top of page

ส่งออกกุ้งหาตลาดใหม่...ตัดใจทิ้งตลาดอเมริกา



ก่อนทรัมป์ขึ้นภาษีนำเข้ากุ้งจากไทย ยอดส่งออกจากไทยไปอเมริกาก็ลดลงอย่างมากมาระยะหนึ่งแล้ว จากเหตุผลสำคัญคือกุ้งไม่ใช่อาหารโปรตีนพื้นฐานที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต รวมถึงขณะนี้ทางเอกวาดอร์ อินเดีย เวียดนาม อินโดฯ ส่งออกกุ้งแปรรูปไปอเมริกาในราคาที่ถูกกว่าไทย คาดหลังจากนี้ถ้าอเมริกายังยืนภาษีไว้ที่ 36% ทั้งฟาร์มกุ้ง และผู้ส่งออกกุ้งไทยต้องปรับตัวโดยหาตลาดส่งออกรายใหม่ ซึ่งเชื่อว่าด้วยศักยภาพการแปรรูปกุ้งเพื่อการส่งออกของไทยจะสามารถหาตลาดทดแทนได้ไม่ยาก เพียงแต่ต้องแบ่งตลาดส่งออกให้ถูกต้อง โดยส่งออกกุ้งเกรดพรีเมียมให้ประเทศที่มีกำลังซื้อสูง และกุ้งเกรดรองลงมาให้ประเทศที่มีกำลังซื้อไม่มากนัก

 

Interview : คุณสถาสรรพ วิริยะนันทวนิช กรรมการผู้จัดการ บริษัท มารินอส โกลบอล จำกัด หนึ่งในคณะกรรมการ Shrimp Board กระทรวงเกษตรและสหกรณ์

 

คณะรัฐบาลไทยที่จะไปเจรจาเรื่องภาษีกับสหรัฐอเมริกา มองว่าที่เกี่ยวข้องกับส่งออกกุ้ง จะมีความยากลำบากขนาดไหน

           

ถ้าเขายืนที่ 36-67% เหมือนตอนแรกที่พูดกันมาไว้ก็คงหนักแน่นอน ซึ่งภาษีแต่ละประเทศไม่เท่าเทียมกัน แต่ปัจจุบันมีการชะลอคำสั่งนั้นออกไป และปรับทุกคนเท่ากันหมด 10% ดังนั้น ตอนนี้ทุกประเทศเท่าเทียมกันหมด ไม่มีใครมีแต้มต่อ กรณีอย่างนี้ ถ้าทุกประเทศโดน 10% เท่ากันหมดก็ไม่มีผลกระทบอย่างที่กังวลมากนัก หากกระทบจริงๆ ก็คือกระทบผู้บริโภคภายในประเทศของอเมริกาเองที่กุ้งนำเข้าจะต้องเสียภาษี 10%

           

ทั้งนี้ มีความเป็นไปได้ว่าถ้าเขายืนที่ 10% ก็ไม่ได้มีผลกระทบกับกำลังการบริโภคเท่าไหร่ เพราะราคากุ้งปัจจุบันลงมาจากสมัยก่อนเมื่อ 20-30 ปีที่แล้ว คือราคาลงมามากขึ้น ตรงนี้พูดถึงราคาจากผู้ผลิตถึงผู้นำเข้า ไม่ได้พูดถึงการปรับราคาขายที่หน้าห้างซูเปอร์มาร์เก็ตหรือหน้าเมนูร้านอาหาร เหตุผลเป็นเพราะปัจจุบันกุ้งทั่วโลกไปพึ่งพากุ้งเพาะเลี้ยงกันมาก ตอนที่ผมเริ่มเข้าสู่อุตสาหกรรมอาหารกุ้งเพาะเลี้ยง ตอนนั้นมีผลผลิตกุ้งทั่วโลกอยู่ไม่ถึง 2 ล้านตัน ขณะที่ปัจจุบันมี 5 ล้านตัน

           

