โค้งสุดท้ายไปว่ากันที่ผลเลือกตั้งสหรัฐ
ในระยะสั้นๆ นักลงทุนในตลาดหุ้นโลกยังคงให้น้ำหนักกับมาตรการเศรษฐกิจฉบับใหม่จะบรรลุได้ในเร็วๆ นี้ หลังจากประธานาธิบดี Donald Trump ยืนยันว่ามีแนวโน้มสูงที่ทำเนียบขาวจะบรรลุข้อตกลงกับสมาชิกพรรคเดโมแครต Democrats พร้อมระบุว่าการเจรจาของทั้งสองฝ่ายเป็นไปด้วยดี และมีการพูดคุยกันถึงการทำข้อตกลงที่มากกว่าการช่วยเหลืออุตสาหกรรมการบิน ขณะที่ในส่วน Larry Kudlow หัวหน้าที่ปรึกษาฝ่ายเศรษฐกิจประจำทำเนียบขาวกล่าวว่า ทำเนียบขาวต้องการที่จะให้สภาคองเกรสอนุมัติกฎหมายช่วยเหลือประชาชนและภาคธุรกิจเป็นรายมาตรการ ก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในเดือนหน้า สอดคล้องกับที่ Jerome Powell ประธานธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟดได้ออกมาเรียกร้องให้สภาคองเกรสเร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เนื่องจากสหรัฐยังคงจำเป็นต้องใช้มาตรการทางการเงินและการคลังเพื่อกระตุ้นให้เศรษฐกิจฟื้นตัวขึ้น
ทั้งล่าสุดนี้รัฐบาลของประธานาธิบดี Donald Trump ได้ยื่นข้อเสนอครั้งใหม่แก่พรรคเดโมแครต โดยจะเพิ่มวงเงินในมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจสู่ระดับ 1.8 ล้านล้านดอลลาร์ (ก่อนหน้านี้พรรคเดโมแครตเสนอวงเงิน 2.2 ล้านล้านดอลลาร์ ในขณะที่รัฐบาลของประธานาธิบดี Donald Trump ยืนที่แค่ 1.6 ล้านล้านดอลลาร์)
นอกจากนี้ประธานาธิบดี Donald Trump ยังเรียกร้องให้สภาคองเกรสอนุมัติมาตรการต่างๆ ที่เขาจะลงนาม ซึ่งได้แก่ การแจกเช็คเงินสดให้แก่ชาวอเมริกันคนละ 1,200 ดอลลาร์ รวมทั้งการอัดฉีดวงเงิน 2.5 หมื่นล้านดอลลาร์ เพื่อช่วยเหลืออุตสาหกรรมการบิน และวงเงิน 1.35 แสนล้านดอลลาร์สำหรับธุรกิจรายย่อย ส่งผลให้ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนี VIX Index ซึ่งเป็นดัชนีที่สะท้อนความผันผวนของนักลงทุนในตลาดหั้นของสหรัฐ ยุโรป และฮ่องกง เปลี่ยนแปลงลดลง 1.2%, 7.6% และ 4.3% ซึ่งสอดคล้องกับทิศทางดัชนี MSCI ACWI โดยปัจจุบัน VIX ของสหรัฐ ยุโรป และฮ่องกงอยู่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 25 วัน (SMA 25) สะท้อนให้เห็นถึงความกลัวของนักลงทุนที่ลดลง ในทิศทางเดียวกับผลสำรวจความเชื่อมั่นของนักลงทุนสหรัฐจาก AAII ที่ระบุว่าในสัปดาห์ที่ผ่านมาสัดส่วนนักลงทุนที่เชื่อว่าตลาดหุ้นสหรัฐในระยะ 6 เดือนข้างหน้ายังคงเป็นขาขึ้น หรือ Bullish เพิ่มขึ้น 8.5% เมื่อเทียบจากสัปดาห์ที่ผ่านมา มาอยู่ที่ 34.74%
ขณะที่สัดส่วนนักลงทุนที่เชื่อว่าตลาดหุ้นสหรัฐในระยะ 6 เดือนข้างหน้ากำลังกลับเป็นขาลง หรือ Bearish ที่ลดลง 4.1% เมื่อเทียบจากสัปดาห์ที่ผ่านมา มาอยู่ที่ 38.97% อย่างไรก็ดีเริ่มมีกระแสวิจารณ์ว่าสิ่งที่ประธานาธิบดี Donald Trump พูดนั้นอาจจะไม่สามารถทำได้ เนื่องจาก Nancy Pelosi ประธานสภาสหรัฐ และสมาชิกวุฒิสภาฝั่งรีพับลิกันหลายคนยังไม่เห็นด้วยกับไอเดียของประธานาธิบดี Donald Trump ซึ่งนักลงทุนต้องติดตามประเด็นนี้ต่อไป
