สถานการณ์โดยรวมดีขึ้น เข้าทางตลาดหุ้นเกิดใหม่
- Dokbia Online
- 9 minutes ago
- 2 min read

ข่าวดีๆ ยังเข้ามาต่อเนื่อง !
ทิศทางของตลาดหุ้นโลกในระยะสั้นยังคงได้รับปัจจัยหนุนจากการที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ ได้ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหาร เพื่อ “ขยายเวลาข้อตกลงพักรบทางภาษี” ระหว่างจีนกับสหรัฐออกไปอีก 90 วัน ไปจนถึงเวลา 00:01 น. ของวันที่ 10 พ.ย. 68 เพียงไม่กี่ชั่วโมงก่อนที่อัตราภาษีของสหรัฐสินค้าจีนจะกลับไปสูงถึงเลขหลักร้อย โดยคำสั่งของทรัมป์ระบุว่าสหรัฐยังคงมีการหารือกับสาธารณรัฐประชาชนจีน (PRC) เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดความเสมอภาคทางการค้าในความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ รวมถึงความกังวลด้านความมั่นคงของชาติและเศรษฐกิจ ด้านกระทรวงพาณิชย์จีนก็ออกประกาศพักการเก็บภาษีเพิ่มเติมเช่นกัน ทั้งยังเลื่อนการเพิ่มรายชื่อบริษัทสหรัฐที่ได้ระบุไว้ในเดือน เม.ย. 68 เข้าสู่บัญชีจำกัดการค้าและการลงทุนออกไปอีก 90 วัน ทั้งนี้ปัจจุบัน สินค้านำเข้าจากจีนต้องเสียภาษีในอัตรา 30% ซึ่งประกอบด้วยอัตราพื้นฐาน 10% และภาษีที่เกี่ยวข้องกับเฟนทานิลอีก 20% ส่วนจีนก็ได้ลดอัตราภาษีนำเข้าจากสหรัฐลงมาที่ 10% เช่นกัน
ขณะที่นักลงทุนจับตาการเจรจาระหว่างสหรัฐ และรัสเซียในการยุติสงครามในยูเครน โดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะพบปะกับประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย ในวันที่ 15 ส.ค. 68 ที่รัฐอะแลสกา เพื่อเจรจายุติสงครามยูเครน โดยที่การเจรจาครั้งนี้มีขึ้นหลังจากสหรัฐเพิ่มแรงกดดันต่อรัสเซีย โดยมีแนวโน้มว่ามาตรการคว่ำบาตรต่อรัสเซียอาจรุนแรงขึ้น หากไม่สามารถบรรลุข้อตกลงสันติภาพ
นอกจากนี้ยังมีปัจจัยหนุนจากการที่ มิเชล โบว์แมน รองประธานฝ่ายกำกับดูแลของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ให้ความเห็นว่าตัวเลขการจ้างงานของสหรัฐ ที่ออกมาซบเซายิ่งตอกย้ำให้เห็นว่าการลดอัตราดอกเบี้ย 3 ครั้งในปีนี้เป็นแนวทางที่เหมาะสม ทั้งนี้ข้อมูลจากสำนักสถิติแรงงานสหรัฐ ระบุว่า เดือน ก.ค. 68 ที่ผ่านมา เศรษฐกิจสหรัฐมีการจ้างงานเพิ่มขึ้นเพียง 73,000 ตำแหน่ง ซึ่งต่ำกว่าที่ตลาดคาดไว้มาก ขณะที่อัตราการว่างงานก็ขยับขึ้นเล็กน้อยจาก 4.1% ในเดือน มิ.ย. 68 เป็น 4.2% ในเดือน ก.ค. 68 โดยในการประชุมนโยบายเฟดเมื่อปลายเดือน ก.ค. 68 ที่ผ่านมา ธนาคารกลางมีมติคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 4.25-4.5% ซึ่งเป็นระดับที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่เดือน ธ.ค. 67
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า โบว์แมนเป็นหนึ่งในสองเจ้าหน้าที่เฟดที่ไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจดังกล่าว ขณะที่เจ้าหน้าที่เฟดส่วนใหญ่ค่อนข้างระมัดระวังเรื่องการลดอัตราดอกเบี้ย เพราะกังวลว่ามาตรการภาษีนำเข้าที่ใช้กับคู่ค้าของสหรัฐอาจทำให้อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้นได้ โดยดัชนีราคาผู้บริโภคของสหรัฐในเดือน มิ.ย. 68 ก็เพิ่มขึ้น 2.7% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า เพิ่มขึ้นสูงสุดนับตั้งแต่เดือน ก.พ. 68