สิ่งที่พบเลยคือเกือบจะทุกประเทศทั่วโลกสามารถเพาะเลี้ยงกุ้งกันได้และขยายตลาด ข้อดีคือทำให้คนที่ไม่ค่อยได้ทานกุ้ง ประเทศที่ทานกุ้งน้อย ได้ทานกุ้งมากขึ้น เพราะราคาจูงใจมากขึ้น เพียงแต่ที่ผ่านมาราคาขายปลายทางไม่เคยได้ถูกปรับลดไปตามต้นทุนที่ถูกลง การปรับขึ้น 10% เพราะทุกคนรับทราบแล้วว่าทางอเมริกาเองปรับฐานขึ้นมา อาจจะช่วยทำให้มีการปรับราคาปลายทางกันครั้งหนึ่ง จะได้ช่วยปรับราคาซื้อพวกเราได้ด้วย มองว่าเป็นเรื่องที่ดี

 

กุ้งที่ไทยเลี้ยงและส่งไปขายที่อเมริกาเป็นกุ้งพันธุ์อะไร

           

กุ้งทั่วโลกจะมีหลายสายพันธุ์ แต่หลักๆ ที่เราส่งไปอเมริกาจะมี 2 สายพันธุ์ เรียกว่า 97% เข้าสหรัฐอเมริกา ถ้า 98% เป็นกุ้งขาวที่คนไทยเรียกว่ากุ้ง Vannamai อันนี้เป็นกุ้งเพาะเลี้ยง ส่วนอีก 2-3% จะเป็นกุ้งกุลาดำ ซึ่งปัจจุบันก็เป็นกุ้งเพาะเลี้ยงเหมือนกัน

 

ก่อนหน้าที่ทรัมป์จะประกาศขึ้นภาษี มีการรีบเร่งนำเข้ามากผิดปกติหรือไม่

           

มี ตอนช่วงแรกที่เขาประกาศ 36-37% ก็ยังไม่ได้คิดว่าจะก้าวกระโดดขนาดนั้น เพราะจากเดิมเราไม่ได้เสียภาษีนำเข้ากุ้ง หลักเกณฑ์ของสหรัฐอเมริกาเขาจะมีภาษีอยู่ 2-3 ชุด โดยชุดแรกจะเป็นชุดภาษีนำเข้าปกติ เวลานำเข้าอะไรจะมีการคิดภาษี แต่ของไทยโชคดีตรงที่ว่าเราเคยมีความสัมพันธ์ที่ดี เราเป็นหลักของการส่งออกกุ้งสมัยก่อน เราจึงได้ภาษี 0% แต่เรากลับมาเสียภาษีทุ่มตลาดแทน เพราะภาษีทุ่มตลาดมันเป็นกำแพงภาษี เพราะเขามีการประมงภายในประเทศเขา มีการแปรรูปภายในประเทศเขา ถึงแม้ว่าการบริโภค 100% เขาพึ่งพาประมงท้องถิ่นของเขาเอง 5% ก็จริง และ 95% นำเข้า แต่ไทยมีชื่อเสียงสะสมมาดี เราได้ภาษี 0% แล้วไม่ได้เสียภาษีในตัว Tariff ของการนำเข้า แต่เราเสียภาษีทุ่มตลาด ปัจจุบันภาษีทุ่มตลาดเราเหลือไม่ถึง 1% ถือว่าต่ำมาก

           

ทีนี้ อยู่ๆ วันดีคืนดีเขาบอกว่าเดี๋ยวจะมีการขึ้นภาษี เพราะจะมีการสร้างดุลระหว่างนำเข้ากับส่งออก ตอนนั้นเราก็คิดอยู่ถ้ามีเต็มที่ก็ 5-10% ทุกคนคงโดนกันหมด เราก็ค่อนข้างชะล่าใจไปนิดนึง ทางฝั่งภาครัฐคิดว่ามีการเตรียมตัวไว้เรียบร้อย อย่างหนึ่งในคณะทำงานของเราก็มีคุณพจน์ ซึ่งปัจจุบันเป็นประธานกรรมการหอการค้า โดยคุณพจน์พื้นเพเป็นสายซีฟู้ดอยู่แล้ว มีข้อมูลอย่างดีอยู่แล้ว หนึ่งในคณะทำงานพาเราเห็นรายชื่ออย่างนี้ เราก็ค่อนข้างมั่นใจว่าเขารู้ถึงผลกระทบ คือรู้ว่าจะยอมเขาด้านไหน ให้เขาด้านไหน ขณะเดียวกัน เราจะได้ประโยชน์ด้านไหน เชื่อมั่นว่าดุลยพินิจของคุณพจน์และทีมงาน ค่อนข้างไปได้สวยแน่นอน

