เศรษฐกิจโลก ตลาดทุน ตลาดหุ้น ตลาดเงิน เริ่มฟื้นตัวในช่วงครึ่งหลังของปี 66 ในส่วนของตลาดหุ้นที่น่าสนใจที่สุดในช่วงนี้คือตลาดหุ้นญี่ปุ่น เหตุจากเศรษฐกิจเติบโตกว่าคาดการณ์ ภาคท่องเที่ยวบูมปรอทแตก ราคาหุ้นถูก ผลประกอบการหุ้นจดทะเบียนดีมาก ที่สำคัญคือนักลงทุนทั่วโลกนำโดยขาใหญ่อย่าง วอร์เรนต์ บัฟเฟตต์ โยกเงินลงทุนจากอเมริกา-จีนมาลงทุนในญี่ปุ่นเพื่อกระจายความเสี่ยง นอกจากตลาดหุ้นญี่ปุ่นแล้ว ตลาดหุ้นที่น่าสนใจรองลงมาคืออเมริกาและเวียดนาม กลุ่มหุ้นที่น่าลงทุนคือกลุ่มเทคฯ และท่องเที่ยว ส่วนตลาดหุ้นที่นักลงทุนมีความกังวลสูงคือจีนและไทยที่มีปัจจัยลบรุมเร้า ยังไม่เห็นทางออกที่ชัดเจน
Interview : คุณตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน จิตตะ เวลธ์
จากครึ่งแรกเข้ามาถึงครึ่งปีหลัง มองโลกการเงิน การลงทุน ในตลาดหุ้นสำคัญๆ เวียดนาม เมืองไทย อย่างไร
เวลามองต้องแยกเป็น 2 เรื่อง อย่างแรกคือเรื่องเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจริง อย่างที่ 2 คือ ตลาดหุ้น ถ้าวิเคราะห์สิ่งที่เกิดขึ้นในครึ่งปีแรกก่อน ในเรื่องเศรษฐกิจโลกจะพบว่าเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีแรกค่อนข้างเป็นช่วงฟื้นตัวจากการเจ็บช้ำเมื่อปีที่แล้วที่มีสงคราม มีปัญหาเงินเฟ้อ มีการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดเป็น 10 รอบ ประเทศไทยก็ขึ้น เวียดนามขึ้น 2 รอบครั้งละ 1% ทำให้ทุกประเทศบอบช้ำตรงนี้
ในช่วงครึ่งปีหลังเราจะเห็นว่าเงินเฟ้อในหลายประเทศจะหยุดแล้ว อย่างของอเมริกาอยู่ที่ 4% กว่าๆ ก็ลดลงจากจุดสูงสุดเมื่อปีที่แล้ว มีความเป็นไปได้ว่าเฟดจะหยุดและชะลอการขึ้นดอกเบี้ย หรือมีจังหวะดีๆ อาจจะลดดอกเบี้ยในช่วงปลายปีด้วย ซึ่งตรงนี้จะสะท้อนภาพกลับไปที่ 40 ปีที่แล้วที่เงินเฟ้อสูง คือประมาณปี 1973-1974 ใช้เวลาขึ้นดอกเบี้ยเกือบ 2 ปี
ดังนั้น ในช่วงครึ่งปีหลัง ผลกระทบจากเงินเฟ้อจะค่อยๆ ลดลงแล้ว การที่ธุรกิจหลายๆ แห่งเริ่มประหยัดค่าใช้จ่าย ลดต้นทุน ปลดคนงาน ผมว่าค่อยๆ หมดลงแล้ว เรื่องของดอกเบี้ยที่ทำให้หลายบริษัทล้ม บางที่กู้ยืมเงินมาตอนแรกดอกเบี้ย 2% แล้วพุ่งเป็น 4-5% บางบริษัทจ่ายไม่ไหวก็เจ๊งไป จากนี้ภาพนี้จะค่อยๆ หายไป ดอกเบี้ยอยู่ในโซนลดลง เงินก็จะไหลกลับมาเข้าสู่เศรษฐกิจ ภาพพี่ใหญ่อเมริกามีการลดดอกเบี้ยและเศรษฐกิจเริ่มพอไปได้แล้ว ผมว่าเศรษฐกิจทั่วโลกจะเริ่มตามมา ในฝั่งอเมริกาภาพรวมค่อนข้างเป็นบวก