ทั้งนี้ เฟดยังมีกำหนดการประชุมนโยบายอีก 3 ครั้งในปีนี้ คือในเดือน ก.ย. ต.ค. และ ธ.ค. ในส่วนของตลาดหุ้นสหรัฐ ล่าสุดซิตี้กรุ๊ป (Citigroup) ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์กำไรต่อหุ้น (EPS) ของดัชนี S&P500 ในปี 2568 และ 2569 ขึ้นเป็น 272 ดอลลาร์ และ 308 ดอลลาร์ ตามลำดับ จากประมาณการเดิมที่ 261 ดอลลาร์ และ 295 ดอลลาร์ โดยระบุว่าผลประกอบการที่แข็งแกร่งของกลุ่ม "Magnificent Seven" เป็นแรงหนุนหลักของการพุ่งขึ้น ขณะเดียวกันหุ้นในกลุ่มอื่นๆ ของดัชนีก็กำลังฟื้นตัวอย่างกว้างขวาง โดยนับตั้งแต่แตะจุดต่ำสุดเมื่อวันที่ 8 เม.ย. 68 หลังการประกาศมาตรการภาษี "วันปลดปล่อย" ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ดัชนี S&P500 ปรับตัวขึ้นแล้ว 32.2% และทำสถิติสูงสุดใหม่ในเดือน ก.ค. 68 ท่ามกลางความเชื่อมั่นที่กลับคืนจากกระแสการลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีและการขับเคลื่อนด้วย AI ขณะที่ร่างกฎหมายลดภาษีและเพิ่มการใช้จ่าย ซึ่งทรัมป์ลงนามเมื่อวันที่ 4 ก.ค. 68 ได้ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่บริษัทอย่างกว้างขวาง และขยายสิทธิประโยชน์ของพนักงานอย่างถาวร โดยนักวิเคราะห์ของซิตี้มองว่าผลกระทบเชิงลบจากภาษีศุลกากรของสหรัฐ ได้ถูกนำมาคำนวณในประมาณการแล้ว ขณะที่มาตรการลดภาษีเงินได้ดังกล่าวจะเป็นปัจจัยหนุนกำไรในอนาคต ซึ่งจากปัจจัยเหล่านี้ ซิตี้จึงปรับเป้าหมายสิ้นปีของดัชนี S&P500 ขึ้นเป็น 6,600 จุด จากระดับเดิมในเดือนมิ.ย.ที่ 6,300 จุด คิดเป็นการปรับขึ้น 3.2% จากราคาปิดล่าสุดเมื่อวันที่ 8 ส.ค. 68 ที่ 6,389.45 จุด ทั้งนี้ถือเป็นการปรับเพิ่มเป้าหมายครั้งที่สองภายในสองเดือน และเป็นไปในทิศทางเดียวกับการปรับคาดการณ์ของโบรกเกอร์รายใหญ่ เช่น HSBC, Goldman Sachs และ BofA Global Research โดยในกรณีของการบวกขึ้นมากที่สุดนั้น ซิตี้คาดว่าดัชนี S&P500 อาจพุ่งแตะระดับ 7,200 จุดภายในสิ้นปี
นักลงทุนเริ่มมองตลาดหุ้นสหรัฐเสี่ยงขึ้น ! ในระยะสั้นตลาดหุ้นสหรัฐยังมีเรื่องน่ากังวลจากการที่ธนาคารแบงก์ออฟอเมริกาคอร์ป (Bank of America Corp-BofA) เปิดเผยผลสำรวจรายเดือนที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 31 ก.ค.-7 ส.ค. 68 โดยสอบถามผู้จัดการกองทุน 169 ราย ซึ่งบริหารสินทรัพย์รวม 4.13 แสนล้านดอลลาร์ พบว่า ประมาณ 91% ของผู้ตอบแบบสอบถามมองว่า หุ้นสหรัฐมีราคาสูงเกินจริง ซึ่งเป็นสัดส่วนสูงสุดในประวัติการณ์ย้อนหลังตั้งแต่ปี 2544 แม้ว่าการจัดสรรเงินลงทุนในหุ้นทั่วโลกเพิ่มขึ้นแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือน ก.พ. 68 แต่ยังคงมีผู้จัดการกองทุน 16% ที่ลดน้ำหนักลงทุนในหุ้นสหรัฐ ทั้งนี้ความเชื่อมั่นในตลาดหุ้นสหรัฐ โดยรวมดีขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบ 6 เดือน นับตั้งแต่ก่อนที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศเก็บภาษีจำนวนมากที่สร้างความปั่นป่วนในตลาดและความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย โดย ไมเคิล ฮาร์ทเน็ตต์ นักกลยุทธ์ของ BofA ระบุว่า นักลงทุนมองว่า มีความเป็นไปได้น้อยที่สุดที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยรุนแรง นับตั้งแต่เดือน ม.ค. 68 ซึ่งสะท้อนความมั่นใจในตลาด หลังหุ้นสหรัฐ ทำสถิติสูงสุดใหม่จากผลประกอบการที่ดีกว่าคาดการณ์และความหวังว่า ธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ส่งผลให้ผู้คาดการณ์หลายราย เช่น ซิตี้กรุ๊ป มองในแง่บวกต่อแนวโน้มดัชนี S&P500 ในครึ่งปีหลัง อย่างไรก็ตาม นักกลยุทธ์บางคน เช่น ฮาร์ทเน็ตต์ เตือนว่าการปรับตัวขึ้นนี้อาจเสี่ยงกลายเป็นฟองสบู่ เนื่องจากนโยบายการเงินและกฎระเบียบทางการเงินที่อาจผ่อนคลายลง นอกจากนี้ ผู้ร่วมสำรวจประมาณ 68% คาดว่าเศรษฐกิจโลกใน 12 เดือนข้างหน้าจะชะลอตัวลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป (Soft Landing) ขณะที่ 22% เชื่อว่าจะไม่มีการชะลอตัว