทุนทางการเงินค่อยๆ สูงขึ้น สาเหตุที่ดอกเบี้ยตัวสั้นขึ้นเพราะเฟดขึ้นดอกเบี้ยเพื่อคุมเงินเฟ้อ ส่วนจะรีบลดดอกเบี้ยคงยังไม่น่ารีบลดช่วงนี้ สิ่งที่เราเรียกว่า higher for longer เป็นตัวกดดันทำให้ตัวดอกเบี้ยระยะสั้นอยู่ระดับสูง

อันที่ 2 คือ พันธบัตรตัว 10 ปีมันบ่งชี้เรื่องต้นทุนของภาครัฐ ช่วงรัฐบาลของไบเดนมีมาตรการเรื่องการคลัง สวัสดิการต่างๆ ทำให้ขาดดุลงบประมาณสูงมาก จำได้ไหมช่วงกลางปีช่วงที่มีการ down grade เครดิตเรตติ้งของอเมริกา สาเหตุหลักๆ เพราะปีนี้หรือปีหน้าการขาดดุลของการคลังจะประมาณ 6% กว่า เมื่อปี 2022 ยัง 3% กว่า คือขึ้นมาเกือบ 2 เท่า จาก 3.7 เป็น 6.3 และจะเป็นประมาณ 7% ในปีหน้า แสดงว่าเขาขาดดุลการคลังมากขึ้น ก็ต้องออก bond มากขึ้น ราคา bond ก็ถูกลง ดอกเบี้ยสูงขึ้น bond yield สูงขึ้น

ประเด็นที่ 3 เรื่องของเฟดนอกจากจะขึ้นดอกเบี้ยแล้วยังทำเรื่องของ QT ถอนสภาพคล่องออก คือขายพันธบัตรออกไปจากที่เคยอยู่ใน balance sheet เดือนละ 9 ล้านล้าน ตอนนี้งบดุลของเฟดประมาณ 8 ล้านล้าน การหายไปทำให้ bond yield ขึ้น แน่นอนว่ากระทบนักลงทุนในหุ้น ทำให้ต้นทุนในเรื่องการคำนวณราคาของหุ้นมันแย่ลง เพราะตัวดอกเบี้ยขึ้น ต้นทุนสูงขึ้นทำให้กดดันเรื่องของหุ้นในช่วงนี้

หุ้นอเมริกาหลังๆ ไม่ได้ไปไหนแม้งบต่างๆ ออกมาค่อนข้างโอเค แล้ว bond yield ที่ขึ้นก็ดึง bond yield ที่อื่นรวมถึงไทยให้ขึ้นไปด้วย ก็เป็นปัจจัยแรก ผมก็ค่อนข้างกังวลในระดับนึง เพราะ inverted yield curve ส่วนต่างของดอกเบี้ยระยะสั้นสูงกว่าระยะยาวมันเริ่มกลับมาเป็น normal แปลว่าเข้ามาใกล้กันแล้ว อย่างตัว 2 ปีอยู่ที่ประมาณ 5.1 ตอนนี้ 10 ปีอยู่แถว 4.9 ก็ใกล้กันแล้ว ทุกครั้งที่เกิดในช่วง recession ช่วง 4 ครั้งหลังสุดตั้งแต่ปี 1990 เป็นต้นมาถึงปัจจุบันที่เขาพูดกันว่า inverted yield curve เป็นสัญญาณของเศรษฐกิจถดถอย มันเป็นอย่างนั้นแทบทุกครั้ง แต่เมื่อกำลังเข้าสู่เศรษฐกิจถดถอย ภาวะ inverted yield curve จะกลับมาเป็น normal ตอนนี้มันเข้าสูตร

ปกติถ้าเข้าสู่ normal พูดง่ายๆ ตัว 2 ปีกับ 10 ปีเท่ากัน นับได้เลยว่า 4-8 เดือนจะไปสู่ recession ซึ่งหลายฝ่ายก็งงกัน อย่างล่าสุดที่อเมริกาเพิ่งประกาศ GDP ดีมาก 4% กว่า แล้วมันจะมาสู่ถดถอยได้ยังไง ต้องไม่ลืมว่าที่ผ่านมาประชาชนได้เงินออมจากฝั่งไบเดนและทรัมป์ที่ให้มาสมัยโควิดก็จะมีเงินเหลือในส่วนนั้นส่วนนึง รวมถึงดอกเบี้ยเพิ่งกำลังเริ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมาก็ยังไม่ได้รับผลกระทบจากดอกเบี้ยมากเท่าไหร่ ต่อไปสิ่งที่จะเกิดขึ้นคือตัวประชาชนจะมีการจ่ายเรื่องของดอกเบี้ยต่างๆ มากขึ้น ดอกเบี้ยบ้าน รถ บัตรเครดิต รวมถึงใครมีหนี้เพื่อการศึกษาก็ต้องกลับมาจ่ายแล้วเพราะเขายกเว้นให้ช่วงโควิดก็ต้องกลับมาจ่ายเหมือนเดิม ก็มีภาระมากขึ้นในจุดนี้ รวมถึงตลาดแรงงานก็ส่งสัญญาณซอฟต์ลง ตัวนายจ้างต่างๆ ช่วงที่ผ่านมาเขายอมให้เงินเยอะๆ เพื่อดึงแรงงานเพราะมันขาดหลังจากโควิด ตอนนี้แรงงานเข้ามาพอสมควรแล้ว

