หลังจากที่รายงานการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด เดือน ก.ค. 64 ระบุว่ากรรมการเฟดส่วนใหญ่เห็นพ้องที่จะปรับลดวงเงิน QE ในปีนี้ โดยประธานเฟดสาขาดัลลัส ระบุว่าเฟดควรประกาศในเดือน ก.ย. 64 และเริ่มลดวงเงินในเดือน ต.ค. 64 เช่นเดียวกับรองประธานเฟด..นายริชาร์ด แคลริดาที่มองว่าเฟดควรปรับลดวงเงินภายในปีนี้ และปรับขึ้นดอกเบี้ยในปี 2566 ประกอบกับตลาดหุ้นสหรัฐยังถูกกระทบจากการปรับลดคาดการณ์ GDP ของสหรัฐในไตรมาส 3 โดยโกลด์แมน แซคส์ ลด GDP จาก 9.0% เหลือ 5.5% เพราะผลจากการกลับมาแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และมองว่าอัตราเงินเฟ้อสหรัฐจะพุ่งสูงขึ้นกว่าคาดในช่วงที่เหลือของปีนี้
ในขณะที่ตลาดหุ้นฝั่งเอเชียปรับลดลงจากประเด็นที่รัฐบาลญี่ปุ่นขยายภาวะฉุกเฉินในกรุงโตเกียวและพื้นที่ 5 จังหวัดต่อไปอีกจนถึงวันที่ 12 ก.ย. 64 และยังเพิ่มพื้นที่ควบคุมภายใต้ภาวะฉุกเฉินอีก 7 จังหวัดโดยจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 20 ส.ค.-12 ก.ย. 64
นอกจากนี้ยังถูกกระทบจากการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจจีนที่ออกมาต่ำกว่าคาดการณ์ อาทิ ผลผลิตภาคอุตสาหกรรม เดือน ก.ค. 64 ขยายตัว 6.4% YoY ต่ำกว่าคาดการณ์ที่ 7.8% รวมถึงต่ำกว่าเดือนก่อนหน้าที่ ขยายตัว 8.3% รวมถึงตัวเลขยอดค้าปลีกเดือน ก.ค. 64 ที่ขยายตัวเพียง 8.5% YoY ต่ำกว่าคาดที่ 11.5% และต่ำกว่าเดือนก่อนหน้าที่ 12.1% กดดันตลาดหุ้นโลกให้ปรับตัวลงในสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยดัชนี MSCI ACWI ของตลาดหุ้นโลกเปลี่ยนแปลง -2.02% ซึ่งตลาดหุ้นที่นำการปรับตัวลง ได้แก่ตลาดหุ้น Asia ex Japan, จีน และญี่ปุ่น ที่เปลี่ยนแปลง -4.50%, -2.24% และ -2.89%
ขณะที่ผลสำรวจความเชื่อมั่นของนักลงทุนสหรัฐจาก AAII ระบุว่าในสัปดาห์ที่ผ่านมา สัดส่วนนักลงทุนที่เชื่อว่าตลาดหุ้นสหรัฐในระยะ 6 เดือนข้างหน้ายังคงเป็นขาขึ้น หรือ Bullish เปลี่ยนแปลง -3.80% เมื่อเทียบจากสัปดาห์ที่ผ่านมาอยู่ที่ 33.20% ขณะที่สัดส่วนนักลงทุนที่เชื่อว่าตลาดหุ้นสหรัฐในระยะ 6 เดือนข้างหน้ากำลังกลับเป็นขาลง หรือ Bearish เปลี่ยนแปลง +3.60% เมื่อเทียบจากสัปดาห์ที่ผ่านมา มาอยู่ที่ 35.10%
อย่างไรก็ดีทิศทางของตลาดหุ้นโลกที่นำโดยตลาดหุ้นสหรัฐและยุโรปยังคงอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น ตราบใดที่ดัชนี S&P500 ของตลาดหุ้นสหรัฐ และดัชนี Stoxx50 ของตลาดหุ้นยุโรป ยังคงมีรูปแบบของการเกิด Golden Cross ครบทั้ง 5 ขั้น ซึ่งในทางเทคนิคสะท้อนว่าตลาดหุ้นสหรัฐและยุโรปจะยังคงเป็นผู้นำของการแกว่งตัวในแนวโน้มขาขึ้นของตลาดหุ้นโลกต่อไปได้ โดยมีปัจจัยในเชิงพื้นฐานสนับสนุนจากตัวเลข Initial Jobless Claim ลดลงสู่ระดับ 348,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว โดยปรับลดลงเป็นสัปดาห์ที่ 4 ติดต่อกัน และอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 17 เดือน สะท้อนให้เห็นถึงการฟื้นตัวของตลาดแรงงานสหรัฐ ถึงแม้จะมีการกลับมาแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