           

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เราเป็นกังวลคือตัวกุ้งเองยังไม่ได้เป็นโปรตีนพื้นฐานที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต ฉะนั้น กรณีภาษีที่ขึ้นมามัน Impact มากๆ มีผลถึงราคาปลายทางมากขึ้น จะทำให้เขาคิดว่าไก่เขาเลี้ยงเองได้ เนื้อเขาก็เลี้ยงเองได้ เขาสามารถไปหาทานโปรตีนที่จำเป็นมากกว่า คือต้องมองว่ากุ้งเป็นโปรตีนที่ทานเพื่อ Emotional ไม่ได้ทานเพื่อ Functional ซึ่ง Functional คือมีความจำเป็นต้องทานเป็นโปรตีนพื้นฐาน ซึ่งพอเงินเดือนออกคน ก็อยากจะเฉลิมฉลองกัน คือมีปาร์ตี้ เจอกันทีอยากได้โปรตีนที่มากกว่าไก่ เนื้อ ก็เอากุ้งไปเสริม หาซื้อได้ง่าย

           

ทั้งนี้มองว่าถ้าขึ้นภาษีและคงไว้ที่ 10% หรือถ้าดีหน่อยอาจจะลดเหลือ 5% จะไม่มี Impact อะไรต่อการเปลี่ยนแปลงเท่าไหร่นัก หากกรณีเลวร้ายที่สุดจริงๆ สมมุติว่าเราเจรจาต่อรองไม่เป็นผล แล้วภาษีขึ้นมาถึง 36% ในภาคผู้ประกอบการคือพวกส่งออกเราต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่าตลาดสหรัฐอเมริกาลดความสำคัญสำหรับไทยลงมาก เพราะเป็นตลาดที่แข่งขันสูงมากในเรื่องราคา และประเทศที่ทำราคาได้ถูกกว่าไทยก็คือเอกวาดอร์ อินเดีย รวมถึงเวียดนาม ในส่วนกุ้งแปรรูป พวกกุ้งชุบขนมปังทอด หรือว่าเอาไปใส่ขนมพร้อมทาน เวียดนามเขาทำได้ดีกว่าไทย

           

ฉะนั้น ที่ผ่านมาไทยได้สูญเสียส่วนแบ่งตลาดในสหรัฐอเมริกาค่อนข้างเยอะอยู่แล้ว พูดง่ายๆ เลยว่าภาคส่งออกมีความพยายามในการหาตลาดทดแทนมาตลอด และสามารถทำได้ดี อุตสาหกรรมกุ้งก็ไปได้ดีในเชิงว่าถ้าเราไปดูในเรื่องของผลประกอบการของภาคเกษตรกรที่ทำฟาร์มกุ้ง ในภาพรวมถ้าไม่นับเกี่ยวกับเรื่องของโรคระบาดในกุ้งหรือว่าเรื่องภัยธรรมชาติ ถ้าฟาร์มไหนเลี้ยงแล้วประสบความสำเร็จ คิดว่าผลประกอบการค่อนข้างดี เป็นที่น่าพอใจของฝั่งเพาะเลี้ยง

           

ทั้งนี้ แม้ว่าสหรัฐอเมริกาก็จะลดความสำคัญกับไทยลงไปเรื่อยๆ แต่ในภาคเพาะเลี้ยงกุ้งไม่ค่อยได้พบผลกระทบเท่าไหร่นัก แม้ในท้ายที่สุดจะยื่นภาษีปี 36-37% และเราไม่สามารถจะเจรจาต่อรองได้ ก็ยังมีความเชื่อมั่นในศักยภาพของแปรรูปส่งออกของไทยว่าจะสามารถหาตลาดทดแทนได้

 

ก่อนมีการประกาศเรื่องภาษีของสหรัฐอเมริกา ไทยส่งออกกุ้งไปเป็นจำนวนเท่าไหร่

           

ถ้านับตามปริมาณ มูลค่าการนำเข้า ไทยเราตกมาเป็นอันดับ 6 หรือ 7 แต่ 6 หรือ 7 ส่วนแบ่งของไทยเรานับเป็นเปอร์เซ็นต์ก็แค่ 3.7% เอง ถือว่าน้อยมาก หากเราไปพูดถึงเอกวาดอร์ในเชิงปริมาณเขาจะขึ้นไปถึง 30% กว่าด้วยซ้ำ ส่วนอินเดียขึ้นไปถึง 28% เวียดนาม อินโดนีเซีย พูดง่ายๆ ระหว่าง 4 ประเทศที่กล่าว สัดส่วนมาร์เก็ตแชร์ไปถึง 80% กว่าแล้ว

