top of page
image.png

พักฐานระยะสั้นรอปัจจัยบวกใหม่ๆ รอปัจจัยบวกจากจีน !


แนวโน้มของตลาดหุ้นโลกในระยะสั้นๆ ถูกกดดันจากทิศทางของเศรษฐกิจจีนที่ยังคงสร้างความกังวลให้กับนักลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดนักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ว่าการขยายตัวของเศรษฐกิจจีนซึ่งปัจจุบันใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกนั้น จะอยู่ที่ราว 5% ในปีนี้ และเริ่มต่ำกว่า 5% ในปีหน้า รวมทั้งจะลดลงสู่ระดับ 3.5% ในปี 2573 และคาดว่าลดลงใกล้แตะระดับ 1% ในปี 2593 ซึ่งตัวเลขดังกล่าวลดลงจากที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ที่ระดับ 4.3% และ 1.6% ตามลำดับ หลังจากที่เศรษฐกิจจีนขยายตัวเพียง 3% ในปี 2565 ซึ่งเป็นการขยายตัวต่ำที่สุดในรอบหลายสิบปี เนื่องจากผลกระทบของมาตรการควบคุมโรคโควิด-19 และวิกฤตภาคอสังหาริมทรัพย์ที่บั่นทอนเศรษฐกิจของประเทศ กระทั่งจีนได้ตัดสินใจเปิดประเทศและทำให้เกิดความหวังว่าจะเป็นปัจจัยหนุนเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวในปีนี้ แต่ก็ไม่เป็นไปตามคาดการณ์ เนื่องจากการทรุดตัวของยอดส่งออกและวิกฤตในภาคอสังหาริมทรัพย์ยังคงเป็นปัจจัยฉุดรั้งเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง

ล่าสุดตัวเลขส่งออกเดือน ส.ค. 66 ของจีนลดลง 8.8% แตะระดับ 2.849 แสนล้านดอลลาร์ เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งเป็นการลดลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 4 เนื่องจากอุปสงค์สินค้าจีนในต่างประเทศชะลอตัวลง ขณะที่ตัวเลขนำเข้าลดลงเช่นกันราว 7.3% สู่ระดับ 2.165 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งนับตั้งแต่ต้นปี 2566 ยอดการนำเข้าของจีนปรับตัวลงทุกเดือนเมื่อเทียบเป็นรายปี ขณะที่ยอดส่งออกปรับตัวลงทุกเดือนนับตั้งแต่เดือนเม.ย.ปีนี้ ขณะที่ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของจีนเพิ่มขึ้น 0.1% ในเดือน ส.ค. 66 เมื่อเทียบเป็นรายปี ต่ำกว่าที่ผลสำรวจของรอยเตอร์คาดไว้ว่าอาจเพิ่มขึ้น 0.2% หลังจากลดลง 0.3% เมื่อเทียบเป็นรายปีในเดือน ก.ค. 66 สะท้อนแรงกดดันด้านเงินฝืดที่ยังคงมีอยู่ อย่างไรก็ดีผมยังมองว่าแรงกดดันจากปัจจัยดังกล่าวจะเป็นเพียงแรงกดดันในระยะสั้นๆ เท่านั้น และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนที่จะออกมาเยอะแน่นอนหลังจากนี้ จะกลับมาเป็นปัจจัยบวกกับตลาดหุ้นโลกได้

เมื่อไม่นานมานี้รัฐบาลจีนได้ประกาศยกเลิกกฎข้อบังคับทั้งหมดที่จำกัดไม่ให้ประชาชนซื้อและขายบ้าน ซึ่งการยกเลิกกฎเกณฑ์ดังกล่าวทำให้ประชาชนสามารถขายบ้านได้ในทุกพื้นที่ของเมือง เพื่อกระตุ้นให้ประชาชนซื้อบ้านมากขึ้น และเพื่อทำให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ซบเซากลับมาคึกคักอีกครั้ง ทั้งนี้ความเคลื่อนไหวดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการสนับสนุนแบบเป็นวงกว้างสำหรับตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ซบเซา ซึ่งรวมถึงการปรับลดอัตราดอกเบี้ยสำหรับผู้จำนองบ้านรายเดิมที่ยังผ่อนชำระหนี้ไม่หมด โดยภาคอสังหาริมทรัพย์คิดเป็น 1 ใน 4 ของเศรษฐกิจจีน