และเพียง 5% คาดว่าจะเกิดการชะลอตัวรุนแรง (Hard Landing) ขณะที่อีกหนึ่งความไม่แน่นอนคือการที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ออกโรงเตือนศาลสหรัฐไม่ให้ขัดขวางนโยบายการเรียกเก็บภาษีศุลกากรของเขา โดยอ้างถึงผลกระทบในเชิงบวกที่นโยบายดังกล่าวมีต่อตลาดหุ้น พร้อมระบุว่า หากศาลมีคำตัดสินขัดขวางนโยบายดังกล่าว อาจทำให้สหรัฐเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยอย่างรุนแรง โดยคำเตือนของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ มีขึ้น ขณะที่ศาลอุทธรณ์ของรัฐบาลกลางสหรัฐกำลังไต่สวนข้อโต้แย้งเกี่ยวกับแนวทางการจัดการนโยบายภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
ทั้งนี้ พอล ไรอัน อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ กล่าวว่า ศาลฎีกาสหรัฐ อาจมีคำตัดสินให้ยกเลิกภาษีศุลกากรที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศใช้ภายใต้กฎหมายอำนาจเศรษฐกิจฉุกเฉินระหว่างประเทศ (IEEPA) ซึ่งสภาคองเกรสให้การอนุมัติในปี 2520 ตรงกันข้ามกับในส่วนของหุ้นตลาดเกิดใหม่ (EM) นั้น มีผู้ร่วมสำรวจ 49% ที่มองว่า ยังมีมูลค่าต่ำกว่าความเป็นจริง ซึ่งเป็นจำนวนสูงสุดนับตั้งแต่เดือน ก.พ. 67 และความคาดหวังเกี่ยวกับเงินเฟ้อพุ่งขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบ 3 เดือน โดย 18% ของผู้ร่วมสำรวจคาดว่า จะเห็นตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ทั่วโลกเพิ่มขึ้น สำหรับความเสี่ยงสำคัญที่ผู้จัดการกองทุนกังวล ได้แก่ สงครามการค้าที่อาจทำให้เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลก (29%), เงินเฟ้อสูงที่กดดันเฟดไม่ให้ลดดอกเบี้ย (27%), การเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและผิดปกติของอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (20%), ฟองสบู่หุ้นเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (14%) และค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง (6%) สำหรับการลงทุนที่ได้รับความนิยมสูงสุดในกลุ่มผู้ร่วมสำรวจ ได้แก่ การถือหุ้นในกลุ่ม Magnificent Seven (45%), การขายชอร์ตดอลลาร์ (23%) และการถือครองทองคำ (12%)
ในส่วนของตลาดหุ้นไทย การพักตัวลงในระยะสั้นของ SET มีแนวโน้มว่าจะตามมาด้วยการปรับตัวขึ้นที่ชัดเจนมากๆ และ Downside Risk ของ SET มีไม่มาก จากการที่ปัจจุบัน SET ซื้อขายที่ระดับ Earnings Yield Gap และ Dividend Yield Gap แตะระดับราว 6% และ 2% ตามลำดับแล้ว ขณะที่ระดับราคาของ SET ในปัจจุบัน (ยกเว้นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์) ซื้อขายต่ำกว่ามูลค่าเหมาะสมราว 25%
ในส่วนของกลยุทธ์ สำหรับการลงทุนระยะสั้น (ไม่เกิน 1 สัปดาห์) เน้น “อ่อนตัวซื้อลงทุน” สำหรับการลงทุนระยะกลาง (1-3 เดือน) ในลักษณะ Long-Only แนะนำ “เพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้นไปที่ระดับ 75% ของพอร์ต”
ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่ความเห็นส่วนตัวของผมนะครับ โปรดใช้วิจารณญาณ และศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนการตัดสินใจลงทุนด้วยครับ สำหรับการพูดคุยกันระหว่างสัปดาห์นอกจากทาง Facebook ที่ www.facebook.com/hippowealththailand และ e-mail ที่ hippowealththailand@gmail.com แล้ว แฟนๆ ยังสามารถติดตามมุมมองเกี่ยวกับการลงทุนจาก “นายหมูบิน” ได้ในรายการ “เซียนเศรษฐกิจ” ทาง FM 97.00 ทุกวันอาทิตย์ เวลา 14.00-16.00 น. เช่นเดิมครับ
ภาพประกอบ : การวิเคราะห์ทิศทางตลาดหุ้นไทยในทางเทคนิครายวัน (Daily)

Source: TQ
Comments