ตลาดหุ้นจะเป็นอย่างไร
ในส่วนของตลาดหุ้นเราแยกกัน เพราะส่วนมากตลาดหุ้นจะรับรู้ข่าวสารล่วงหน้าของเศรษฐกิจจริง อย่างปีที่แล้วเราจะเห็นว่าตลาดหุ้นอเมริกาหรือทั่วโลกตกเละเทะ 20-30% เป็นเพราะเขารู้แล้วว่าจะ Recession อาจจะเกิดเงินเฟ้อรุนแรง เฟดขึ้นดอกเบี้ย แต่กลายเป็นตั้งแต่ต้นปีดัชนีหลักๆ ของอเมริกาอย่าง S&P ก็บวก 20 Nasdaq บวก 30 ตั้งแต่ปีนี้เขาบอกเงินเฟ้อยังไม่หยุดแค่เริ่มลดลง แต่จริงๆ ตลาดหุ้นมองแล้วว่าเดี๋ยวเฟดก็หยุดขึ้นดอกเบี้ยและอาจจะลดดอกเบี้ย
แล้วบริษัทหลายแห่งโดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยี Google, Facebook, Amazon ประกาศปลดคนงานเรียบร้อยหมดแล้ว ตลาดหุ้นเลยมองว่ากลุ่มรายได้เขายังเพิ่ม กลุ่มเทคฯ คนก็ยังใช้สินค้าบริการเขา แต่ต้นทุนเขาลดลงแล้วเพราะปลดคนงาน ลดธุรกิจที่ไม่ได้ทำกำไรออกไป ปีนี้ภาพรวมกำไรต้องเติบโตเป็นบวก ทำให้ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาหุ้นเทคฯ ยักษ์ใหญ่ขึ้นมามาก ล่าสุด Apple Inc ราคาหุ้นก็ขึ้น all time high เรียบร้อยแล้ว คิดว่ากลุ่มเทคฯ เริ่มกลับมาเติบโต ก็ดึงดัชนีขึ้นด้วย คนก็จะสนใจกลับมาลงทุนในตลาดหุ้น ทำให้ภาพรวมตลาดหุ้นน่าจะขึ้น อาจจะมีการปรับตัวบ้างเป็นครั้งคราวตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจนถึงสิ้นปีนี้ แต่คิดว่าไม่น่ากลับไปสู่ช่วงขาลงแล้ว
หุ้นกลุ่มไหนที่น่าสนใจ
กลุ่มที่น่าสนใจในสหรัฐน่าจะเป็นกลุ่มเทคโนโลยีที่บอกไปแล้ว อีกกลุ่มนึงคือกลุ่มท่องเที่ยว ถ้าไปดูตอนนี้ เช่น booking.com สายการบินต่างๆ หรือที่พัก Airbnb หรือ UBER ราคาหุ้นเริ่มกลับมา ผลประกอบการดีมาก อย่างธุรกิจห้องพักของ Marriott ที่ใหญ่ที่สุด รวมถึง Airbnb ที่เป็นแพลตฟอร์มจองที่พักที่ใหญ่ที่สุดต่างมีรายได้แบบ all time high เป็นไปได้ว่าปีนี้คนสหรัฐเริ่มกลับมาใช้จ่าย เรื่องท่องเที่ยวที่ถูกอั้นมานานก็กลับมาใช้จ่ายได้
ถ้าใครที่ตกหล่นหุ้นสหรัฐอย่าคิดน้อยใจ ถ้าเป็นช่วงขาขึ้นแล้วอาจจะไปต่อได้ 3-5 ปีได้เลยหลังจากปรับตัวจากปีที่แล้ว