นอกจากนี้หน่วยงานกำกับดูแลด้านการเงินของจีนได้ประกาศลดการประเมินน้ำหนักความเสี่ยง (Risk Weighting) สำหรับบริษัทประกันที่ถือหุ้นบลูชิปและหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีในตลาดหุ้น โดยมาตรการดังกล่าวมีเป้าหมายที่จะสนับสนุนให้บริษัทประกันเหล่านี้เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นมากขึ้น หลังจากภาวะการซื้อขายในตลาดจีนซบเซาลงเป็นเวลานาน

ทั้งนี้ผลกระทบจากการออกมาตรการต่างๆ ในการกระตุ้นเศรษฐกิจไปก่อนหน้านี้ เริ่มเห็นผลแล้วสะท้อนออกมาจากการที่ธนาคารกลางจีน (PBOC) เปิดเผยว่า ยอดปล่อยกู้สกุลเงินหยวนเดือน ส.ค. 66 เพิ่มขึ้น 1.36 ล้านล้านหยวน (1.8863 แสนล้านดอลลาร์) ซึ่งแข็งแกร่งกว่าในเดือน ก.ค. 66 ที่ปรับตัวขึ้น 3.459 แสนล้านหยวน และดีกว่าที่นักวิเคราะห์ในโพลสำรวจของรอยเตอร์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 1.20 ล้านล้านหยวน นอกจากนี้ ยอดปล่อยกู้สกุลเงินหยวนเดือน ส.ค.ปีนี้ ยังแข็งแกร่งกว่าเดือน ส.ค.ปีที่แล้วซึ่งเพิ่มขึ้น 1.25 ล้านล้านหยวน ทั้งนี้การเพิ่มขึ้นของยอดปล่อยเงินกู้ของจีนได้รับแรงหนุนจากการที่ PBOC ผลักดันให้ธนาคารพาณิชย์ปล่อยเงินกู้เพิ่มให้กับภาคธุรกิจและครัวเรือน รวมถึงเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งขายพันธบัตร ซึ่งข้อมูลล่าสุดแสดงให้เห็นว่า ความต้องการสินเชื่อของภาคครัวเรือนจีนเริ่มกลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง หลังจากรัฐบาลจีนได้ออกมาตรการต่างๆ เพื่อพลิกฟื้นภาคอสังหาริมทรัพย์

Momentum ตลาดหุ้นโลกและไทยยังไปได้ ! ขณะที่ปัจจัยจากฝั่งของสหรัฐยังคงเป็นปัจจัยบวกต่อทิศทางของตลาดหุ้นโลกได้ หลังจากที่ล่าสุดเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้ออกมาประสานเสียงไม่ต้องรีบปรับขึ้นดอกเบี้ย โดยที่ นางซูซาน คอลลินส์ และนายคริสโตเฟอร์ วอลเลอร์ ในฐานะสมาชิกบอร์ดผู้ว่าการเฟดมีความเห็นว่าตัวเลขเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมาได้ทำให้เฟดมีเวลามากขึ้นในการตัดสินใจว่ามีความจำเป็นหรือไม่ในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไปเพื่อสกัดเงินเฟ้อ ขณะที่แรงกดดันจากภาวะเงินเฟ้อได้ชะลอตัวลง หลังองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) เปิดเผยว่า ดัชนีราคาอาหารโลกเดือน ส.ค. 66 ปรับตัวลดลง 2.1% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า โดยที่ราคาเมล็ดข้าวและธัญพืช ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่มีสัดส่วนมากที่สุด ปรับตัวลดลง 0.7% เนื่องจากผลผลิตจากการเก็บเกี่ยวที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ราคาข้าวโพดปรับตัวลดลงเป็นเดือนที่ 7 ติดต่อกัน เนื่องจากปริมาณพืชผลที่เพิ่มมากขึ้นในบราซิล และราคาข้าวสาลีลดลง 3.8% เนื่องจากผลผลิตในสหรัฐและแคนาดาปรับตัวสูงขึ้น ขณะที่แนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐยังคงแข็งแกร่ง โดยในตลาดแรงงาน กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 13,000 ราย สู่ระดับ 216,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือน ก.พ. 66 และสวนทางนักวิเคราะห์ที่คาดว่าเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 234,000 ราย และในภาคของการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขขาดดุลการค้าในภาคสินค้าและบริการของสหรัฐเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 6.50 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือน ก.ค. 66 แต่ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 6.80 หมื่นล้านดอลลาร์ หลังการนำเข้าสหรัฐเพิ่มขึ้น 1.7% สู่ระดับ 3.167 แสนล้านดอลลาร์ ขณะที่การส่งออกเพิ่มขึ้น 1.6% สู่ระดับ 2.517 แสนล้านดอลลาร์

