top of page
40_ดอกเบี้ยออนไลน์-603-x-230.jpg

แนวโน้มหลักหุ้นโลกยังคงขาขึ้น


ree

อาจมีถอยบ้าง แต่แนวโน้มหลักหุ้นโลกยังคงขาขึ้น...แรงกดดันระยะสั้นจากสหรัฐยังมีบ้าง ! 

           

แนวโน้มหลักของตลาดหุ้นโลกและสหรัฐยังคงเป็นขาขึ้น หลังผลสำรวจของสมาคมนักลงทุนรายย่อยอเมริกัน (AAII) พบว่า นักลงทุนส่วนใหญ่ไม่เชื่อมั่นต่อทิศทางของตลาดหุ้นวอลล์สตรีทในระยะ 6 เดือนข้างหน้า ทั้งนี้ นักลงทุนที่มีความไม่เชื่อมั่นต่อทิศทางของตลาดหุ้นในระยะ 6 เดือนข้างหน้า มีจำนวน 44.8% ลดลงจากระดับ 46.2% ในสัปดาห์ที่แล้ว แต่สูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ระดับ 31.0% ส่วนนักลงทุนที่มีความเชื่อมั่นต่อทิศทางของตลาดหุ้นในระยะ 6 เดือนข้างหน้า มีจำนวน 30.8% เพิ่มขึ้นจากระดับ 29.9% ในสัปดาห์ที่แล้ว และต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ระดับ 37.5% นอกจากนี้ นักลงทุนจำนวน 24.4% มีมุมมองที่เป็นกลางต่อทิศทางตลาดหุ้น เพิ่มขึ้นจากระดับ 24.0% ในสัปดาห์ที่แล้ว แต่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ระดับ 31.5%


อย่างไรก็ดีความผันผวนและเปราะบางในระยะสั้นจะมีเพิ่มขึ้น หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้สั่งปลด ลิซา คุก ออกจากตำแหน่งสมาชิกคณะกรรมการผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) หลังมีข้อกล่าวหาว่า เธอกระทำการฉ้อโกงด้วยการให้ข้อมูลเท็จเกี่ยวกับการกู้เงินเพื่อซื้อที่อยู่อาศัย โดยมีผลในทันที หลังบิล พูลที ผู้อำนวยการสำนักงานการเงินเพื่อการเคหะของรัฐบาลสหรัฐ (FHFA) ระบุว่า ลิซา คุก ได้กู้เงินจาก FHFA เพื่อซื้อบ้านในรัฐมิชิแกน โดยระบุว่าเป็นที่อยู่อาศัยหลัก แต่ต่อมาเธอได้กู้เงินอีกครั้งหนึ่งเพื่อซื้อคอนโดมิเนียมในแอตแลนตา และแจ้งว่าเป็นที่อยู่อาศัยหลักเช่นกัน ทั้งนี้ พูลที ระบุว่า คุก ให้ข้อมูลเท็จดังกล่าวเพื่อแสวงหาประโยชน์จากสิทธิพิเศษด้านอัตราดอกเบี้ยที่ FHFA มอบให้สำหรับที่อยู่อาศัยหลักเพียงแห่งเดียวเท่านั้น โดยที่การดำเนินการดังกล่าวนับเป็นความเคลื่อนไหวล่าสุดของรัฐบาลทรัมป์ ในการเพิ่มการตรวจสอบทางกฎหมายต่อบุคคลสำคัญจากพรรคเดโมแครตและสร้างแรงกดดันต่อธนาคารกลาง


