top of page
485823.jpg

นักลงทุนถอนตัว จากตลาดหุ้นโลกชั่วคราว


ree

ภาษีทรัมป์ยังไม่นิ่ง !

           

ในระยะสั้นทิศทางของตลาดหุ้นโลกยังคงมีแรงกดดันในการพักตัว เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับทิศทางมาตรการภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ หลังจาก ศาลอุทธรณ์มีคำวินิจฉัยว่ามาตรการภาษีส่วนใหญ่ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยคณะผู้พิพากษาของศาลอุทธรณ์กลางสหรัฐ มีมติ 7 ต่อ 4 เสียง วินิจฉัยว่าภาษีศุลกากรส่วนใหญ่ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์นั้น ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยมีเพียงสภาคองเกรสเท่านั้นที่มีอำนาจในการกำหนดการจัดเก็บภาษีในวงกว้าง ขณะที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ระบุว่า คำวินิจฉัยดังกล่าวมีสาเหตุทางการเมือง และเขาจะยื่นฟ้องต่อศาลฎีกาสหรัฐ ส่งผลให้ เอ็ด มิลส์ จากบริษัท Raymond James ระบุในรายงานว่าหากคำตัดสินนี้มีผลบังคับใช้จริง จะทำให้รัฐบาลสหรัฐต้องคืนเงินภาษีศุลกากรที่เก็บไปแล้ว ซึ่งจะทำให้รัฐบาลจำเป็นต้องออกพันธบัตรรัฐบาลเพิ่มขึ้นอย่างมาก และส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรพุ่งขึ้น โดยล่าสุดอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 30 ปีพุ่งขึ้นจ่อทะลุระดับ 5% นอกจากนี้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐยังดีดตัวขึ้นตามอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลในต่างประเทศ โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 30 ปีของเยอรมนี ฝรั่งเศส และเนเธอร์แลนด์ พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2554 ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหราชอาณาจักรอายุ 30 ปี พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2541 ท่ามกลางความวิตกเกี่ยวกับปัจจัยเศรษฐกิจและการเมืองในยุโรป ขณะที่แนวโน้มของตลาดหุ้นโลกที่จะพักตัวลง สะท้อนจากดัชนี CBOE Volatility Index (VIX) ซึ่งเป็นมาตรวัดความวิตกของนักลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐพุ่งขึ้นแตะระดับ 19.26

           

นอกจากนี้แรงกดดันของตลาดหุ้นโลกและสหรัฐยังคงถูกกดดันจากปัจจัยทางฤดูกาล หรือ Seasonality ด้วย เนื่องจากช่วงเดือนส.ค.-ก.ย.มักจะเป็นช่วงที่ตลาดมีความผันผวนและเป็นช่วงเวลาที่ท้าทายสำหรับนักลงทุน ก่อนที่จะเข้าสู่ไตรมาสที่ 4 ซึ่งมักจะเป็นช่วงที่ดีของตลาดหุ้น ทั้งนี้ข้อมูลย้อนหลังหลายสิบปีแสดงให้เห็นว่า โดยเฉลี่ยแล้ว เดือน ก.ย.เป็นเดือนที่ตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวลงมากที่สุด และนักลงทุนบางส่วนก็กำลังเตรียมรับมือกับความผันผวนในปีนี้อีกครั้ง

           