นอกจากนี้เฟด สาขาแอตแลนตา เปิดเผยว่าแบบจำลองคาดการณ์ GDPNowล่าสุดแสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจสหรัฐขยายตัว 5.6% ในไตรมาส 3 หลังจากมีการขยายตัว 2.0% และ 2.1% ในไตรมาส 1 และ 2 ตามลำดับ ขณะที่สำนักวิจัยโกลด์แมน แซคส์คาดการณ์ว่าขณะนี้มีโอกาสเพียง 15% ที่เศรษฐกิจสหรัฐจะเข้าสู่ภาวะถดถอย ซึ่งลดลงจากโอกาส 20% ที่มีการคาดการณ์ก่อนหน้านี้ เนื่องจากเงินเฟ้อของสหรัฐชะลอตัวลง และตลาดแรงงานยังคงแข็งแกร่ง ซึ่งบ่งชี้ว่าเฟด อาจไม่จำเป็นต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก ซึ่งคาดการณ์โดยโกลด์แมน แซคส์นั้น อยู่ในระดับที่ต่ำกว่ามากเมื่อเทียบกับที่นักวิเคราะห์ในโพลสำรวจของบลูมเบิร์กคาดการณ์ไว้ที่ระดับ 60% นอกจากนี้ โกลด์แมน แซคส์ยังมีมุมมองที่เป็นบวกมากกว่าโพลสำรวจอื่นๆ เกี่ยวกับการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐ

ในส่วนของทิศทางของตลาดหุ้นไทยในทางเทคนิคถ้า SET ไม่หมุนลงมาต่ำกว่า 1,520 จุดอีกครั้ง SET ก็จะแกว่งตัวขึ้นในกรอบขาขึ้น หรือ Uptrend Channel ต่อไป

ในส่วนของกลยุทธ์ สำหรับการลงทุนระยะสั้น (ไม่เกิน 1 สัปดาห์) กรณี SET ยังคงแกว่งเหนือกว่า 1,520 จุด เน้น “อ่อนตัวซื้อทยอยสะสม” สำหรับการลงทุนระยะกลาง (1-3 เดือน) ในลักษณะ Long-Only แนะนำ “คงสัดส่วนการลงทุนในหุ้นที่ระดับ 50% ของพอร์ต”

ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่ความเห็นส่วนตัวของผมนะครับ โปรดใช้วิจารณญาณ และศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนการตัดสินใจลงทุนด้วยครับ สำหรับการพูดคุยกันระหว่างสัปดาห์นอกจากทาง Facebook ที่ www.facebook.com/hippowealththailand และ e-mail ที่ hippowealththailand@gmail.com แล้ว แฟนๆ ยังสามารถติดตามมุมมองเกี่ยวกับการลงทุนจาก “นายหมูบิน” ได้ในรายการ “เซียนเศรษฐกิจ” ทาง FM 97 ทุกวันอาทิตย์เวลา 14.00-16.00 น. เช่นเดิมครับ


ภาพประกอบ : การวิเคราะห์ทิศทางตลาดหุ้นไทยในทางเทคนิครายวัน (Daily)


Source: TradingView



348 views

Comments


bottom of page