 

ที่มาร์เก็ตแชร์ลดลงไปเรื่อยๆ เพราะกุ้งของไทยแพงกว่าเขาใช่หรือไม่

           

ใช่ แต่อย่าเรียกว่าแพงกว่า คือใช้คำให้มันสวยเลยว่าเกษตรกรไทยและผู้แปรรูปในไทยเราพยายามเลี่ยงการเข้าแข่งขันในสงครามราคา ฉะนั้น ถ้ามองว่ากุ้งเรามีคุณภาพสูง กุ้งเรามีความน่าเชื่อถือในเรื่องการผลิตอาหารปลอดภัย หรือว่าเรื่องของสีที่เรามีความโดดเด่นในความเข้ม และมีผลสำคัญในหลายตลาด โดยเฉพาะตลาดจีนและเกาหลี นวัตกรรมการเลี้ยงกุ้งของเรา ใช้น้ำเค็ม รวมถึงการให้อาหารมีสีเข้มขึ้น ทำให้กุ้งของเราดูน่าทานกว่า

           

ดังนั้น เราไม่มีจำเป็นต้องกัดฟันส่งเข้าตลาดสหรัฐอเมริกาที่ต้องไปแข่งสงครามราคา จริงๆ ถ้าทำได้เราก็อยากให้เป็นทางเลือกอย่างนั้น แต่ ณ ปัจจุบัน ด้วยความที่ผลผลิตที่ออกมาไม่ได้มีปริมาณมาก เราก็เลยเลือกไปที่ตลาดที่ให้ความสำคัญกับเรื่องคุณภาพ เรื่องของความยั่งยืน คือเรายอมไปหาตลาดที่เขายอมจ่ายในราคาที่เราอยากจะขาย เลยทำให้ตลาดสหรัฐอเมริกาสำหรับเราลดความสำคัญลงไปเรื่อยๆ แต่ในความเป็นจริงเราตัดเขาไม่ได้ เหตุผลหลักๆ คือสหรัฐอเมริกาเป็นตลาดที่รับได้ทุกเกรด เราต้องเข้าใจอย่างหนึ่งว่าการเลี้ยงกุ้งของเราตั้งเป้าให้ได้คุณภาพสูงก็จริง แต่ระหว่างทางเกิดอะไรขึ้นมา อาจจะไปไม่ถึงฝั่งฝัน ดังนั้น ตลาดสหรัฐอเมริการองรับได้ในเรื่องของคุณภาพที่ออกมา ยกเว้นการปนเปื้อนของยาปฏิชีวนะ

           

ดังนั้น ถ้าเรามีทุน เราทำกุ้งสวยแล้วเลี้ยงสำเร็จ เราก็ส่งไปตลาดที่เขายอมจ่ายในราคาของเรา แต่ถ้าวันหนึ่งเรามีเหตุไปไม่ถึง สหรัฐอเมริกาก็ยังเป็นตลาดที่มีความจำเป็นมากที่เราต้องมีไว้เป็นตลาดรองรับ ไม่เช่นนั้นถ้ากุ้งคุณภาพต่ำออกมา หรือคุณภาพไม่ถึงราคาพรีเมียม เกษตรกรก็ต้องเจ็บตัว ไม่มีตลาดรองรับเลย เหมือนขายทิ้ง และทุกครั้งเราต้องมองอย่างหนึ่งว่า ทุกๆ ประเทศจะต้องเจอปัญหาเรื่องสภาพเศรษฐกิจที่มันผันผวน เช่นภาวะสงคราม เช่นภาวะเศรษฐกิจตกต่ำอย่างนี้ กุ้งจะโดนผลกระทบอย่างแรกเลย เพราะพอเมื่อไหร่ก็ตามที่คนรู้สึกจะต้องประหยัดเงินแล้ว หมู เนื้อ ไก่ จำเป็น ผักจำเป็น หรือคาร์โบไฮเดรตที่เขาต้องการในประเทศเขาจะมีข้าว มันสำปะหลังอะไรต่างๆ อันนั้น จำเป็น แต่กุ้งจะเป็นสิ่งแรกๆ เลยที่ต้องถูกตัดออกไป หากจะทานซีฟู้ดขึ้นมา ปลาจะต้องมาก่อน