ผลการเลือกตั้งสหรัฐเป็นปัจจัยหนุนได้ ! สำหรับตลาดหุ้นไทยในระยะสั้น ปัจจัยบวกจะมาจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ "ช้อปดีมีคืน" ของรัฐบาล ซึ่งมาตรการดังกล่าวจะเป็นการลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในปีภาษี 2563 สำหรับค่าซื้อสินค้าและบริการให้แก่ผู้ประกอบการจดทะเบียนตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่รวมกันไม่เกิน 30,000 บาท ขณะที่ ศบค. เห็นชอบการปรับปรุงมาตรการเราเที่ยวด้วยกัน โดยอนุมัติขยายระยะเวลาดำเนินโครงการ "เราเที่ยวด้วยกัน" ไปจนถึงวันที่ 31 ม.ค. 2564 และนายกรัฐมนตรีพิจารณาการปรับโครงสร้างหนี้ ของลูกหนี้ที่ได้รับการพักชำระหนี้ตั้งแต่ช่วงล็อกดาวน์จากสถานการณ์ COVID-19 ซึ่งมียอดกว่า 6 ล้านล้านบาท จำนวนลูกหนี้ 12.5 ล้านราย ซึ่งจะสิ้นสุดมาตรการพักชำระหนี้ในสิ้นเดือน ต.ค. 2563
ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศจะอยู่ที่การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ที่ในเวลานี้มีการประเมินกันว่า หากประธานาธิบดี Donald Trump ชนะการเลือกตั้ง คาดว่าจะเป็นปัจจัยหนุนระยะสั้น จากการที่จะยังคงอัตราภาษี Corporate Tax ไว้ที่ 21% ซึ่งจะยังคงเอื้อต่อบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐ รวมถึงหุ้นกลุ่มพลังงานจะยังคงได้ประโยชน์หลังจากประธานาธิบดี Donald Trump ยังคงเป้าหมายในการหนุนราคาน้ำมันให้สูงขึ้น
นอกจากนี้ยังมีกลุ่ม Cyclical ที่ได้ประโยชน์เช่นกัน แต่อย่างไรก็ตามในระยะยาว อาจมีความผันผวนต่อเนื่อง โดยเฉพาะในเรื่องของประเด็นการค้าและการเมืองระหว่างประเทศ
ในทางตรงกันข้ามหาก Joe Biden ชนะการเลือกตั้ง จะเป็นปัจจัยกดดันในระยะสั้นโดยมีผลกระทบต่อผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนของสหรัฐ หลังจาก Joe Biden มีนโยบายที่จะเพิ่มอัตราภาษี Corporate Tax จาก 21% เป็น 28% และการขึ้นภาษีเงินได้นิติบุคคลธรรมดา รวมถึงการเก็บภาษีจากการขายหุ้นอย่างไรก็ตามจะเป็นปัจจัยหนุนในระยะยาว ซึ่งจะทำให้เงินลงทุนไหลออกจากสหรัฐเข้าสู่ตลาดเกิดใหม่มากขึ้น(เป็นไปได้ว่ารวมถึงตลาดหุ้นไทยด้วย) นอกจากนี้มีแนวโน้มที่ Joe Biden จะใช้วิธีการร่วมมือกันระหว่างประเทศเพื่อกดดันให้จีนอยู่ในกรอบเดียวกัน โดยกลุ่มหุ้นที่ได้ประโยชน์คือกลุ่มพลังงานสะอาด การแพทย์ และอื่นๆ ที่จะได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันที่ถูกลงด้วย
ในส่วนของกลยุทธ์ สำหรับการลงทุนระยะสั้น (ไม่เกิน 1 สัปดาห์) ตราบใดที่ SET ยังกลับไปยืนเหนือ 1,300 จุด (+/-) ไม่ได้ เน้น “ดีดขึ้นขาย” ในลักษณะ “Short Against” เพื่อรอกลับมาทยอยสะสมหุ้น CPALL, BJC, BEM, EGCO, BCH, GPSC, BTS, HMPRO และ ADVANC อีกครั้ง สำหรับการลงทุนระยะกลาง (1-3 เดือน) ในลักษณะ Long-Only แนะนำ “คงสัดส่วนการลงทุนในหุ้นมาอยู่ที่ระดับ 25% ของพอร์ต”
ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่ความเห็นส่วนตัวของผมนะครับ โปรดใช้วิจารณญาณ และศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนการตัดสินใจลงทุนด้วยครับ สำหรับการพูดคุยกันระหว่างสัปดาห์นอกจากทาง Facebook ที่ www.facebook.com/wealthhuntersclub และ e-mail ที่ moobin.stockmania@gmail.com แล้ว แฟนๆ ยังสามารถติดตามมุมมองเกี่ยวกับการลงทุนจาก “นายหมูบิน” ได้ในรายการ “เซียนเศรษฐกิจ” ทาง FM 97 ทุกวันอาทิตย์ เวลา 14.00-16.00 น. เช่นเดิมครับ
ภาพประกอบ : การวิเคราะห์ทิศทางตลาดหุ้นไทยในทางเทคนิครายวัน (Daily)
Source: Wealth Hunters Club
תגובות