จีนเป็นอย่างไร
ในส่วนของจีนซึ่งเป็นเศรษฐกิจยักษ์ใหญ่ ตัวเลขการเติบโตน้อยกว่าที่คาดหวัง ปรับตัวแค่ 12.7% จากคาดการณ์ว่าจะต้องโต 13-14% มองว่าปีนี้จีนต้องกระตุ้นการใช้จ่ายเพิ่ม เรื่องของนักศึกษาที่บอกว่าจบมาแล้วไม่มีงานทำ จริงๆ อย่างที่ทราบคือจีนเขาเพิ่งเริ่มเก็บตัวเลขมาไม่นาน จริงๆ จาก 96 ล้านคน มี 33 ล้านคนที่เป็นกลุ่มคนทำงาน ส่วนที่เหลือเป็นนักศึกษา ซึ่งนักศึกษาที่จบมาจริงๆ ประมาณ 1 ใน 5 ที่หางานไม่ได้ ปัญหายังไม่เยอะ แต่ต้องแจ้งทุกคนว่าเราต้องฟังหูไว้หู เพราะข้อมูลจากรัฐบาลเราปักใจเชื่อไม่ได้ 100%
ส่วนวิกฤตอสังหาฯ ในจีนผมว่าคลี่คลายแล้ว เพราะมีการปล่อยสินเชื่อและทำให้อสังหาฯ ในจีนเดินต่อไปได้ เพียงแต่ในภาพรวมเนื่องจากจีนมีประชากร 1,400 ล้านคน จึงพยายามเน้นย้ำยุทธศาสตร์เศรษฐกิจการเติบโตในประเทศของเขา ก็เป็นห่วงยอดค้าปลีกที่ลดลง คิดว่ารัฐบาลจีนต้องทำตรงนี้ ฝั่งวอลล์สตรีทก็ปรับคาดการณ์ GDP ของจีนลดจาก 6% เป็น 5.4% เนื่องจากมองว่ายังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ เรื่องโควิดแม้จะผ่อนคลายแต่ยังรู้สึกว่าเข้มงวดกว่าหลายประเทศ มองว่ามีความกังวลทางเศรษฐกิจอยู่ เศรษฐกิจจีนอาจจะไม่ได้เติบโตดี แต่ตั้งเป้าโต 5% ถือว่าโตมากสุดในกลุ่มเศรษฐกิจใหญ่ พอๆ กับอินเดีย แต่โตกว่าสหรัฐ ญี่ปุ่น
ในฝั่งของตลาดหุ้นจีนไม่ได้ตอบรับในเชิงบวก แม้เราจะมองว่าเศรษฐกิจจีนจะเติบโต 5% โตมากกว่าประเทศอื่น แต่ฝั่งกระแสเงินทุนทั่วโลกยังไม่ได้ไหลเข้าไปในจีนเลย เพราะเขายังกลัวว่ารัฐบาลจีนอาจจะทำนู้นทำนี่ขึ้นมาอีก เป็นปัจจัยที่ทำให้หุ้นจีนถูกกดไว้ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงระดับนึง สำหรับนักลงทุนที่คิดว่าอยากจะไปลงทุนในจีนแนะนำว่าค่อยๆ ทยอยสะสมดีกว่า ปัจจุบันยังมองว่าตลาดจีนยังไม่พ้นช่วงขาลง ยังปรับตัวลงต่อเนื่อง ไม่เห็นการแตะเบรก ซึ่งต่างจากสหรัฐและญี่ปุ่นที่เริ่มเห็นการปรับตัวขึ้นมามากแล้ว
นักลงทุนยังกลัวจีนบุกไต้หวันไหม ไต้หวันบอกประเทศของฉัน ประเทศอื่นห้ามยุ่ง ใครยุ่งเป็นศัตรู