ขณะเดียวกันดีมานด์เริ่มดร็อปในเรื่องการใช้จ่ายต่างๆ โดยเฉพาะภาคการบริโภคมันเริ่มดร็อปแล้ว แต่พวก service ออกไปดูหนัง คอนเสิร์ต ยังดีอยู่ในช่วงนี้ แต่ในระยะต่อไปเมื่อต้นทุนทางการเงินมากขึ้น รายได้ที่ไม่ได้เติบโตขึ้นตาม มันจะเกิดความเสี่ยงมากขึ้น ก็มีความเป็นไปได้ว่าในช่วง 4-8 เดือนข้างหน้า recession จะมา ก็เป็นภาพที่มีความเป็นไปได้สูง

อันนี้เป็นภาพแรกของ bond yield ก่อนที่จะเกิด recession โดย bond yield ยังอยู่ในระดับสูงและจะกดดันทำให้ตัว valuation ต่างๆ ของหุ้นก็จะแย่ลง ก็เป็นตัวกดดันตลาดต่อเนื่อง

ประเด็นที่ 2 เรื่องสงคราม สรุปง่ายๆ แม้ว่าตอนนี้อิสราเอลยังไม่บุกฉนวนกาซาแบบเต็มรูปแบบ เห็นพูดมาตั้งหลายอาทิตย์แล้ว แต่ก็ยังมีความเป็นไปได้ รวมถึงเริ่มมีการจัดประชุมสันติภาพเริ่มมีการแลกเปลี่ยนตัวประกัน คือเปิดให้ขบวนรถช่วยเหลือ convoy ของสหประชาชาติเข้าไปช่วยในกาซา ก็เป็นสัญญาณบวก ถือว่าดีขึ้นในระดับนึง แต่ภาพใหญ่ของอิสราเอลจุดหลักๆ เขาเครียดเขาโกรธแค้นจากการโดนฮามาสโจมตีช่วงวันที่ 7 ตุลาคม จุดหลักของเขาต้องการให้ฮามาสออกจากการเป็นรัฐบาลที่ปกครองฉนวนกาซา อิสราเอลถึงได้เอาทหารไปลงฉนวนกาซาเพราะพวกฮามาสส่วนใหญ่เขาขุดดินอุโมงค์อยู่ เวลาอิสราเอลไปทิ้งบอมบ์ส่วนใหญ่คนที่เจ็บเป็นสุภาพสตรีและประชาชน ทางฝั่งของอิสราเอลอยากจะเข้าไปแต่หลังจากที่เขาบอมบ์เยอะๆ ทำให้คนเห็นใจฝั่งฮามาสมากขึ้นหลังจากช่วงแรกเคยเห็นใจอิสราเอล ทำให้อิสราเอลยังไม่กล้าบุกเข้าไปทีเดียว ยังมีปัจจัยดึงกันต้านกัน ถ้าเราไปดูอดีตสงครามอย่างเร็วจบเร็วแค่ไหน ซึ่งการสู้รบกันระหว่างฮามาสกับอิสราเอลเขาเคยมีการทะเลาะกันและมีปัญหากันในปี 2014 สเกลเบากว่านี้มากเพราะตอนนั้นคนอิสราเอลเสียชีวิตไป 60 กว่าคน ฝั่งปาเลสไตน์เสียชีวิตไป 2,000 กว่าคน ตอนนี้คนอิสราเอลก็เสียชีวิตไปแล้วเป็นพันคนและฝั่งปาเลสไตน์ก็เสียชีวิตหลายพันคน