           

ดังนั้น เราต้องมองอย่างหนึ่งไว้ก่อน ถ้าเมื่อไรก็ตามเราไม่มีตลาดสหรัฐอเมริการองรับ พอมีสภาพผันผวน เศรษฐกิจผันผวนอย่างญี่ปุ่นปีที่แล้วที่ค่าเงินผันผวนมาก การนำเข้ามีปัญหา จีนเศรษฐกิจตกต่ำเมื่อช่วงต้นปี ฉะนั้น แม้ตลาดสหรัฐอเมริกาไม่ได้มีความสำคัญมากนักถ้ามองในเชิงสถิติ แต่ถ้ามองในเรื่องของความจำเป็นต้องมี เราก็มีความจำเป็นที่ต้องมีตลาดสหรัฐอเมริกามารองรับ

           

ที่ผ่านมาได้มีการพูดกับเกษตรกรเสมอว่ามีผู้ซื้อดีกว่าไม่มีเลย ราคาจะเป็นเท่าไหร่อีกเรื่องหนึ่ง ถ้ากุ้งของเรามีความสวย มีความหล่อ มีความพร้อม จะไปหาใครก็ได้ แต่หากวันหนึ่งสถานการณ์ไม่เป็นเช่นนั้นขึ้นมา ก็ขอให้มีคนรับซื้อไปดีกว่า ดังนั้น เราจะไปตัดใครไม่ได้ ทุกตลาดมีความสำคัญหมด แม้กระทั่งตลาดเพื่อนบ้านเราอย่างมาเลเซียก็มีความสำคัญ วันที่การท่องเที่ยวมาเลเซียเขาบูมขึ้นมา เขาก็อยากทานกุ้งกัน เขาจ่ายเป็นราคาอันดับสามของโลกเลย จ่ายแพงมาก แต่เขาไม่ได้ซื้อทุกวัน เขาไม่ได้ซื้อเป็นปริมาณมากเหมือนคนอื่น แต่ถ้าเมื่อไหร่ก็ตามที่เขาต้องการเข้ามา และเราพยายามจะไหลไปประเทศที่จ่ายราคาที่ดี เราตัดทุกความเป็นไปได้ออกไปไม่ได้เลย

 

เราประเมินเรื่องภาษีของสหรัฐอเมริกาครั้งนี้อย่างไร

           

ในท้ายที่สุดแล้วจะต้องเกิดการปรับฐาน คือที่ห่วงอย่างเดียวคือประเทศเราเป็นประเทศประชาธิปไตย หมายความว่าการที่เราจะตัดสินใจทำอะไรอย่างหนึ่ง การที่รัฐบาลจะตัดสินใจทำอะไรอย่างหนึ่งต้องคำนึงถึงฐานเสียง พอการเจรจาต่อรองของสหรัฐอเมริกาเที่ยวนี้ ไทยอาจจะต้องมีการตัดสินใจยอมเขาในสิ่งที่เขาต้องการ ส่วนการยอมของเขาอาจจะเกิดเรื่องของการลดภาษีซึ่งเป็นสินค้าบางตัวที่เกษตรกรเรากังวล อย่างเมล็ดข้าวโพดค่อนข้างมีผลแน่นอน

           

แม้กระทั่งตัวหมูที่เขาพยายามจะเข้ามาในไทย แต่เรื่องของหมู เราอาจจะอ้างได้ว่าเขาอาจจะมีโรคอุบัติใหม่ เราก็อาจจะเอามาตรการเรื่องของโรคมาควบคุม แต่จะมีหลายอุตสาหกรรมที่มีผลแน่นอน ซึ่งเกษตรกรข้าวโพดเขาคงไม่แฮปปี้ ไม่พอใจ ข้าวโพดสหรัฐราคาถูกกว่าของเราอยู่แล้ว จากเดิมเคยมีกำแพงภาษีช่วยไว้ มีระบบโควตา มีระยะเวลาการนำเข้า มีกฎเกณฑ์ แต่การเจรจาต่อรองเที่ยวนี้ คงจะต้องเป็นลักษณะว่าลดภาษีข้าวโพดไปให้เขา หรือไม่ก็ไม่มีภาษีเลย