ภูมิรัฐศาสตร์เป็นปัจจัยนึง ตอนนี้มี 2 เรื่อง เรื่องแรกคือเรื่องของไต้หวันที่อาจจะเกิดอะไรขึ้นระหว่างจีนกับสหรัฐ เรื่องที่ 2 รัสเซียกับยูเครน ถ้าเราพูดในฝั่งไต้หวันจริงๆ นักลงทุนที่ลงทุนในไต้หวันผมว่าน่าจะต้องกลัวมากกว่าในจีน หมายความว่าถ้าคุณลงทุนในไต้หวันแล้วไต้หวันเป็นอะไรไป อันนั้นตลาดหุ้นอาจจะมีปัญหาได้ แต่ถ้าคุณลงทุนในจีนต่อให้ Worst Case จริงๆ คือไต้หวันแยกออกมาเป็นประเทศตัวเองจริงๆ เศรษฐกิจจีนก็ยังแข็งแกร่งอยู่ดี ตลาดหุ้นที่ดีลกับเศรษฐกิจจริงอาจจะตกลงชั่วคราว แต่ไม่ได้พังทลาย เดี๋ยวก็ปรับตัวขึ้น เพราะมันอิงกับเศรษฐกิจในประเทศเขาหรือในฮ่องกงมากกว่า
ประเด็นแบบนี้เราจะเห็นได้ว่านักลงทุนที่ลงทุนในจีนเขาไม่ได้กลัวฝั่งนู้นมาก อย่างคุณวอร์เรน บัฟเฟตต์ ที่ไปลงทุนในไต้หวันก็อาจจะเปลี่ยนไปลงทุนในญี่ปุ่นแทนด้วย เหตุผลถ้าไต้หวันเป็นอะไรไปจีนไม่สะเทือน แต่ผมเชื่อว่าทั้งจีนและอเมริกาเขาไม่อยากรบ มีปัญหา หรือทำลายภาพความสงบสุข ผมว่าน่าจะจบด้วยการพยายามหาทางออกร่วมกันทุกฝ่ายที่ดีมากกว่า ในฝั่งจีนถ้าเราดูจากวิธีการเขารันประเทศมาเขามีข้อดี คือการเมืองเขานิ่งเพราะเป็นพรรคคอมมิวนิสต์ เขาไม่จำเป็นต้องรีบร้อนเอาไต้หวันมาอยู่ในมือวันนี้ด้วยวิธีการรุนแรง เขาค่อยๆ เปลี่ยนหรือทำอะไรหรือใช้การทูต เขามีเวลา 10-30 ปี เขารอได้ คล้ายๆ ที่เราเห็นการค่อยๆ เปลี่ยนฮ่องกงไปเป็นของเขา ไม่ได้หักดิบว่าพอคุณกลับมาเป็นของจีนคุณต้องเปลี่ยนมาใช้ระบอบเรา เขาค่อยๆ พยายามทำมากกว่า ผมเชื่อว่าไม่น่าเห็นความรุนแรง โอกาสเกิดขึ้นมี แต่น่าจะน้อย จีนพยายามประคองมากกว่า และในช่วงที่เศรษฐกิจทั้งจีนและอเมริกายังไม่ได้ฟื้นตัวเต็มที่ ผมว่าเขาไม่อยากมีปัญหากัน เพราะคนในประเทศจะออกมาต่อต้านอยู่แล้ว เพราะคนในประเทศยังเดือดร้อนกันอยู่
ครึ่งปีแรกที่ผ่านมาตลาดหุ้นญี่ปุ่นโดดเด่นมาก บวกกว่า 20% เกิดอะไรขึ้น
เพราะเศรษฐกิจญี่ปุ่นขยายตัวดีมาก คาดการณ์ไว้ 1.6% แต่ว่าโต 2.7% ในไตรมาสแรก สิ่งที่เห็นได้ชัดที่ญี่ปุ่นทำแล้วกลับมาได้ดีคือเรื่องการท่องเที่ยว พอเริ่มเปิดประเทศปลายปีที่แล้วปรากฏตัวเลขนักท่องเที่ยว 4 เดือนแรกปีนี้ประมาณ 6.7 ล้านคน เทียบกับปี 2565 ทั้งปีนักท่องเที่ยวอยู่ที่ประมาณ 3.8 ล้านคน เรียกว่า 4 เดือนที่ผ่านมาแซงของปีที่แล้วเรียบร้อยแล้ว
