ปัจจัยต่างประเทศยังหนุน !
Momentum ที่เป็นบวกของเศรษฐกิจสหรัฐยังคงเป็นปัจจัยหนุนของตลาดหุ้นโลกอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะหลังจากที่ล่าสุดวุฒิสภาสหรัฐลงมติผ่านร่างกฎหมายการใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐานวงเงิน 1 ล้านล้านดอลลาร์ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและการสร้างงานในสหรัฐ รวมถึงการใช้จ่ายงบประมาณครั้งใหม่วงเงิน 5.5 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งครอบคลุมโครงการสร้างถนน สะพาน ทางรถไฟ ปัจจัยพื้นฐานสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง และโครงการอื่นๆ ขณะที่ในด้านของตัวเลขเศรษฐกิจ พบว่าล่าสุด Initial Jobless Claim ของสหรัฐลดลงสู่ระดับ 375,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว สอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าตลาดแรงงานยังคงฟื้นตัวแม้มีความเสี่ยงจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลตา
นอกจากนี้ตลาดหุ้นโลก และสหรัฐยังได้รับปัจจัยหนุนเพิ่มเติม จากความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์เงินเฟ้อ และโอกาสการขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐที่ลดลงอีกครั้ง หลังจากที่สหรัฐรายงานดัชนี CPI เพิ่มขึ้น 0.5% ในเดือน ก.ค. 64 ลดลงจากเพิ่มขึ้น 0.9% ในเดือน มิ.ย. 64 ได้ช่วยคลายความวิตกเกี่ยวกับแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งอาจจะกระตุ้นให้ธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด เริ่มปรับลดนโยบายผ่อนคลายเป็นพิเศษลงเร็วกว่าคาด
ในส่วนของตลาดหุ้นยุโรปล่าสุดได้ปรับตัวขึ้นแตะระดับสูงสุดใหม่ในเดือนนี้ โดยได้แรงหนุนจากการเปิดเผยผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียน
นอกจากนี้ Goldman Sachs ยังได้ปรับเพิ่มเป้าหมายดัชนี STOXX 600 ในรอบ 12 เดือนสู่ระดับ 520 จาก 480 โดยปรับตัวขึ้นตามหุ้นกลุ่มธนาคาร, พลังงาน และทรัพยากรพื้นฐาน เพื่อให้สะท้อนถึงการฟื้นตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของเศรษฐกิจยุโรป และผลการดำเนินงานของบริษัทในตลาดหุ้นยุโรป ขณะที่ผลสำรวจความเชื่อมั่นของนักลงทุนสหรัฐจาก AAII ที่ระบุว่าในสัปดาห์ที่ผ่านมา สัดส่วนนักลงทุนที่เชื่อว่าตลาดหุ้นสหรัฐในระยะ 6 เดือนข้างหน้ายังคงเป็นขาขึ้น หรือ Bullish เปลี่ยนแปลง +0.90% เมื่อเทียบจากสัปดาห์ที่ผ่านมา มาอยู่ที่ 37.00% ยังคงสูงกว่าสัดส่วนนักลงทุนที่เชื่อว่าตลาดหุ้นสหรัฐในระยะ 6 เดือนข้างหน้ากำลังกลับเป็นขาลง หรือ Bearish ที่เปลี่ยนแปลง -0.20% เมื่อเทียบจากสัปดาห์ที่ผ่านมา มาอยู่ที่ 31.50%