แต่ point ที่น่าสนใจคือสงครามจะสงบลง ความปั่นป่วนต่างๆ น้อยลงได้ จะต้องมีการคุยกัน คราวที่แล้วปี 2014 ก็มีการคุยกันและหยุดยิง 4-5 ครั้ง คุยแล้วก็หยุดยิง 1-2 วันแล้วก็คุยกันใหม่ บางทีคุยเช้า เย็นยิงกันอีกแล้ว มันใช้เวลาแบบนี้ 1-2 เดือน จนกระทั่งหาคนที่เป็นจุดเริ่มต้นของความขัดแย้งได้ก็จะบรรเทาลง เพราะฉะนั้นคราวนี้โอกาสจะบรรเทาลงก็ต้องเป็นภาพเช่นนั้น

เราก็มองภาพว่าถ้าในฝั่งของตัวสงครามอิสราเอลกับฮามาสนั้น สิ่งที่เราต้องตามดูคือการประชุมเจรจาสงบศึกซึ่งต้องมี player ใหญ่อย่างอิสราเอล ฮามาส และสหรัฐ รวมถึงอียิปต์ ต้องมาคุยกันชัดเจนขึ้น ตอนนี้เรายังไม่เห็นภาพขนาดนั้น


อยากให้พูดถึงตลาดไทยและ digital wallet ก็เป็นประเด็นหลักที่กดดันความเชื่อมั่น มองหุ้นไทยจากนี้อย่างไร

เรื่องของ digital wallet รวมถึงหุ้นไทยแน่นอนว่าถูกกระทบจากปัญหาและปัจจัยเสี่ยงของโลก

ประเด็น digital wallet เริ่มชัดเจนมากขึ้นว่าทำ 560,000 ล้านไม่ได้ แน่นอน ประเด็นหลักคือเรื่องที่มาของเงิน ถ้าเผื่อยังไม่มีความชัดเจนในจุดนี้ตลาดก็จะค่อนข้างผันผวนในระดับนึง เรามองภาพว่าในที่สุดโอกาสที่ทำได้น่าจะแถว 100,000-200,000 ล้าน ไม่ได้เป็น 500,000 ล้านอย่างที่พูดกัน แต่รัฐบาลก็ต้องสร้างความชัดเจนที่เร็วขึ้น

คราวนี้ในเรื่องของหุ้นจะมีโอกาสมากน้อยแค่ไหน คือในฝั่งของนักกลยุทธ์เรามองภาพว่าจริงๆ ตอนนี้น่าสนใจที่จะเข้าซื้อค่อนข้างมากโดยเฉพาะถ้ามองปัจจัยพื้นฐานแล้วคำนวณจากแต่ละหุ้นขึ้นไป คือของเรา valuation จะอยู่แถว 1,550 แต่ตอนนี้อยู่แถว 1,400 ถือว่าค่อนข้างต่ำมาก เราแนะนำอยู่ 3 กลุ่ม กลุ่มแรกเรียกว่า under value มากๆ เข้าเขต oversold พวก BDMS, CPALL กลุ่มที่ 2 ไปดูหุ้นที่มีผลประกอบการที่น่าจะดีต่อเนื่องและซื้อได้คือพวก AOT, BLA, BCH และ KTC กลุ่มสุดท้ายหุ้นที่จ่ายปันผลสูงเรามองพวก BBL, KTB


กรณีนโยบาย digital wallet ที่เต็ม max กับไม่เต็ม max มีผลกับหุ้นต่างกันอย่างไร

มี แน่นอนเรื่อง consumption ต่างๆ ก็ไม่น่าจะดีมากนัก ภาพชัดเจนคนมีรายได้น้อยหน่อยหรือรากหญ้าได้รับเงินชัดเจน ทำให้มองภาพว่ายังไงพวกค้าปลีกที่เกี่ยวข้องต่างจังหวัดหน่อยคือเป็น play เดียวกับสมัยคนละครึ่ง ภาพนี้น่าจะได้แต่มันถูกกดด้วยภาพใหญ่คือสถานการณ์โลกที่ไม่ชัดเจน เรื่องของไทย digital wallet ที่ยังไม่ประกาศชัดเจนก็คงยังไม่เห็นภาพตรงนี้

นักลงทุนต่างชาติยังไม่กลับมาเต็มที่

ใช่ ยังมีปัจจัยทั้งโลกและของไทยที่เป็นปัจจัยลบ เรามองว่าอีกสักพักนึงจนกระทั่งประชุมเฟด ถ้าส่งสัญญาณมากขึ้น เช่นจะลดการทำ QT ลง จะทำให้ bond yield ไม่สูงมากนัก ก็น่าจะเป็นสัญญาณที่ดีได้ ส่วนของไทยคงจับตาเรื่องของ digital wallet อย่างเดียว


403 views

Comentários


bottom of page