สถานการณ์ใหม่ๆ ยังคงมีมากดดันตลาดหุ้นต่อ
- Dokbia Online

- Aug 7
- 2 min read

มีความเสี่ยงหลังมาตรการภาษีจบ !
หลังจากนี้ทิศทางของตลาดหุ้นโลกและสหรัฐจะกลับมาเคลื่อนไหวตามปัจจัยพื้นฐานอีกครั้ง หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศอัตราภาษีนำเข้าฉบับปรับปรุงใหม่ในระดับตั้งแต่ 10-41% กับประเทศคู่ค้าทั่วโลกไปเรียบร้อยแล้ว โดยนักเศรษฐศาสตร์จากธนาคารแบเรนเบิร์ก ระบุว่าการเปลี่ยนแปลงล่าสุดในนโยบายภาษีศุลกากรของสหรัฐ จะส่งผลกระทบอย่างหนักต่อการค้าระหว่างประเทศ และสหรัฐเองก็จะได้รับความเสียหายจากภาษีเหล่านี้ จากการที่เงินเฟ้อภายในประเทศดีดตัวขึ้น และการเติบโตทางเศรษฐกิจชะลอตัวลง นอกจากนี้ ภาษีเหล่านี้ได้บิดเบือนการแข่งขันระหว่างบริษัทที่ผลิตสินค้าในสหรัฐเพื่อจำหน่ายในตลาดภายในประเทศ และบริษัทที่ผลิตสินค้าจากต่างประเทศ ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทจากยุโรป ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้มักแข่งขันกันเองมากกว่าที่จะแข่งขันกับผู้ผลิตในสหรัฐ
ในส่วนของตลาดหุ้นเอเชียเอง นับตั้งแต่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐประกาศภาษีศุลกากรครั้งแรกเมื่อวันที่ 2 เม.ย. 68 ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ต่างพึ่งพาการส่งออกได้พยายามทุกกระบวนท่าเพื่อขอปรับลดภาษีนำเข้าจากสหรัฐ ซึ่งหลังจากการเจรจาที่เข้มข้นและยืดเยื้อมานานหลายเดือน ในที่สุดประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหาร (Executive Order) ประกาศใช้อัตราภาษีใหม่สำหรับสินค้าส่งออกของหลายประเทศ ซึ่งให้เริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 7 ส.ค. 68 ซึ่งก่อนหน้านี้หลายประเทศในอาเซียนถูกกำหนดอัตราภาษีในช่วง 25% ถึง 40% ภาษีที่ทำเนียบขาวเปิดเผยล่าสุดจึงกลับกลายเป็นข่าวดีสำหรับหลายชาติ เพราะอัตราภาษีถูกปรับลดลงมาเหลือเพียง 19% สำหรับประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่หลายแห่ง
สำหรับไทย บรรลุข้อตกลงการค้ากับสหรัฐได้สำเร็จ ส่งผลให้อัตราภาษีนำเข้าถูกปรับลดลงจากเดิมที่เคยถูกกำหนดไว้สูงถึง 36% เหลือ 19% ซึ่งความสำเร็จนี้เกิดขึ้นจากการที่รัฐบาลไทยได้แสดงความมุ่งมั่นที่จะให้ความร่วมมือ โดยได้ยื่นข้อเสนอสำคัญเพื่อลดความไม่สมดุลทางการค้า เช่น การเปิดตลาดสินค้าสหรัฐให้กว้างขึ้น และการให้คำมั่นว่าจะจัดการกับปัญหาการส่งออกสินค้าของไทยที่เกินดุลมาอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้การบรรลุข้อตกลงยังเกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกับที่สหรัฐเข้ามามีบทบาทในการไกล่เกลี่ยความขัดแย้งบริเวณชายแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา ทำให้สถานการณ์ตึงเครียดคลี่คลายลง อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์มองว่า การที่ไทยได้ลดภาษีเป็นผลมาจากการเจรจาทางการค้าโดยตรงมากกว่าการที่ไทยทำข้อตกลงหยุดยิงกับกัมพูชา
ขณะที่ในภาพใหญ่ของโลก ยังมีความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีนที่ยังไม่จบ โดยจีนกำลังจะเผชิญเส้นตายในวันที่ 12 ส.ค. 68 เพื่อให้สามารถบรรลุข้อตกลงภาษีที่ยั่งยืนกับรัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ หลังจากที่ทั้งสองประเทศเคยทำข้อตกลงเบื้องต้นเมื่อเดือน พ.ค. และ มิ.