โดยข้อมูลจาก Stock Trader's Almanac ระบุว่านับตั้งแต่ปี 2493 เดือน ก.ย.เป็นเดือนที่ดัชนี S&P 500 ปรับตัวย่ำแย่ที่สุดของปี โดยร่วงลงเฉลี่ย 0.7% นอกจากนี้ ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ดัชนี S&P 500 ปรับตัวลงเฉลี่ย 4.2% ในเดือน ก.ย. และตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ดัชนีดิ่งลงเฉลี่ย 2% ในเดือน ก.ย. ขณะที่กองทุนเฮดจ์ฟันด์ยังคงลังเลที่จะเข้าซื้อหุ้นสหรัฐ ในช่วงต้นเดือน ก.ย. 68 ซึ่งมักเป็นเดือนที่ตลาดไม่สดใส แม้มีความคาดหวังว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจปรับลดอัตราดอกเบี้ย หลังจากที่กองทุนเหล่านี้ขายสุทธิหุ้นในเดือนส.ค. 68 และข้อมูลของ Lipper ยังระบุว่า นักลงทุนทั่วไปก็ขายหุ้นมากกว่าที่ซื้อเช่นกัน แม้ดัชนีหุ้นโลกของ MSCI และดัชนี S&P500 ตลาดหุ้นสหรัฐอยู่ใกล้ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ แต่ตลาดยังมีความเปราะบางต่อแรงขายอย่างรุนแรง

           

ขณะที่กองทุนเฮดจ์ฟันด์ส่วนใหญ่ไม่ได้เข้าร่วมในการปรับตัวขึ้นล่าสุดของตลาด เนื่องจากยังคงมีความระมัดระวังในการลงทุน นอกจากนี้ข้อมูลของ Goldman Sachs ระบุว่า การกู้ยืมเงินเพื่อซื้อหุ้นของกองทุนเฮดจ์ฟันด์ลดลงอีกครั้งในช่วงปลายเดือน ส.ค. 68 หลังจากลดลงอย่างมากก่อนหน้านี้ แม้ดัชนี S&P500 ปรับตัวขึ้นเกือบ 2% ในเดือน ส.ค. 68 และดัชนีหุ้นโลก MSCI ใกล้ระดับสูงสุด แต่กองทุนเฮดจ์ฟันด์ยังคงขายหุ้นต่อไป

           

Morgan Stanley ระบุว่าการกู้ยืมเงินเพื่อซื้อหุ้นลดลง 1% ในสหรัฐและยุโรปในสัปดาห์ก่อน แสดงให้เห็นว่าการซื้อขายของกองทุนเฮดจ์ฟันด์ยังคงชะลอตัว

        

ตลาดหุ้นโลกได้รับแรงกดดันต่อเนื่อง ! ความกังวลเกี่ยวกับทิศทางของตลาดหุ้นโลก สะท้อนออกมาจากราคาทองสปอตที่ดีดตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดพุ่งขึ้นเหนือระดับ 3,520 ดอลลาร์ ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ครั้งใหม่ ส่วนราคาทองฟิวเจอร์พุ่งทะลุ 3,590 ดอลลาร์ ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์เช่นกัน ขานรับคาดการณ์ที่ว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกของปีนี้ในเดือนกันยายนนี้ นอกจากนี้ราคาทองยังได้แรงหนุนจากการที่กองทุน SPDR Gold Trust ซึ่งเป็นกองทุน ETF ทองที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก เพิ่มการถือครองทองสู่ระดับ 977.68 ตัน ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือน ส.ค. 65

           

ล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 89.8% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 4.00-4.25% ในการประชุมเดือน ก.ย. 68 นอกจากนี้ FedWatch Tool บ่งชี้ว่า นักลงทุนคาดว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% สู่ระดับ 3.75-4.00% ในการประชุมเดือน ธ.ค. 68 ขณะเดียวกัน นักลงทุนพากันเข้าซื้อทองในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับสถานะทางการคลังของรัฐบาลสหรัฐ หลังจากศาลอุทธรณ์ของสหรัฐมีคำวินิจฉัยว่า ภาษีศุลกากรส่วนใหญ่ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ มิชอบด้วยกฎหมาย ทั้งนี้ ราคาทองพุ่งทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์หลายครั้งในปีนี้ โดยได้รับแรงหนุนจากคำสั่งซื้อในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย ท่ามกลางความวิตกเกี่ยวกับเศรษฐกิจและปัจจัยด้านภูมิรัฐศาสตร์ รวมทั้งได้ปัจจัยบวกจากการอ่อนค่าของดอลลาร์ และการเข้าซื้อทองคำอย่างต่อเนื่องของธนาคารกลางต่างๆ