ทั้งนี้นักลงทุนยังคงจับตาการประชุมประจำปีของเฟดที่เมืองแจ็กสัน โฮล รัฐไวโอมิง ในวันที่ 26-28 ส.ค. 64 เพื่อหาสัญญาณที่ชัดเจนเกี่ยวกับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของเฟด และการปรับลดวงเงิน QE
ตลาดหุ้นไทยมี Momentum ดีขึ้นหลังผู้ติดเชื้อลดลง ! เครื่องมือที่ใช้ในการชี้วัดความแข็งแกร่งของแนวโน้มอย่างดัชนี Relative Strength ซึ่งเป็นดัชนีที่ใช้เพื่อเปรียบเทียบประสิทธิภาพของตลาดหุ้นต่างๆ เมื่อเทียบกับดัชนี MSCI ACWI สอดคล้องกับข้อมูลในทางเทคนิคที่ระบุที่แนวโน้มที่ยังคงเป็นขาขึ้นของตลาดหุ้นสหรัฐ และยุโรป โดยที่ในสัปดาห์ที่ผ่านมาดัชนี Relative Strength ระบุว่าตลาดหุ้นที่ Outperform เมื่อเทียบกับดัชนี MSCI ACWI ได้แก่ ตลาดหุ้นยุโรป สหรัฐ และไทย ที่เปลี่ยนแปลง +0.4%, +0.8%, และ +2.8% ตามลำดับ เมื่อเทียบกับดัชนี MSCI ACWI ในสัปดาห์ที่ผ่านมา
นอกจากนี้ในส่วนของตลาดหุ้นไทยยังมีปัจจัยหนุนจากการประกาศตัวเลข GDP ไตรมาส 2 ออกมาที่ +7.5% YoY ซึ่งสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ +6.4% แม้ว่า สศช.จะปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจทั้งปีลง จากเดิมที่ 1.5-2.5% เป็น 0.7-1.2%
อย่างไรก็ตามการปรับลดดังกล่าวเป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ โดยตลาดหุ้นไทยสามารถปรับตัวบวกขึ้นได้ จากแรงเข้าซื้อหุ้นในกลุ่มเปิดประเทศ ตามตัวเลขผู้ติดเชื้อที่ยังทรงตัวที่ระดับราว 2 หมื่นรายต่อวันโดยอยู่บนการคาดการณ์ของ ศบค. บนกรณีล็อกดาวน์แบบมีประสิทธิภาพ 25% โดยจากตัวเลขผู้ติดเชื้อในระดับ 2 หมื่นรายต่อวันทาง ศบค. ได้ขยายมาตรการล็อกดาวน์และเคอร์ฟิวช่วงเวลาสามทุ่มในพื้นที่จังหวัดสีแดงเข้ม จนถึงวันที่ 31 ส.ค. 64 แต่ผ่อนปรนให้สถาบันการเงินสามารถเปิดในห้างสรรพสินค้าได้ถึงเวลา 17.00 น.
ในส่วนของกลยุทธ์ สำหรับการลงทุนระยะสั้น (ไม่เกิน 1 สัปดาห์) “ซื้อเก็งกำไร” เมื่อ SET ปิดเหนือ 1,560 จุดได้เน้น “เก็งกำไรระยะสั้น” โดยมี 1,515 จุดเป็นจุดหมุน และจุด Cut Loss ในหุ้น CPALL, BJC, BEM, CRC, AOT, GPSC, PTTGC, WHA และ BDMS อีกครั้ง สำหรับการลงทุนระยะกลาง (1-3 เดือน) ในลักษณะ Long-Only แนะนำ “คงสัดส่วนการลงทุนในหุ้นมาอยู่ที่ระดับ 25% ของพอร์ต”
ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่ความเห็นส่วนตัวของผมนะครับ โปรดใช้วิจารณญาณ และศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนการตัดสินใจลงทุนด้วยครับ สำหรับการพูดคุยกันระหว่างสัปดาห์นอกจากทาง Facebook ที่ www.facebook.com/wealthhuntersclub และ e-mail ที่ moobin.stockmania@gmail.com แล้ว แฟนๆ ยังสามารถติดตามมุมมองเกี่ยวกับการลงทุนจาก “นายหมูบิน” ได้ในรายการ “เซียนเศรษฐกิจ” ทาง FM 97 ทุกวันอาทิตย์ เวลา 14.00-16.00 น. เช่นเดิมครับ
ภาพประกอบ : การวิเคราะห์ทิศทางตลาดหุ้นไทยในทางเทคนิครายวัน (Daily)
Source: Wealth Hunters Club
Comments