ตัวตลาดหุ้นญี่ปุ่นจริงๆ เป็นตลาดหุ้นที่มีราคาถูกเยอะมาก นักลงทุนเริ่มให้ความสนใจ และ วอร์เรน บัฟเฟตต์ นักลงทุนอันดับ 1 ของโลกย้ายเงินทุนไปญี่ปุ่นเยอะ ทำให้นักลงทุนหลายๆ คนสนใจตามแล้วว่าหุ้นดี ราคาถูก เงินสดดี จ่ายเงินปันผลทุกปีอยู่ที่ 7-8 เท่า ขณะที่คุณไปหาหุ้นแบบนี้ในอเมริกา P/E แบบนี้อยู่ที่ประมาณ 15-20 เท่ามันก็เป็นอันนึง และเศรษฐกิจญี่ปุ่นเราจะเห็นว่าเรื่องเงินเฟ้อเขาไม่ได้มีปัญหา เพราะเขาเป็นเงินฝืด และยังคงนโยบายดอกเบี้ยติดลบ 0.1%
ผมว่าเป็นการกระจายความเสี่ยงของนักลงทุนในต่างประเทศในหลายๆ สถาบันที่มีการถือหุ้นญี่ปุ่นไว้เพื่อผลตอบแทนที่ดี และเงินเยนที่อ่อนค่าก็เป็นจุดนึงที่ดึงดูดนักลงทุนทั่วโลกเข้ามาญี่ปุ่น เพราะถ้าลงทุนเวลานี้อนาคตเงินเยนกลับมาแข็งค่าเขาก็จะได้กำไรเพิ่มขึ้น
ทีนี้กลับมาประเด็นที่ว่าทำไมเงินเยนญี่ปุ่นอ่อนค่าเยอะ เพราะเขามีนโยบายการเงินดอกเบี้ยติดลบ ขณะที่คนอื่นทั่วโลกอย่างอเมริกาขึ้นดอกเบี้ยจาก 1% เป็น 4-5% ไทยอยู่ที่ 1-2% ทำให้ก่อนหน้านี้มีเงินไหลออกจากญี่ปุ่นเยอะเพื่อไปแสวงหาผลตอบแทนประเทศอื่น ทีนี้เขามองว่าสุดท้ายเทรนด์เริ่มกลับกัน ในปีหน้าและปีต่อๆ ไปหลายๆ ประเทศเริ่มลดดอกเบี้ยลง เงินเยนเขาไม่ต้องทำอะไรก็กลับมาแข็งค่าขึ้น การท่องเที่ยวนักท่องเที่ยวไปเที่ยวเยอะขึ้นก็แลกเงินเยนเยอะขึ้น เป็นที่มาว่าเดี๋ยว Fund Flow ก็ไหลเข้าญี่ปุ่น เข้าไปในตลาดหุ้นญี่ปุ่นเยอะขึ้น
ถ้าเราไปดูจริงๆ หุ้นญี่ปุ่นนอกจากราคาถูกกว่าตลาดหุ้นใหญ่ทั่วโลกแล้ว ยังพบว่ามีหลายๆ ธุรกิจที่มีการเติบโตที่ดีด้วย และมีกลุ่มบริษัทที่เป็น High Skill Labor เรื่องของการแพทย์ เทคโนโลยี อินเทอร์เน็ต ญี่ปุ่นเป็นผู้นำหลายๆ ส่วน และเป็นส่วนนึงของซัพพลายเชนในอุตสาหกรรมสมาร์ตโฟน คอนสตรักเตอร์ ไบโอเทค จริงๆ มีหลายบริษัทในญี่ปุ่นมาก เพียงแต่นักลงทุนทั่วโลกอาจจะไม่ค่อยรู้จักเพราะอ่านภาษาญี่ปุ่นไม่ออก
นอกจากนี้ ผมว่าที่นักลงทุนจำนวนมากไปลงทุนที่ญี่ปุ่นมากอีกเหตุผลนึงคือทุกคนเริ่มเห็นว่าเขาต้องกระจายความเสี่ยงจากจีนและสหรัฐด้วย ถ้าสหรัฐกับจีนเขาบึ้มๆ กัน ญี่ปุ่นอาจจะยังสงบอยู่ ตลาดหุ้นญี่ปุ่นก็ไม่ตก มันเป็นการกระจายความเสี่ยง ปีที่แล้วสหรัฐก็มีปัญหาเงินเฟ้อ จีนก็เจอโควิด แต่ญี่ปุ่นดูปลอดภัย ก็เป็นหนึ่งในตัวเลือกของนักลงทุนทั่วโลกไปแล้ว
ช่วยวิเคราะห์เวียดนามหน่อย ในฐานะคู่แข่งเรา
