top of page
312345.jpg

ลุ้นต้องยืนเหนือ 1,300 จุดให้ได้อย่างมั่นคง


ตลาดหุ้นวิ่งรับผู้นำใหม่สหรัฐ !

ตลาดหุ้นทั่วโลกกลับสู่แนวโน้มขาขึ้นในระยะสั้นๆชัดเจน หลังจากนักลงทุนมีมุมมองเป็นบวกจากผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในครั้งนี้ ถึงแม้การเลือกตั้งในครั้งนี้จะไม่ได้เป็น “Blue Sweep” หรือการที่พรรค Democrat ได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐพร้อมกับครองเสียงข้างมากทั้งสภาบนและสภาล่างในเวลาเดียวกัน เหมือนกับที่ตลาดคาดการณ์ไว้ แต่อย่างไรก็ตามถึงแม้จะไม่มีพรรคไหนครองอำนาจเบ็ดเสร็จในสภาคองเกรส ซึ่งหมายความว่าพรรค Republican และพรรค Democrat จะยังคานอำนาจกันในสภาคองเกรส แต่ตลาดหุ้นโลกยังคงมองไปที่ปัจจัยบวกจากแผนระยะสั้นของ Joe Biden ที่มี 2 เรื่องเร่งด่วน คือ ควบคุมการระบาดการระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 และเร่งการออกวัคซีน รวมทั้งเร่งออกแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งจะดีต่อสหรัฐและประเทศอื่นๆ ด้วย

ขณะที่นโยบายหลักของรัฐบาล Joe Biden ที่ต่างจากรัฐบาลของ Donald Trump มากที่สุดคือการมองว่าสหรัฐควรเก็บภาษีให้มากขึ้น หลักๆจากภาษีนิติบุคคล (ขึ้นจาก 21% เป็น 28%) และการเก็บภาษีเงินได้ประชาชนเพิ่มขึ้นเล็กน้อย (ขึ้นอัตราสูงสุดเป็น 39.6% จากเดิมอยู่ที่ 37%)

เหตุผลที่ Joe Biden ต้องการเก็บภาษีมากขึ้น เนื่องจากต้องการนำเงินภาษีที่ได้เพิ่มขึ้นไปกระจายการพัฒนาประเทศให้ครอบคลุมถึงทุกกลุ่มคนอเมริกันมากขึ้น ซึ่งในเชิงของการลงทุนคาดว่าจะส่งผลให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวสูงขึ้นได้จากแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ และค่าเงินดอลลาร์สหรัฐจะอ่อนค่าลง ต่างจาก Donald Trump ที่ต้องการเก็บภาษีองค์กรให้ต่ำเพื่อให้ธุรกิจในสหรัฐสามารถเติบโตไปแข่งขันกับสากลได้มากขึ้น

นอกจากนี้ตลาดหุ้นโลกยังได้รับปัจจัยหนุนจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟดมีมติคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ระดับ 0.00-0.25% ตามคาด พร้อมกับให้คำมั่นว่าจะยังไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจนกว่าจะมีการจ้างงานอย่างเต็มศักยภาพ และเงินเฟ้อปรับตัวขึ้นเหนือระดับเป้าหมาย 2%

เฟดยังระบุว่าจะยังคงซื้อพันธบัตรรัฐบาลตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) อย่างน้อย 1.2 แสนล้านดอลลาร์/เดือน รวมทั้งใช้เครื่องมืออื่นตามที่จำเป็น โดยขึ้นอยู่กับพัฒนาการทางเศรษฐกิจ

อย่างไรก็ตามการที่ Joe Biden ชนะการเลือกตั้งแบบไม่เบ็ดเสร็จเด็ดขาด ทำให้ Donald Trump ยังคงไม่ยอมรับหลังความพ่ายแพ้ และขู่ที่จะนำเรื่องนี้ขึ้นศาลเพราะเขาไม่เชื่อในการนับคะแนนจากการเลือกตั้งผ่านไปรษณีย์ ซึ่งประเด็นนี้อาจเป็นประเด็นกดดันต่อตลาดหุ้นระยะสั้นได้ เนื่องจากเคยมีเหตุการณ์ลักษณะดังกล่าวมาแล้ว ในช่วงการเลือกตั้งของปี 2000 ระหว่าง George W. Bush และ Al Gore ที่คะแนนมีความสูสีกันมาก และ Al Gore ที่เป็นฝ่ายนำมาตลอดการนับคะแนน ได้ฟ้องร้องขอให้ศาลนับผลคะแนนเลือกตั้งในบางรัฐใหม่ แต่สุดท้ายศาลก็ไม่ยอมรับคำร้องทำให้ทาง George W. Bush ได้ชัยชนะไป

ขณะที่ในเชิงเทคนิคของตลาดหุ้นไทย “นายหมูบิน” มองว่า SET จำเป็นต้องกลับไปสร้างฐานในกรอบ 1,270-1,300 จุดให้ได้อย่างมั่นคงก่อน เพื่อหลักเลี่ยงการปรับตัวลงที่ระดับ Fid Node บริเวณ 1,150 จุดอีกครั้ง