           

ที่ประเมินมองว่า เราน่าจะเจรจาต่อรองกันได้ แต่หลังการเจรจาต่อรอง ด้วยความที่เราเป็นประเทศประชาธิปไตย และรัฐบาลตัดสินใจทำอะไร เราคำนึงถึงฐานเสียง จนบางครั้งเราไม่กล้าจะไปกระทบอุตสาหกรรมหนึ่ง ทำให้อุตสาหกรรมใหญ่มีปัญหาได้ คือมีความกังวลแค่เรื่องเดียว กังวลแค่เรื่องสิ่งที่สหรัฐอเมริกาเขาต้องการจะเป็นสิ่งที่ภาครัฐเราไม่ยอม เพราะเราพยายามปกป้องอุตสาหกรรมใดอุตสาหกรรมหนึ่ง กังวลแค่เรื่องนี้ มองว่าในท้ายที่สุดแล้ว ตัวนี้เราไม่ได้จริงๆ อาจจะต้องยอมตัวอื่น มันก็ต้องมีผลกระทบกับใครสักคนหนึ่งแน่นอน อาจต้องดูในภาพกว้าง คิดว่าเราสามารถไปด้วยกันได้ เจรจาต่อรองด้วยกันได้ คือมันเป็นเรื่องที่อยู่นอกเหนืออำนาจพวกเรา คือเราได้แต่ภาวนาให้การตัดสินใจออกมาเป็นผลที่พอใจทั้งสองฝ่าย ทั้งสหรัฐอเมริกาและไทย พออยู่ด้วยกันไปได้แล้ว ขอให้สหรัฐอเมริกาคงภาษีไว้ที่ 5-10% ก็เป็นเรื่องที่คาดว่าจะเป็นสิ่งที่เขาคิดกับทุกประเทศเท่ากันหมด

           

ทั้งนี้ สหรัฐอเมริกาเป็นตลาดใหญ่ นำเข้าเป็นอันดับสองของโลกใบนี้ถ้าเทียบตามปริมาณ เขาอยากเก็บเงินเข้าประเทศเขา ซึ่งกุ้งในปัจจุบัน ราคามันถูกไปมาก ดังนั้น ถ้าเขาเก็บภาษีขึ้นมา 5-10% มันไม่ได้มี Impact เยอะ มองว่าอยู่ได้ คือพูดถึงเฉพาะกุ้งอย่างเดียว

           

สรุปแล้วส่วนตัวห่วงการตัดสินใจของรัฐบาลว่าจะไม่กล้าหักดิบกับบางอุตสาหกรรม แล้วจะทำให้ไม่สามารถเจรจาต่อรองกันได้ แต่ถ้ามันเป็นถึงขั้นนั้นจริงๆ เราก็ต้องเคารพการตัดสินใจของภาครัฐ และสิ่งที่จะเกิดกับผู้ประกอบการเราคือต้องหาตลาดทดแทน ซึ่งการหาตลาดทดแทน ถามว่าเป็นไปได้หรือไม่ คือตลาดสหรัฐอเมริกาประมาณ 25% ของการส่งออกของไทย ดังนั้น การไปหาตลาดทดแทนให้ได้ 25% ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ถามว่าเป็นไปได้หรือไม่ คือเป็นไปได้ เพราะเราไม่เคยลองตลาดอื่น อย่างตลาดจีนเราก็ขายแบบพรีเมียม เราไม่เคยลองลดราคาเพื่อขายในตลาดรองลงมา เราวาง Positioning ตัวเองไว้อยู่สูงกว่าทุกคนที่เราเข้าตลาดไป ถ้าวันหนึ่ง 25% ที่เข้าสหรัฐอเมริกาหายไป ถ้าทุกคนยอมรับกันได้ว่าสูญเสียตรงนั้น ทำใจยอมรับแล้วสู้ด้วยกัน แล้วหาตลาดทดแทน หาผู้ซื้อราคาเท่าไหร่อีกเรื่องหนึ่ง ขอให้มีผู้ซื้อดีกว่าที่จะมาดัมป์กันเอง และดัมป์ตลาดในประเทศจนเละ ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะมาจาก 25% แล้วมาลงตลาดภายใน เป็นเรื่องที่ยากมาก

Comments


bottom of page