อย่างไรก็ดีในส่วนของตลาดหุ้นเอเชียดูเหมือนว่าจะยังคงเปราะบาง หลังจากที่ล่าสุดสำนักวิจัย Goldman Sachs ได้ปรับลดคาดการณ์ GDP ของจีนในปีนี้ จากเดิมที่คาด +8.6% เป็น +8.3% รวมถึงปรับลดคาดการณ์ GDP ใน 3Q64 จากเดิมคาด +5.8% เหลือ +2.3% และปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP 4Q64 เป็น +8.5% จากเดิม +5.8%
นอกจากนี้ตลาดหุ้นจีนยังถูกกดดันจากรัฐบาลจีนได้ออกแผนการพัฒนาธุรกิจระยะเวลา 5 ปีมาใหม่ (Five-Year Blueprint) ซึ่งหนึ่งในประเด็นหลักคือการจัดเตรียมการจัดระเบียบด้านความมั่นคงของเศรษฐกิจในประเทศใหม่
ต่างชาติยังไม่มีสัญญาณขายทิ้ง ! ในส่วนของแนวโน้มของตลาดหุ้นไทย “นายหมูบิน” ยังคงยืนยันว่ามีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อได้นะครับ และการปรับตัวลงในระหว่างสัปดาห์จะเป็นเพียงการพักตัวเพื่อขึ้นต่อ โดยเป้าหมายในระยะ 1-2 สัปดาห์ SET น่าจะขยับกรอบการเหวี่ยงตัวขึ้นมาอยู่ที่ 1,650-1,700 จุดได้ หลังจากได้ปัจจัยแรงหนุนจากการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์บางส่วน และสถานการณ์โควิดในประเทศซึ่งอยู่ในทิศทางทรงตัว โดยที่ตัวเลขผู้ติดเชื้อใหม่ยังคงปรับตัวลดลง รวมถึงแรงซื้อจากกลุ่มนักลงทุนต่างชาติ ประกอบกับแนวโน้มของนักลงทุนต่างชาติยังคงมีโอกาสซื้อสุทธิอีกอย่างต่อเนื่อง สะท้อนมาจากการที่ดัชนี Accumulated Foreign Fund Flow กลับมาทำสัญญาณ Buy Signal อีกครั้ง และตราบใดที่นักลงทุนต่างชาติไม่กลับมาขายสุทธิต่อเนื่องอีกมากกว่า 2.0 หมื่นล้านบาท โดยที่บริเวณ 1,600 จุดของ SET ยังจะทำหน้าที่เป็นแนวรับ และจุดหมุนที่สำคัญ
ตราบใด SET ไม่หมุนลงต่ำกว่า 1,600 จุดอีกครั้ง เป้าหมายในระยะ 1-2 สัปดาห์ที่การแกว่งขึ้นไปในกรอบ 1,650-1,700 จุดก่อนในเบื้องต้น
ในส่วนของกลยุทธ์ สำหรับการลงทุนระยะสั้น (ไม่เกิน 1 สัปดาห์) เมื่อ SET ยังคงปิดเหนือ 1,600 จุดได้ เน้น “เก็งกำไรระยะสั้น” โดยมี 1,600 จุดเป็นจุดหมุน และจุด Cut Loss ในหุ้น CPALL, BJC, BEM, CRC, AOT, GPSC, PTTGC, WHA และ BDMS อีกครั้ง สำหรับการลงทุนระยะกลาง (1-3 เดือน) ในลักษณะ Long-Only แนะนำ “เพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้นมาอยู่ที่ระดับ 50% ของพอร์ต”
ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่ความเห็นส่วนตัวของผมนะครับ โปรดใช้วิจารณญาณ และศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนการตัดสินใจลงทุนด้วยครับ สำหรับการพูดคุยกันระหว่างสัปดาห์นอกจากทาง Facebook ที่ www.facebook.com/wealthhuntersclub และ e-mail ที่ moobin.stockmania@gmail.com แล้ว แฟนๆ ยังสามารถติดตามมุมมองเกี่ยวกับการลงทุนจาก “นายหมูบิน” ได้ในรายการ “เซียนเศรษฐกิจ” ทาง FM 97 ทุกวันอาทิตย์ เวลา 14.00-16.00 น. เช่นเดิมครับ
ภาพประกอบ : การวิเคราะห์ทิศทางตลาดหุ้นไทยในทางเทคนิครายวัน (Daily)
Source: Wealth Hunters Club
Commentaires