การพักตัวช่วงสั้นของตลาดหุ้น เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
- Dokbia Online
- 1 day ago
- 1 min read

ปัจจัยเสี่ยงเยอะขึ้นเรื่อยๆ !
ในระยะสั้นๆ ทิศทางของตลาดหุ้นโลกถูกกดดัน จากการที่นักลงทุนกังวลต่อการที่สหรัฐกำลังเผชิญภาวะการปิดหน่วยงานรัฐบาล หรือ ชัตดาวน์ ที่อาจยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐ มากกว่าสถิติสูงสุดเดิมที่เกิดขึ้นในช่วงที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ดำรงตำแหน่งสมัยแรก รวมทั้งวิตกต่อการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือน ธ.ค. 68 และการพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่ม AI ก่อนหน้านี้ ได้ผลักดันให้ค่า Forward P/E ของดัชนี S&P 500 พุ่งขึ้นเหนือระดับ 23 เท่า ซึ่งเป็นระดับสูงสุดใกล้เคียงกับช่วงปี 2543
นอกจากนี้ นักลงทุนยังเกิดความวิตกจากคำเตือนของผู้บริหารระดับสูงจาก Goldman Sachs และ Morgan Stanley ซึ่งเป็นสองธนาคารยักษ์ใหญ่ของสหรัฐ โดยนายเดวิด โซโลมอน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Goldman Sachs ระบุมีความเป็นไปได้อย่างมากที่ตลาดหุ้นจะปรับฐานลงราว 10-20% ภายในเวลา 12-24 เดือนข้างหน้า
ส่วน นายเท็ด พิค ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Morgan Stanley ระบุว่าเราควรเตรียมตัวรับมือการปรับฐานราว 10-15% ซึ่งไม่ได้เกิดจากวิกฤตเศรษฐกิจระดับมหภาค นอกจากนี้ยังมีความไม่แน่นอนที่ใหญ่มากอีกประเด็น จากการที่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า หากศาลฎีกามีคำพิพากษาให้ยกเลิกการเรียกเก็บภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ตลาดการเงินก็อาจเกิดความปั่นป่วน โดยเฉพาะตลาดพันธบัตรสหรัฐ เพราะรัฐบาลอาจต้องคืนเงินภาษีมากกว่า 1 แสนล้านดอลลาร์ที่เก็บไปแล้ว และจะสูญเสียรายได้หลายแสนล้านดอลลาร์ต่อปี
ทั้งนี้ภาษีที่เรียกเก็บตามกฎหมาย International Emergency Economic Powers Act (IEEPA) ในปีนี้ ถือเป็นสัดส่วนใหญ่ที่สุดของรายได้ศุลกากรสุทธิที่เพิ่มขึ้น 1.18 แสนล้านดอลลาร์ในปีงบประมาณ 2025 ซึ่งสิ้นสุดเมื่อวันที่ 30 ก.ย. 68 โดยรายได้ส่วนนี้ช่วยชดเชยค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นของรัฐบาล เช่น ค่ารักษาพยาบาล สวัสดิการสังคม ดอกเบี้ย และงบกลาโหม ซึ่งทำให้การขาดดุลงบประมาณของสหรัฐลดลงสู่ระดับ 1.715 ล้านล้านดอลลาร์ หลังจากที่ศาลอุทธรณ์มีคำวินิจฉัยให้เพิกถอนมาตรการภาษีศุลกากรส่วนใหญ่ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ไปแล้วก่อนหน้านี้ โดยระบุว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ใช้อำนาจเกินขอบเขตของกฎหมาย International Emergency Economic Powers Act (IEEPA) ปี 1977 เพราะในกรณีนี้ ที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศให้การขาดดุลการค้าของสหรัฐมูลค่า 1.2 ล้านล้านดอลลาร์ในปี 2567 เป็นภาวะฉุกเฉินแห่งชาติ ทั้งที่จริงแล้ว สหรัฐมีการขาดดุลการค้ามาโดยตลอดทุกปีนับตั้งแต่ปี 2518
อย่างไรก็ดีนายสก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐ ระบุว่าหากศาลตัดสินให้มีการเพิกถอนการจัดเก็บภาษีดังกล่าว ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ก็สามารถหันไปใช้กฎหมายอื่นแทนได้ เช่น มาตรา 122 ของกฎหมายการค้าปี 2517 ซึ่งให้อำนาจประธานาธิบดีในการกำหนดภาษีนำเข้าได้สูงถึง 15% เป็นเวลา 150 วัน เพื่อแก้ปัญหาความไม่สมดุลทางการค้า นอกจากนี้ ยังสามารถใช้มาตรา 338 ของกฎหมายการค้าปี 2473 ซึ่งให้อำนาจประธานาธิบดีในการเก็บภาษีนำเข้ามากถึง 50% จากประเทศที่มีการเลือกปฏิบัติต่อสหรัฐ