ขณะที่ในด้านของการดำเนินนโยบายการเงินของสหรัฐ จอห์น วิลเลียมส์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ สาขานิวยอร์กระบุว่า ยุคของอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำอย่างต่อเนื่องนั้นดูเหมือนจะยังไม่สิ้นสุดลง เมื่อพิจารณาจากการประเมินข้อมูลเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับแนวโน้มของนโยบายการเงินของเฟดในระหว่างการแสดงความเห็นครั้งนี้ ทั้งนี้ การแสดงความเห็นของประธานเฟดสาขานิวยอร์กสะท้อนให้เห็นว่า ภาวะอัตราดอกเบี้ยต่ำอาจจะกลับสู่ระบบเศรษฐกิจสหรัฐอีกครั้ง เมื่อพิจารณาจากปัจจัยทางเศรษฐกิจที่ทำให้การประมาณการ R-Star อยู่ในระดับต่ำ สอดคล้องกับที่ล่าสุดธนาคารกลางสหรัฐ สาขาชิคาโก เปิดเผยว่า ดัชนี Chicago Fed National Activity Index (CFNAI) ปรับตัวลงสู่ระดับ -0.19 ในเดือน ก.ค. 68 จากระดับ -0.18 ในเดือน มิ.ย. 68 โดยดัชนี CFNAI มีค่าเป็นลบ ซึ่งบ่งชี้ถึงการขยายตัวของเศรษฐกิจที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต ทั้งนี้ ดัชนี CFNAI เป็นดัชนีถ่วงน้ำหนักตัวชี้วัดกิจกรรมทางเศรษฐกิจของสหรัฐจำนวน 85 รายการ โดยนักวิเคราะห์ระบุว่า ดัชนี CFNAI ถือเป็นตัวชี้วัดที่ดีที่สุดในการประเมินความเสี่ยงในการเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยของสหรัฐ


นอกจากนี้ปัจจัยกดดันระยะสั้นเพิ่มเติม คือการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีนที่ยังคงไม่คืบหน้า โดยล่าสุดกระทรวงพาณิชย์จีนและอดีตผู้แทนประจำองค์การการค้าโลก เตรียมเดินทางไปยังกรุงวอชิงตันเพื่อหารือกับ เจมีสัน เกรียร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐ, เจ้าหน้าที่ระดับสูงกระทรวงการคลัง และภาคธุรกิจอเมริกัน โดยแหล่งข่าวเปิดเผยว่า หลี่ ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นนักเจรจาที่แข็งกร้าวแต่มีประสิทธิภาพ จะหยิบยกประเด็นการซื้อถั่วเหลืองมาหารือ ขณะที่จีนยังคงยืนยันให้สหรัฐ ยกเลิกภาษี 20% ที่เชื่อมโยงกับการค้ายาเฟนทานิล ก่อนจะตกลงซื้อสินค้าสำคัญอย่างถั่วเหลืองหรือเครื่องบินโบอิ้ง

           

ทั้งนี้ ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีนยังคงดำเนินต่อไป แม้มีการขยายเวลาการพักรบด้านภาษีออกไปจนถึงต้นเดือน พ.ย. 68 โดยเมื่อต้นเดือนสิงหาคม ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เรียกร้องให้จีนเพิ่มการนำเข้าถั่วเหลืองจากสหรัฐ แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่มีคำสั่งซื้อจากผลผลิตใหม่ที่กำลังจะเริ่มเก็บเกี่ยวในเดือน ก.ย. 68 ขณะเดียวกัน รัฐบาลสหรัฐก็เตรียมเพิ่มความเข้มงวดต่อการนำเข้าสินค้าจากจีนในกลุ่มเหล็ก ทองแดง และลิเทียม เพื่อบังคับใช้มาตรการห้ามสินค้าที่เชื่อว่าผลิตด้วยแรงงานบังคับจากซินเจียง และเพื่อลดการขาดดุลการค้าตามเป้าหมายของทรัมป์

           

