top of page
369286.jpg

ลุ้นแกว่งต่อเหนือ 1,300 จุด...ตลาดหุ้นโลกในภาวะ Risk On !


กระแสต่อเนื่องของ U.S. Election Rally Effect ยังคงเป็นปัจจัยบวกอย่างมากต่อทิศทางของตลาดหุ้นทั่วโลก บวกเข้ากับความคืบหน้าอย่างมากของวัคซีน COVID-19 หลังจากที่ Pfizer Inc.(สหรัฐอเมริกา) และ BioNTech SE (เยอรมัน) สองบริษัทยายักษ์ใหญ่ของทั้งสองประเทศได้ออกมาประกาศข่าวดีจากผลการทดลองวัคซีน COVID-19 ว่ามีประสิทธิภาพมากกว่า 90% ในการป้องกัน COVID-19

นอกจากนี้ Pfizer ยังได้แจ้งต่อว่าในปีนี้ทางบริษัทจะทำการผลิตวัคซีนตัวนี้ออกมาจำนวน 50 ล้านโดส โดยเฉพาะในปีหน้าที่ Pfizer ระบุว่าจะทำการผลิตออกมาอีกถึง 1,300 ล้านโดสกันเลยทีเดียว ขณะที่บริษัท Moderna ประกาศว่าบริษัทมีข้อมูลจากการทดลองขั้นสุดท้ายเพียงพอในการนำไปวิเคราะห์ขั้นแรกเพื่อประเมินประสิทธิภาพของวัคซีนต้านโรค COVID-19 ที่บริษัทได้พัฒนาขึ้น โดยในขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการเตรียมข้อมูลดังกล่าวเพื่อส่งให้คณะกรรมการอิสระด้านการตรวจสอบข้อมูลความปลอดภัยทำการประเมินผลต่อไป

อย่างไรก็ตาม Pfizer กำลังอยู่ในกระบวนการ “ขออนุญาต FDA” ซึ่งยังเป็นประเด็นสำคัญที่ต้องติดตามว่าจะผ่านการอนุมัติได้หรือไม่ รวมไปถึงความรวดเร็วในการผลิตและแจกจ่ายด้วยเช่นกัน

ขณะที่ Jerome Powell ประธานธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด ระบุว่าความคืบหน้าในการพัฒนาวัคซีนต้านไวรัส COVID-19 ถือเป็นข่าวดีในระยะกลาง แต่ก็ยังคงมีความท้าทายและความไม่แน่นอนเกี่ยวกับช่วงเวลาในการผลิต, แจกจ่าย และประสิทธิภาพของวัคซีนในกลุ่มที่แตกต่างกัน

อย่างไรก็ดีจากประเด็นดังกล่าวส่งผลให้ตลาดหุ้นโลกในฐานะหนึ่งในสินทรัพย์เสี่ยงเกิดภาวะขาขึ้นในลักษณะที่เรียกว่า “Risk On” ชัดเจน ทั้งนี้บนความคาดหวังว่าวัคซีนจะมาได้ภายในปีหน้าแล้ว ส่งผลให้ในส่วนของตลาดหุ้นไทย หุ้นกลุ่ม Cyclical Play ปรับตัวขึ้นมาดีกว่า หรือ Outperform อย่างชัดเจน เช่น หุ้นกลุ่มการท่องเที่ยว, ธนาคาร, สายการบิน รวมไปถึงกลุ่มการเงิน และสินเชื่อที่เคยถูกผลกระทบจากการแพร่กระจายของเชื้อไวรัส COVID -19

ขณะที่ในเชิงเทคนิคของตลาดหุ้นไทย “นายหมูบิน” มองว่าตราบใดที่ SET ยังคงไม่ลงไปปิดต่ำกว่า 1,300 จุดอีกครั้ง ในระยะสั้น SET ยังคงอยู่ในทิศทางของการแกว่งตัวขึ้นต่อบนภาวะ “Risk On” ของตลาดหุ้นโลกได้ โดยมีบริเวณ 1,300 จุดเป็นจุดหมุน และ Cut Loss และมีบริเวณ 1,450 จุด (+/-10) เป็นเป้าหมายในระยะสั้น

นักลงทุนเมินปัจจัยลบให้น้ำหนักปัจจัยบวกมากกว่า ! ทั้งนี้นอกจากความชัดเจนที่ว่ารัฐบาลของว่าที่ประธานาธิบดี Joe Biden ไม่มีแผนการที่จะดำเนินมาตรการล็อกดาวน์ทั่วสหรัฐเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID -19 แม้ว่าล่าสุดสหรัฐเพิ่งจะเปิดเผยตัวเลขผู้ติดเชื้อรายวันล่าสุด ซึ่งเพิ่มขึ้นมาที่ 190,0590 รายแล้ว และเป็นสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ รวมทั้งมีแนวโน้มที่จะแย่ลงไปอีกเรื่อยๆ เพราะกำลังเข้าสู่ช่วงหน้าหนาวที่ไวรัสจะมีการแพร่ระบาดได้ง่ายขึ้นแล้ว