คู่แข่งไทยจริงๆ เศรษฐกิจเวียดนามไม่ได้แย่มาหลายเดือน แต่แย่มาทั้งปี จนถึงตอนนี้ก็มีปัญหาเศรษฐกิจหลายด้าน โดยเฉพาะเงินเฟ้อที่พุ่งไปแตะระดับ 5% ทำให้ธนาคารกลางปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย 2 ครั้ง ครั้งละ 1% นักลงทุนในเวียดนามก็แตกตื่น ต่างชาติที่ลงทุนในเวียดนามก็แตกตื่นและเทขายหุ้นในตลาดโฮจิมินห์ ปีที่แล้วตลาดหุ้นเวียดนามติดลบ 30-40% รวมถึงหนี้ของภาคอสังหาฯ ที่ปีที่แล้วส่งผลกระทบมาก
แต่ปัจจุบันที่เราเห็นตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาพบว่าปัญหาเริ่มคลี่คลายแล้ว เงินเฟ้อล่าสุดลดจาก 5% มาอยู่ที่ 2.4% ธนาคารกลางเวียดนามปรับลดดอกเบี้ยนโยบายแล้ว 2 ครั้ง ครั้งละ 0.5% ในเรื่องเงินเฟ้อเริ่มตัดออกแล้ว ส่วนภาคอสังหาฯ ที่มีปัญหาเริ่มคลี่คลายดีขึ้น มีการขยายเวลาชำระหนี้จากสถาบันการเงิน รัฐบาลเข้ามาช่วยสภาพคล่องเพื่อฟื้นฟูภาคอสังหาฯ คือผู้ประกอบการที่เข้าสู่โครงการ Social Housing จะได้รับสิทธิประโยชน์อัตราดอกเบี้ยพิเศษ สินเชื่อพิเศษ
ตอนนี้เราคิดว่าปัจจัยที่เป็นตัวลบของเวียดนามน่าจะผ่านไปแล้ว ส่วนปัจจัยบวกยังเหมือนเดิม เป็นแรงงานใหม่ของโลกที่ค่าแรงถูกกว่าจีน ไทย จะเห็น Samsung และ Apple เริ่มมาที่เวียดนามมากขึ้น รวมถึงการท่องเที่ยวของเขาถือว่าเป็นคู่แข่งของไทยแล้ว หลายคนเริ่มไปเที่ยวเวียดนาม เพราะประเทศเขาโดยเฉพาะการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติยังดูใสสะอาดกว่าเรา ยังคลีนอยู่ การบริโภคในประเทศ กลุ่มสินค้าและบริการขยายตัว 12.6% ในช่วง 5 เดือนแรก นักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น 12 เท่า อยู่ที่ 4.6 ล้านคน มองว่าเวียดนามตอนนี้เริ่มกลับมาแล้วเหมือนกัน
ประเมินว่าตลาดหุ้นไทยครึ่งปีหลังจะเป็นอย่างไร ช่วงเศรษฐกิจถดถอยควรจะลงทุนอะไรดี
สำหรับตลาดหุ้นไทยระยะสั้นความกังวลแย่ๆ มี 2 เรื่อง
เรื่องแรกเรื่องการเมืองยังจัดตั้งรัฐบาลไม่ได้และยังไม่รู้จะออกยังไง ต่างชาติไม่กล้าลงทุน นโยบายรัฐบาลใหม่เราไม่รู้แน่ชัด คนลังเล เงินยังไม่กลับเข้าสู่ตลาดหุ้น แต่คิดว่าเรื่องตรงนี้น่าจะหมดไปถ้าจัดตั้งรัฐบาลได้และเป็นที่ถูกใจ นโยบายออกมาดี เอื้อตลาดทุน แล้วตลาดหุ้นก็จะกลับมา