ตลาดหุ้นเอเชียและไทยดีขึ้น แม้ดอกเบี้ยญี่ปุ่นกดดัน ! การเจรจาสันติภาพระหว่างยูเครนและรัสเซียอาจเป็นปัจจัยหนุนใหม่ๆ ในระยะสั้น หลังประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ผู้นำยูเครน ระบุว่า เจ้าหน้าที่ของยูเครนและสหรัฐจะพบปะกัน เพื่อหารือเกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการจัดการเจรจาสันติภาพระหว่างรัสเซียและยูเครน ขณะที่ เจดี แวนซ์ รองประธานาธิบดีสหรัฐ ระบุว่า รัสเซียยอมอ่อนข้ออย่างมีนัยสำคัญในการเจรจาที่ผ่านมา ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อยุติสงครามกับยูเครน และปฏิเสธแนวคิดที่ว่ารัสเซียกำลังถ่วงเวลาหรือหลอกล่อประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โดยกล่าวว่าที่ผ่านมารัสเซียได้แสดงความผ่อนปรนต่อข้อเรียกร้องบางประการ อย่างไรก็ดีล่าสุด เซอร์เก ลาฟรอฟ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศรัสเซีย กล่าวว่า ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย จะพบกับประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ผู้นำยูเครน ก็ต่อเมื่อวาระการประชุมสุดยอดพร้อมแล้ว ซึ่งตอนนี้วาระดังกล่าวยังไม่พร้อม ซึ่งถ้อยแถลงของลาฟรอฟสอดคล้องกับท่าทีของรัสเซียที่เน้นย้ำมาโดยตลอดว่า การประชุมสุดยอดระหว่างผู้นำทั้งสองจะเกิดขึ้นไม่ได้หากเงื่อนไขบางอย่างยังไม่ได้รับการตอบสนอง

           

ขณะที่เศรษฐกิจยุโรปในภาพใหญ่ดูดีขึ้น หลัง คริสติน ลาการ์ด ประธานธนาคารกลางยุโรป (ECB) ระบุว่าการหลั่งไหลเข้ามาของแรงงานต่างชาติในช่วงหลายปีที่ผ่านมานั้น ได้ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของยูโรโซน นอกจากนี้ยังช่วยชดเชยปัญหาที่เกิดจากชั่วโมงการทำงานที่สั้นลงและค่าจ้างที่แท้จริงที่ปรับตัวลดลงด้วย และแม้ว่าอัตราการเกิดในสหภาพยุโรป (EU) ปรับตัวลดลง แต่การย้ายถิ่นฐานเข้าสู่ EU ส่งผลให้จำนวนประชากรพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในปี 2567 ทั้งนี้ จำนวนประชากรของ EU ในปี 2567 เพิ่มขึ้นเป็น 450.4 ล้านคน ซึ่งเป็นสถิติสูงสุด เนื่องจากจำนวนผู้อพยพที่เข้าสู่ EU ได้ชดเชยจำนวนประชากรที่ลดลงเป็นปีที่สี่ติดต่อกัน ทั้งนี้ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ในเยอรมนีจะต่ำกว่าปี 2562 ประมาณ 6% หากไม่มีแรงงานต่างชาติ และการที่เศรษฐกิจสเปนทำผลงานได้อย่างแข็งแกร่งนับตั้งแต่สิ้นสุดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ก็ได้ปัจจัยหนุนอย่างมากจากแรงงานต่างชาติ

           