นอกจากนี้ถึงแม้ว่าจะมีความคืบหน้าด้านการพัฒนาวัคซีน แต่การแจกจ่ายให้กับทุกประเทศในโลกยังมีข้อจำกัดอยู่ เนื่องจากการใช้วัคซีนของบริษัท Pfizer ที่ต้องเก็บในตู้เย็นอุณหภูมิต่ำถึง -70 องศาเซลเซียส ซึ่งจะเป็นปัญหาในการขนส่งและจัดเก็บสำหรับหลายประเทศเป็นอย่างมาก ขณะที่ประเทศมหาอำนาจได้จองวัคซีนเบื้องต้นไปแล้ว ได้แก่ ยุโรป 200 ล้านโดส, ญี่ปุ่น 120 ล้านโดส, สหรัฐ 100 ล้านโดส และสหราชอาณาจักรอีก 30 ล้านโดส แต่ตัวเลขเศรษฐกิจที่ทยอยประกาศออกฟื้นตัวขึ้นเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้การปรับตัวขึ้นรอบนี้ของตลาดหุ้นโลกดูดีขึ้น โดยเฉพาะในฝั่งของสหรัฐ ที่ล่าสุดตัวเลข Initial Jobless Claim ปรับตัวลงเป็นสัปดาห์ที่ 4 ติดต่อกัน โดยลดลงสู่ระดับ 709,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว จากระดับ 757,000 รายในสัปดาห์ก่อนหน้านี้

ขณะที่ Goldman Sachs และ JP Morgan มองว่าตลาดหุ้นสหรัฐกำลังจะเข้าสู่ขากระทิง หรือ Bullish โดยที่ปัจจัยหลักมาจากความคืบหน้าในการค้นพบวัคซีน และผลการเลือกตั้งที่เกิดขึ้นในสหรัฐ หลังจากในฝั่งของวุฒิสภา หรือ Senate คาดว่าจะเป็นพรรค Republican ที่ครองเสียงข้างมากไป ในขณะที่พรรค Democrat จะได้เสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร หรือ House โดยที่ Goldman Sachs มองว่าเป็นสิ่งที่ดีต่อเศรษฐกิจ เพราะจะทำให้ว่าที่ประธานาธิบดี Joe Biden อาจไม่สามารถขึ้นภาษี Corporate Tax ของบริษัทในสหรัฐได้อย่างง่ายๆ

ในส่วนของฝั่งยุโรปนั้น ล่าสุดประธานธนาคารกลางยุโรป หรือ ECB ยังคงยืนยันว่าจะให้ความสำคัญกับการซื้อพันธบัตรฉุกเฉินมากขึ้น รวมถึงการจัดหาเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำให้กับธนาคารต่างๆ เมื่อ ECB จะพิจารณาออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจใหม่ในเดือนหน้า ซึ่งบอกเป็นนัยได้ว่าถึงแม้จะมีข่าวดีอย่างความคืบหน้าในการทดลองวัคซีน แต่ ECB จะไม่หยุดยั้งการผ่อนคลายนโยบายลงอีกในเดือน ธ.ค. 63

ขณะที่ในฝั่งของสหรัฐ ทางด้าน Goldman Sachs ประเมินว่าเฟดจะคงที่ 0% ไปจนถึงปี 2568 ซึ่งเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้ Goldman Sachs มองว่าตลาดหุ้นสหรัฐกำลังจะเข้าสู่ขากระทิง หรือ Bullish ทั้งนี้หากดอกเบี้ยสหรัฐจะคงตรึงอยู่ที่ 0% ไปอีก 5 ปี ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยในเอเชียจะปรับตัวสูงขึ้นก่อนสหรัฐ จะทำให้ตลาดพันธบัตรในเอเชียยิ่งน่าดึงดูดใจสำหรับนักลงทุนต่างชาติเข้าไปอีก และเงินทุนจะไหลเข้าสู่เอเชียโดยเฉพาะในจีนเป็นหลัก

ในส่วนของกลยุทธ์ สำหรับการลงทุนระยะสั้น (ไม่เกิน 1 สัปดาห์) ตราบใดที่ SET ยังคงไม่ลงไปปิดต่ำกว่า 1,300 จุดอีกครั้ง เน้น “เก็งกำไรระยะสั้น” โดยมี 1,300 จุดเป็นจุดหมุน และจุด Cut Loss ในหุ้น CPALL, BJC, BEM, CRC, AOT, GPSC, PTTGC, WHA และ BDMS อีกครั้ง สำหรับการลงทุนระยะกลาง (1-3 เดือน) ในลักษณะ Long-Only แนะนำ “คงสัดส่วนการลงทุนในหุ้นมาอยู่ที่ระดับ 25% ของพอร์ต”

ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่ความเห็นส่วนตัวของผมนะครับ โปรดใช้วิจารณญาณ และศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนการตัดสินใจลงทุนด้วยครับ สำหรับการพูดคุยกันระหว่างสัปดาห์นอกจากทาง Facebook ที่ www.facebook.com/wealthhuntersclub และ e-mail ที่ moobin.stockmania@gmail.com แล้ว แฟนๆ ยังสามารถติดตามมุมมองเกี่ยวกับการลงทุนจาก “นายหมูบิน” ได้ในรายการ “เซียนเศรษฐกิจ” ทาง FM 97 ทุกวันอาทิตย์ เวลา 14.00-16.00 น. เช่นเดิมครับ

 

ภาพประกอบ : การวิเคราะห์ทิศทางตลาดหุ้นไทยในทางเทคนิครายวัน (Daily)

Source: Wealth Hunters Club

26 views

Comentarios


bottom of page