             

ขณะที่ล่าสุดตัวเลขการใช้จ่ายด้านการก่อสร้างลดลง 0.1% ในเดือน ก.ค. 68 เมื่อเทียบรายเดือน สอดคล้องตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ หลังจากลดลง 0.4% ในเดือน มิ.ย. 68 และดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตของสหรัฐปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 48.7 ในเดือน ส.ค. 68 แต่ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 49.0 จากระดับ 48.0 ในเดือน ก.ค. 68 ทั้งนี้การที่ดัชนียังคงปรับตัวต่ำกว่าระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ภาวะหดตัวของภาคการผลิตสหรัฐ โดยเป็นการหดตัวเป็นเดือนที่ 6 ติดต่อกัน ขณะที่ได้รับผลกระทบจากการหดตัวของการจ้างงาน ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับนโยบายเรียกเก็บภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แม้ว่าคำสั่งซื้อใหม่ปรับตัวขึ้น

           

นอกจากนี้ตลาดหุ้นเอเชียยังคงได้รับแรงกดดันจากการที่ เรียวโซ ฮิมิโนะ รองผู้ว่าการธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) กล่าวในการประชุมซึ่งจัดขึ้นที่เมืองคุชิโระ จังหวัดฮอกไกโดว่า การเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจฟื้นตัวถือเป็นเรื่องที่เหมาะสม แต่ก็เตือนถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากมาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐ แม้ BOJ ได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายมาแล้ว 3 ครั้งนับตั้งแต่เดือน มี.ค.ปีที่แล้ว แต่อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงยังคงอยู่ในระดับที่ต่ำมาก เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อยังสูง โดยที่อัตราเงินเฟ้อในปัจจุบันอยู่สูงกว่าเป้าหมายที่ BOJ กำหนดไว้ที่ 2% อย่างมาก เนื่องจากราคาข้าวและสินค้าอื่น ๆ ปรับตัวสูงขึ้น แต่เงินเฟ้อมีแนวโน้มที่จะลดลงเมื่อปัจจัยชั่วคราวเหล่านี้หมดไป และจะกลับมาทรงตัวในระดับที่สอดคล้องกับเป้าหมายได้ในที่สุด

           

ในส่วนของตลาดหุ้นไทยจะยังคงผันผวนและเปราะบางอย่างต่อเนื่อง จนกว่าจะได้ข้อสรุปทางการเมืองต่อไป

           

ในส่วนของกลยุทธ์ สำหรับการลงทุนระยะสั้น (ไม่เกิน 1 สัปดาห์) เน้น “อ่อนตัวซื้อลงทุน” สำหรับการลงทุนระยะกลาง (1-3 เดือน) ในลักษณะ Long-Only แนะนำ “เพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้นไปที่ระดับ 75% ของพอร์ต”

        

ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่ความเห็นส่วนตัวของผมนะครับ โปรดใช้วิจารณญาณ และศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนการตัดสินใจลงทุนด้วยครับ สำหรับการพูดคุยกันระหว่างสัปดาห์นอกจากทาง Facebook ที่ www.facebook.com/hippowealththailand และ e-mail ที่ hippowealththailand@gmail.com แล้ว แฟนๆ ยังสามารถติดตามมุมมองเกี่ยวกับการลงทุนจาก “นายหมูบิน” ได้ในรายการ “เซียนเศรษฐกิจ” ทาง FM 97.00 ทุกวันอาทิตย์ เวลา 14.00-16.00 น. เช่นเดิมครับ

 

ภาพประกอบ : การวิเคราะห์ทิศทางตลาดหุ้นไทยในทางเทคนิครายวัน (Daily)


ree

Source: TQ

 
 
 

Comments


bottom of page