อย่างไรก็ดีแรงกดดันในตลาดหุ้นภูมิภาคยังคงมีเช่นกัน หลัง คาซูโอะ อุเอดะ ผู้ว่าการธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ระบุว่าการปรับขึ้นค่าจ้างในญี่ปุ่นกำลังขยายตัวเป็นวงกว้างนอกเหนือไปจากบริษัทขนาดใหญ่ และคาดว่าค่าจ้างจะยังคงปรับตัวขึ้นอันเนื่องมาจากภาวะตลาดแรงงานที่ตึงตัว โดยการแสดงความเห็นดังกล่าวบ่งชี้ถึงมุมมองเชิงบวกของผู้ว่าการ BOJ ว่า ภาวะตึงตัวในตลาดแรงงานซึ่งเป็นหนึ่งในเงื่อนไขสำหรับการขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งนั้น กำลังอยู่ในทิศทางที่เหมาะสม โดยถ้อยแถลงดังกล่าวมีแนวโน้มที่จะสนับสนุนการคาดการณ์ของตลาดที่ว่า BOJ จะกลับสู่วงจรการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งในช่วงเวลาที่เหลือของปีนี้ หลังจากที่ได้ระงับการปรับขึ้นดอกเบี้ยเพื่อประเมินผลกระทบจากมาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐที่มีต่อเศรษฐกิจญี่ปุ่นซึ่งต้องพึ่งพาการส่งออก

           

สำหรับ BOJ นั้น หลังจากได้ยุติมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ที่ดำเนินมานานกว่าหนึ่งทศวรรษเมื่อปีที่แล้ว คณะกรรมการ BOJ ได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสู่ระดับ 0.5% ในเดือน ม.ค.ปีนี้ โดยมองว่าญี่ปุ่นจะสามารถบรรลุเป้าหมายเงินเฟ้อที่ 2% ได้อย่างยั่งยืน โดย BOJ ได้คงอัตราดอกเบี้ยนับตั้งแต่นั้น โดยในการประชุมครั้งหลังสุดเมื่อวันที่ 31 ก.ค. 68 คณะกรรมการ BOJ มีมติคงดอกเบี้ยที่ระดับ 0.5% แต่ก็ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์เศรษฐกิจและเงินเฟ้อ ซึ่งทำให้ตลาดมีความหวังว่า BOJ ยังคงมีโอกาสที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ ซึ่งในการประชุมวันดังกล่าว BOJ คาดการณ์ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน (Core CPI) ซึ่งไม่นับรวมราคาอาหารสด จะปรับตัวขึ้น 2.7% ในปีงบประมาณปัจจุบันซึ่งเริ่มตั้งแต่เดือน เม.ย. 68 เทียบกับก่อนหน้านี้ที่คาดว่าดัชนี CPI พื้นฐานจะเพิ่มขึ้น 2.2% ขณะเดียวกัน BOJ คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจญี่ปุ่นจะขยายตัว 0.6% ในปีงบประมาณ 2568 เทียบกับที่คาดการณ์ไว้ในเดือนเม.ย.ว่าเศรษฐกิจจะขยายตัว 0.5%

           

จะเห็นว่าเริ่มมีข่าวดีเข้ามาสนับสนุนตลาดหุ้นเอเชียมากขึ้น โดยที่ล่าสุดธนาคารกลางเกาหลีใต้ (BOK) เปิดเผยผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (CCSI) เดือน ส.ค. 68 อยู่ที่ระดับ 111.4 เพิ่มขึ้น 0.6 จุดจากเดือนก่อนหน้า และถือเป็นระดับสูงสุดในรอบ 7 ปีครึ่ง นับตั้งแต่เดือน ม.ค. 61 ที่เคยอยู่ที่ 111.6 จุด ซึ่งการปรับตัวครั้งนี้เป็นการเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 ติดต่อกัน โดยได้แรงหนุนจากการใช้จ่ายภาคเอกชนที่ดีขึ้น อันเป็นผลจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลภายใต้การนำของอี แจ-มยอง เพื่อกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจและสนับสนุนการบริโภคในภาคเอกชน ตลอดจนการส่งออกที่แข็งแกร่ง ทั้งนี้ ดัชนีที่สูงกว่า 100 บ่งชี้ว่าผู้บริโภคที่มีมุมมองบวกต่อเศรษฐกิจมีจำนวนมากกว่าผู้บริโภคที่มุมมองลบ โดยข้อมูลจากสำนักงานศุลกากรเกาหลีใต้ระบุว่า ยอดส่งออกของเกาหลีใต้ในช่วงวันที่ 1-20 ส.ค. 68 เพิ่มขึ้น 7.6% เมื่อเทียบเป็นรายปี โดยได้รับแรงหนุนจากอุปสงค์เซมิคอนดักเตอร์และรถยนต์ที่แข็งแกร่ง ขณะที่ยอดส่งออกเดือน ก.ค. 68 เพิ่มขึ้น 5.9% เมื่อเทียบรายปี