ขณะที่ประเด็นดอกเบี้ยสหรัฐ ล่าสุดเจ้าหน้าที่ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ยังคงมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันเกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือน ธ.ค. 68 โดยความเห็นเหล่านี้รวมถึงมุมมองที่มีต่อภาวะเศรษฐกิจและความเสี่ยงที่สหรัฐกำลังเผชิญ นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่เฟดยังเผชิญกับความท้าทายจากการขาดแคลนข้อมูลสำคัญ เนื่องจากหน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐฯ ยังคงปิดดำเนินการเนื่องจากขาดงบประมาณ หรือชัตดาวน์ ในส่วนของมุมมองของ Global Fund Manager ล่าสุดแบงก์ออฟอเมริกา (Bank of America หรือ BofA) เปิดเผยว่ากองทุนที่ลงทุนตามแนวโน้มยังคงถือสถานะซื้อขนาดใหญ่ในตลาดหุ้นสหรัฐ, ยุโรป และญี่ปุ่น หลังดัชนีหลักทำสถิติสูงสุดใหม่ โดยเตือนว่าหากตลาดเกิดการปรับฐานแรง อาจกระตุ้นให้ CTAs เทขายหุ้นมูลค่าสูงสุดถึง 1.48 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐในกรณีที่ตลาดปรับตัวลงอย่างรุนแรง
ขณะที่การร่วงลงของราคาทองคำในช่วงที่ผ่านมา มีสาเหตุหลักมาจากแรงขายของกองทุนที่ลงทุนตามแนวโน้มตลาด (trend-following funds) โดยเฉพาะกลุ่มที่ปรึกษาการซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity Trading Advisors: CTAs) ซึ่งยังคงทยอยลดการถือครองทองคำ โดยที่แบบจำลอง CTA ของ BofA แสดงให้เห็นว่า ณ สิ้นเดือน ต.ค. 68 ทองคำยังอยู่ในสถานะซื้อเต็มรูปแบบทั้งระยะสั้น กลาง และยาว โดยมีค่าความแข็งแกร่งของแนวโน้มอยู่ที่ระดับ 100% อย่างไรก็ตาม แบบจำลองบางส่วนได้แตะระดับตัดขาดทุน หรือ Cut Loss แล้ว ซึ่งในอดีตมักสอดคล้องกับการเพิ่มขึ้นของความผันผวนจากแรงขายในระบบอัตโนมัติ
ภาวะชัตดาวน์ของสหรัฐเริ่มบานปลาย ! การที่สหรัฐเข้าสู่ภาวะชัตดาวน์อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 1 ต.ค. ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 7 ปี และครั้งที่ 3 ภายใต้การบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังส่งผลกระทบอย่างหนักต่อเศรษฐกิจ การบริการภาคสาธารณะ และความเชื่อมั่นของชาวอเมริกัน นอกจากนี้ การประกาศตัวเลขเศรษฐกิจได้ถูกเลื่อนออกไปโดยไม่มีกำหนด เนื่องจากหน่วยงานของรัฐบาลหลายแห่งยังคงปิดทำการ ทำให้ผู้กำหนดนโยบายและภาคธุรกิจขาดข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญในการตัดสินใจ ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์เตือนว่า การขาดข้อมูลดังกล่าวอาจทำให้การคาดการณ์ของตลาดถูกบิดเบือน และทำให้การตัดสินใจในการลงทุนของภาคเอกชนต้องล่าช้าออกไป โดยภาวะชัตดาวน์ยังคุกคามชาวอเมริกันผู้มีรายได้น้อยจำนวนหลายล้านคน โดยกระทรวงเกษตรสหรัฐยืนยันว่า เมื่อเงินทุนที่มีอยู่ในปัจจุบันหมดลง จะไม่มีเงินเพิ่มเติมสำหรับโครงการสวัสดิการอาหาร (SNAP) หรือโครงการสแตมป์อาหาร ซึ่งช่วยเหลือประชาชนกว่า 42 ล้านคน
ขณะนี้ธนาคารอาหารทั่วประเทศเริ่มเตรียมรับมือกับความต้องการที่เพิ่มขึ้นแล้ว นอกจากนี้หากการปิดหน่วยงานรัฐบาลยืดเยื้อไปจนถึงช่วงวันหยุดขอบคุณพระเจ้า (Thanksgiving) ระบบการเดินทางทางอากาศอาจกลายเป็นหายนะ เนื่องจากเจ้าหน้าที่จากสำนักงานความมั่นคงด้านการขนส่งสหรัฐ (TSA) และสำนักงานบริหารการบินแห่งชาติสหรัฐ (FAA) ที่ไม่ได้รับค่าจ้างอาจทำให้เกิดความล่าช้าและการยกเลิกเที่ยวบินจำนวนมาก