ส่วนเรื่องที่ 2 เป็นเรื่องความเชื่อมั่นแง่ของบริษัทจดทะเบียน เพราะเรามีประเด็นหุ้น STARK รวมถึงหลายๆ เคส เรื่องปั่นหุ้นมีเยอะ คิดว่าทางตลาดหลักทรัพย์ฯ น่าจะมีการร่วมมือกับบริษัทเอกชนเพื่อหาข้อสรุป สร้างความเชื่อมั่นตรงนี้เพิ่มได้ยังไง ก็จะมีตรงนี้กดตลาดจนถึงสิ้นปี
ในส่วนการท่องเที่ยวยังเป็นตัวกระตุ้น ปัจจุบัน 5 เดือนแรกของปีมีนักท่องเที่ยวเข้าไทยประมาณเดือนละ 2 ล้าน รวม 10 ล้านคนแล้ว ช่วงก่อนโควิดเรามี 40 ล้านคนต่อปี คิดว่าปีนี้น่าจะประมาณ 30 ก็เข้าใกล้ช่วงก่อนโควิดแล้ว เรื่องการท่องเที่ยวคิดว่าน่าจะกลับมา
ก็จะเหลือเรื่องรัฐบาลกับนโยบายใหม่และเรื่องความเชื่อมั่นต่อตลาดทุนที่เราต้องรอให้ตรงนี้คลี่คลาย ถ้าคนที่เล็งๆ อยู่ก็จะเหมือนจีน คืออย่าเพิ่งใส่ไปเยอะ ค่อยๆ ทยอยลงทุนดีกว่าเพราะเรายังไม่เห็นสัญญาณฟื้นตัวมาก แล้วเราจะลงทุนอะไรดี ก็จะแนะนำว่าใครที่มีเงินเย็นแล้วลงทุนเพื่อคาดหวังผลตอบแทนที่สูงได้แนะนำลงหุ้นในสัดส่วนที่เยอะเพราะคิดว่าตลาดหุ้นเริ่มกลับมา ตลาดหุ้นที่มีโอกาสเติบโตเป็นขาขึ้นต่อไปในช่วงปีนี้จนถึงปีหน้าก็จะเป็นตลาดหุ้นอเมริกา ญี่ปุ่น และเวียดนาม ส่วนที่ยังตอบยากยังเป็นตลาดหุ้นที่ก้ำๆ กึ่งๆ มีปัจจัยในประเทศที่ลบอยู่ นักลงทุนยังขาดความเชื่อมั่น ก็คือตลาดหุ้นไทยกับจีน มองว่าถ้าใครอยากได้ของถูกทยอยลงทุนช่วงนี้ได้ แต่อย่าใส่เข้าไปรวดเดียว เพราะเรายังตอบไม่ได้ว่าทุกอย่างจะคลี่คลายเมื่อไหร่ ให้ทยอยลงทุนดีกว่า
ตลาดตราสารหนี้ก็เป็นแหล่งลงทุนถ้าใครต้องการผลตอบแทนที่ค่อนข้างชัวร์ ไม่ต้องการความผันผวนมากก็ตราสารหนี้ชั้นดีในสหรัฐคิดว่าลงทุนได้ เพราะเดี๋ยวเทรนด์ดอกเบี้ยก็เป็นขาลง พวกตราสารหนี้ถ้าเราซื้อก็สามารถทำกำไรได้
บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน จิตตะ เวลธ์ เป็นสตาร์ทอัพรายแรกของไทยที่ได้รับอนุญาตจากบริหารจัดการกองทุนส่วนบุคคล จะติดต่อปรึกษาได้อย่างไร
จริงๆ วิธีการง่ายที่สุดเข้าไปดูที่ www.จิตตะ เวลธ์.com ก็จะมีข้อมูลเรื่องของนโยบายการลงทุนต่างๆ ผลตอบแทนต่างๆ ที่เราทำได้ อย่างปีนี้กองทุนที่เราเปิดและทำผลตอบแทนได้มากคือกลุ่มเทคโนโลยีสหรัฐ กลุ่มสหรัฐได้ประมาณ 27% ถ้าใครอยากสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม add line ได้เลย @jittawealth
Comments