           

ขณะที่ในฝั่งของตลาดหุ้นไทยมีปัจจัยหนุนจากการที่ล่าสุดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภาวะการค้าระหว่างประเทศของไทย เดือน ก.ค. 68 ว่า การส่งออกขยายตัว 11% จากตลาดคาดโต 9.6-10% ทั้งนี้ มูลค่าการส่งออกของไทยขยายตัวต่อเนื่องกันเป็นเดือนที่ 13 และขยายตัวในระดับ 2 หลัก (digit) ต่อเนื่องกันเป็นเดือนที่ 7 นับตั้งแต่ ม.ค. 68 และยังเกินดุลการค้าต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 โดยที่สินค้าเกษตร ขยายตัว 21.5% โตต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 และสินค้าอุตสาหกรรม ขยายตัว 14% โตต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 16 โดยสินค้าที่ขยายตัวดี ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ, แผงวงจรไฟฟ้า, เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ, ผลิตภัณฑ์พลาสติก, หม้อแปลงไฟฟ้า และส่วนประกอบ, ผลิตภัณฑ์ยาง

           

นอกจากนี้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ รายงานว่าหนี้สินครัวเรือนในไตรมาส 1 ปี 2568 อยู่ที่ 87.4% ของ GDP หดตัว 0.1% ซึ่งเป็นการหดตัวครั้งแรกเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) โดยหนี้สินครัวเรือนในไตรมาส 1 ปี 2568 มีมูลค่า 16.35 ล้านล้านบาท โดยธนาคารพาณิชย์เป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ที่สุด หรือมีสัดส่วนสินเชื่อ 37.6% ของหนี้ครัวเรือนทั้งหมด ด้านคุณภาพสินเชื่อของครัวเรือนปรับลดลง โดยมูลค่าสินเชื่อส่วนบุคคลที่ค้างชำระเกิน 90 วันขึ้นไป (หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ Non-Performing Loan : NPLs) ในฐานข้อมูลเครดิตบูโร มีจำนวน 1.19 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนต่อสินเชื่อรวมอยู่ที่ 8.78% ปรับตัวลดลงจาก 8.94% ของไตรมาสที่ผ่านมา

        

ในส่วนของกลยุทธ์ สำหรับการลงทุนระยะสั้น (ไม่เกิน 1 สัปดาห์) เน้น “อ่อนตัวซื้อลงทุน” สำหรับการลงทุนระยะกลาง (1-3 เดือน) ในลักษณะ Long-Only แนะนำ “เพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้นไปที่ระดับ 75% ของพอร์ต”  

           

ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่ความเห็นส่วนตัวของผมนะครับ โปรดใช้วิจารณญาณ และศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนการตัดสินใจลงทุนด้วยครับ สำหรับการพูดคุยกันระหว่างสัปดาห์นอกจากทาง Facebook ที่ www.facebook.com/hippowealththailand และ e-mail ที่ hippowealththailand@gmail.com แล้ว แฟนๆ ยังสามารถติดตามมุมมองเกี่ยวกับการลงทุนจาก “นายหมูบิน” ได้ในรายการ  “เซียนเศรษฐกิจ” ทาง FM 97.00 ทุกวันอาทิตย์ เวลา 14.00-16.00 น. เช่นเดิมครับ


ภาพประกอบ : การวิเคราะห์ทิศทางตลาดหุ้นไทยในทางเทคนิครายวัน (Daily)


ree

Source: TQ

 
 
 

Comments


bottom of page