ทั้งนี้ศาสตราจารย์ลินดา เจ. บิลเมส จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ระบุว่าภาวะชัตดาวน์กำลังสร้างความเสียหายอย่างร้ายแรง และบ่อนทำลายความเชื่อมั่นของประชาชนต่อรัฐบาล โดยการปิดหน่วยงานรัฐบาลในปี 2561–2562 ทำให้เศรษฐกิจสหรัฐเสียหายคิดเป็นมูลค่ากว่า 11,000 ล้านดอลลาร์ และเมื่อภาวะชัตดาวน์ในครั้งนี้ใกล้จะทำลายสถิติยาวนานเป็นประวัติการณ์ นักวิเคราะห์จึงกังวลว่าความเสียหายระยะยาวอาจยิ่งรุนแรงมากขึ้นทั้งในด้านเศรษฐกิจและการเมือง ทั้งนี้ วุฒิสภาสหรัฐประสบความล้มเหลวในการผ่านร่างกฎหมายจัดสรรงบประมาณชั่วคราวเพื่อให้รัฐบาลสามารถเปิดทำการจนถึงวันที่ 21 พ.ย. 68 เนื่องจากร่างกฎหมายดังกล่าวไม่สามารถผ่านเกณฑ์ 60 เสียงที่จำเป็นสำหรับการผ่านร่างกฎหมายในวุฒิสภา
เหตุการณ์ชัตดาวน์ในครั้งนี้ถือเป็นครั้งที่ 15 นับตั้งแต่ปี 2524 และถือเป็นการปิดหน่วยงานรัฐบาลที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐ โดยมีระยะเวลามากกว่าการชัตดาวน์ 35 วัน ซึ่งเกิดขึ้นในวันที่ 22 ธ.ค. 61-25 ม.ค. 62 ขณะที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ดำรงตำแหน่งสมัยแรก หลังจากที่พรรครีพับลิกัน ซึ่งครองทำเนียบขาวและมีเสียงข้างมากเพียงเล็กน้อยทั้งในสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ต้องการผลักดันร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราวเพื่อคงการจัดสรรงบประมาณในระดับปัจจุบันไปจนถึงวันที่ 21 พ.ย. 68 โดยพวกเขาจำเป็นต้องได้เสียงสนับสนุนจากพรรคเดโมแครตอย่างน้อย 7 เสียงในวุฒิสภาเพื่อผ่านร่างกฎหมายดังกล่าว
อย่างไรก็ดีพรรคเดโมแครตยื่นข้อเรียกร้องหลายประการ รวมถึงการให้ร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราวต้องมีการขยายสิทธิประโยชน์ด้านภาษี Obamacare ที่เพิ่มขึ้น ก่อนที่จะหมดอายุในช่วงสิ้นปีนี้ แต่ยังคงไม่สามารถตกลงกันได้ ล่าสุดประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ พยายามกดดันพรรคเดโมแครต โดยยืนยันว่า รัฐบาลของเขาจะไม่ให้เงินสนับสนุนโครงการสวัสดิการอาหาร (SNAP) หรือโครงการสแตมป์อาหาร สำหรับชาวอเมริกันที่ยากไร้จำนวนกว่า 42 ล้านคน หากพรรคเดโมแครตยังคงไม่ให้ความร่วมมือในการผ่านร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราวเพื่อให้สหรัฐพ้นจากภาวะปิดหน่วยงานรัฐบาล หรือชัตดาวน์
ในส่วนของกลยุทธ์ สำหรับการลงทุนระยะสั้น (ไม่เกิน 1 สัปดาห์) เน้น “อ่อนตัวซื้อลงทุน” สำหรับการลงทุนระยะกลาง (1-3 เดือน) ในลักษณะ Long-Only แนะนำ “เพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้นไปที่ระดับ 75% ของพอร์ต”
ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่ความเห็นส่วนตัวของผมนะครับ โปรดใช้วิจารณญาณ และศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนการตัดสินใจลงทุนด้วยครับ สำหรับการพูดคุยกันระหว่างสัปดาห์นอกจากทาง Facebook ที่ www.facebook.com/hippowealththailand และ e-mail ที่ hippowealththailand@gmail.com แล้ว แฟนๆ ยังสามารถติดตามมุมมองเกี่ยวกับการลงทุนจาก “นายหมูบิน” ได้ในรายการ “เซียนเศรษฐกิจ” ทาง FM 97.00 ทุกวันอาทิตย์ เวลา 14.00-16.00 น. เช่นเดิมครับ
ภาพประกอบ : การวิเคราะห์ทิศทางตลาดหุ้นไทยในทางเทคนิครายวัน (Daily)

Source: TQ