ข้างนอกสดใสข้างในมีเรื่องการเมือง ! ตัวเลขเศรษฐกิจโลกขยับดีขึ้นต่อเนื่องต้อนรับการมาของประธานาธิบดีสหรัฐคนใหม่ โดยดัชนีเศรษฐกิจอย่าง PMI ภาคการผลิตเดือน ต.ค. 63 ออกมาดีกว่าคาดการณ์เกือบทุกประเทศ สะท้อนว่าเศรษฐกิจกำลังฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหากการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐเป็นไปได้ด้วยดี และสามารถออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างไม่ติดขัด รวมถึงการควบคุมระบาดรอบ 2 คาดว่าเศรษฐกิจโลกจะฟื้นตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ในส่วนของตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐเอง ล่าสุดตัวเลข Non-farm payroll เพิ่มขึ้น 638,000 ตำแหน่งในเดือน ต.ค. 63 สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 530,000 ตำแหน่ง เพิ่มขึ้นในภาคการค้าปลีก การขนส่ง คลังสินค้า และการก่อสร้าง

ขณะที่สหรัฐรายงานอัตราการว่างงานในสหรัฐ (Unemployment Rate) ของเดือน ต.ค. 63 ลดลงอย่างรวดเร็วลงมาที่ 6.9% เทียบกับที่ตลาดคาดไว้ที่ 7.7% และปรับตัวลงมาถึง 1% จาก 7.9% ในเดือนที่แล้ว สอดคล้องกับที่ Jerome Powell ประธานเฟดออกมาระบุว่าสหรัฐกำลังอยู่ในช่วงครึ่งทางสำหรับการฟื้นตัวของตลาดแรงงาน

ทั้งนี้ความเชื่อมั่นของตลาดหุ้นโลกที่เพิ่มขึ้น สะท้อนออกมาจากการที่ดัชนี VIX Index ของตลาดหุ้นสหรัฐ, ยุโรปและฮ่องกงในสัปดาห์ที่ผ่านมาปรับตัวลดลง 26.63%, 29.77% และ 22.47% สอดคล้องกับผลผลสำรวจความเชื่อมั่นของนักลงทุนสหรัฐจาก AAII ที่ระบุว่าในสัปดาห์ที่ผ่านมา สัดส่วนนักลงทุนที่เชื่อว่าตลาดหุ้นสหรัฐในระยะ 6 เดือนข้างหน้ายังคงเป็นขาขึ้น หรือ Bullish เพิ่มขึ้น 2.67% เมื่อเทียบจากสัปดาห์ที่ผ่านมา มาอยู่ที่ 37.96% ขณะที่สัดส่วนนักลงทุนที่เชื่อว่าตลาดหุ้นสหรัฐในระยะ 6 เดือนข้างหน้ากำลังกลับเป็นขาลง หรือ Bearish ที่ลดลง 3.81% เมื่อเทียบจากสัปดาห์ที่ผ่านมา มาอยู่ที่ 31.48%

อย่างไรก็ดีปัจจัยกดดันสำคัญของตลาดหุ้นไทยจะอยู่ที่แนวโน้มค่าเงินบาทที่กลับมาแข็งค่ามากที่สุดในรอบ 10 เดือน ที่ 30.60 บาท เพราะตลาดมองว่าการที่ Joe Biden ชนะเลือกตั้งจะทำให้เงินไหลเข้าประเทศไทยทำให้ค่าเงินบาทแข็งขึ้น

ในสัปดาห์แรกของเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมาจะพบว่าเงินไหลเข้าตลาดพันธบัตรเป็นหลัก ในขณะที่ตลาดหุ้นยอดซื้อขายของนักลงทุนต่างชาติยังคงเป็นขายสุทธิ ซึ่งอาจจะเป็นเพราะการเมืองไทยยังไม่นิ่ง และผันผวนอยู่ ถึงแม้ตลาดจะเริ่มชินกับการประท้วงแล้วก็ตาม แต่ยังมีความเป็นไปได้ว่าการชุมนุมอาจมีการยกระดับขึ้นอีกในอนาคต

ในส่วนของกลยุทธ์ สำหรับการลงทุนระยะสั้น (ไม่เกิน 1 สัปดาห์) ตราบใดที่ SET ยังกลับไปยืนเหนือ 1,300 จุด (+/-) ไม่ได้ เน้น “เก็งกำไรระยะสั้น” โดยมี 1,300 จุดเป็นจุดหมุน และจุด Cut Loss ในหุ้น CPALL, BJC, BEM, CRC, AOT, GPSC, BEM, PTTGC, WHA และ BDMS อีกครั้ง สำหรับการลงทุนระยะกลาง (1-3 เดือน) ในลักษณะ Long-Only แนะนำ “คงสัดส่วนการลงทุนในหุ้นมาอยู่ที่ระดับ 25% ของพอร์ต”

ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่ความเห็นส่วนตัวของผมนะครับ โปรดใช้วิจารณญาณ และศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนการตัดสินใจลงทุนด้วยครับ สำหรับการพูดคุยกันระหว่างสัปดาห์นอกจากทาง Facebook ที่ www.facebook.com/wealthhuntersclub และ e-mail ที่ moobin.stockmania@gmail.com แล้ว แฟนๆ ยังสามารถติดตามมุมมองเกี่ยวกับการลงทุนจาก “นายหมูบิน” ได้ในรายการ “เซียนเศรษฐกิจ” ทาง FM 97 ทุกวันอาทิตย์ เวลา 14.00-16.00 น. เช่นเดิมครับ

 

ภาพประกอบ : การวิเคราะห์ทิศทางตลาดหุ้นไทยในทางเทคนิครายวัน (Daily)

Source: Wealth Hunters Club

12 views
bottom of page