ย. เพื่อยุติการตอบโต้ด้วยภาษีและการระงับการส่งออกแร่หายาก อย่างไรก็ดี นายสก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐเชื่อมั่นว่าสหรัฐกำลังอยู่ในเส้นทางที่อาจนำไปสู่ข้อตกลงกับจีน และเขารู้สึกมองโลกในแง่ดีเกี่ยวกับทิศทางในอนาคต นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงใหม่เข้ามาอีกจากการที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้สั่งการให้เรือดำน้ำนิวเคลียร์ของสหรัฐจำนวน 2 ลำเข้าประจำการใกล้รัสเซีย เพื่อตอบโต้ต่อการยั่วยุของ นายดมิทรี เมดเวเดฟ รองประธานสภาความมั่นคงรัสเซีย ขณะที่ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงจุดยืน แม้สหรัฐกำหนดเส้นตายให้รัสเซียยุติสงครามยูเครนภายในวันที่ 8 ส.ค. 68 มิฉะนั้นจะเผชิญการคว่ำบาตร ทั้งนี้ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ มีแผนที่จะออกมาตรการคว่ำบาตรเพิ่มเติมต่อรัสเซีย รวมทั้งประเทศที่ยังคงซื้อพลังงานจากรัสเซีย โดยเฉพาะจีนและอินเดีย หากรัสเซียไม่ยุติสงครามซึ่งดำเนินมานานกว่า 3 ปี ภายในวันที่ 8 ส.ค. 68
ตลาดหุ้นไทยยังเปราะบาง แต่ Downside Risk ต่ำ ! ความไม่แน่นอนในด้านของนโยบายเศรษฐกิจของสหรัฐยังคงมีอยู่ จากการที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แสดงความไม่พอใจครั้งใหม่ต่อการที่นายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ย ขณะที่สหรัฐเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานที่ซบเซา หลังตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้นเพียง 73,000 ตำแหน่งในเดือน ก.ค. 68 ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 106,000 ตำแหน่ง ส่วนอัตราการว่างงานปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 4.2% สอดคล้องตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ จากระดับ 4.1% ในเดือน มิ.ย. 68 ขณะที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะประกาศแต่งตั้งผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) คนใหม่ แทน เอเดรียนา คูเกลอร์ ซึ่งประกาศลาออกจากตำแหน่งก่อนครบวาระ รวมทั้งจะแต่งตั้งหัวหน้าสำนักสถิติแรงงาน (BLS) คนใหม่ด้วย โดยคาดว่าการแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ทั้งสองตำแหน่งนี้จะเปิดโอกาสให้ทรัมป์สามารถหาบุคคลที่จะมาทำตามนโยบายเศรษฐกิจของเขาได้ โดยเฉพาะแผนการประกาศแต่งตั้งหัวหน้า BLS คนใหม่นั้น มีขึ้นหลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ สั่งปลด เอริกา แมคเอนทาร์เฟอร์ กรรมาธิการ BLS ในสังกัดกระทรวงแรงงานของสหรัฐ ภายหลังจากกระทรวงแรงงานสหรัฐ เปิดเผยตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรที่อ่อนแอลงมากกว่าคาด โดยส่วนหนึ่งมาจากการปรับลดการประเมินตัวเลขในเดือน พ.ค. และ มิ.ย. ลงอย่างมาก
ในส่วนของเอเชีย ล่าสุดรัฐบาลญี่ปุ่นกำลังพิจารณาจัดทำงบประมาณเพิ่มเติม เพื่อบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจจากกำแพงภาษีของสหรัฐ ความเคลื่อนไหวนี้มีขึ้นท่ามกลางอนาคตการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่นที่ยังเปราะบางและเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน แม้ข้อตกลงการค้ากับสหรัฐที่เพิ่งบรรลุไปเมื่อเดือนก่อนจะช่วยลดภาษีสินค้าญี่ปุ่นได้ในที่สุด แต่ก็ยังไม่มีความชัดเจนว่ากำแพงภาษี 25% สำหรับการนำเข้ารถยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกหลัก จะถูกปรับลดลงเมื่อใด ทั้งนี้นักวิเคราะห์คาดว่าแพ็กเกจกระตุ้นเศรษฐกิจดังกล่าวอาจมีมูลค่าสูงถึง 10 ล้านล้านเยน (6.768 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งทำให้รัฐบาลจำเป็นต้องก่อหนี้เพิ่ม และจะยิ่งทำให้งบประมาณประจำปีนี้ที่สูงเป็นประวัติการณ์ถึง 115.5 ล้านล้านเยนพุ่งสูงขึ้นไปอีก โดยปัจจุบัน งบประมาณเกือบ 1 ใน 4 ถูกนำไปใช้ชำระหนี้เดิมอยู่แล้ว ข้อเรียกร้องให้กระตุ้นเศรษฐกิจเหล่านี้สวนทางกับสถานการณ์การคลังที่น่าวิตกของญี่ปุ่นอย่างสิ้นเชิง การอัดฉีดงบประมาณก้อนโตและค่าใช้จ่ายด้านสวัสดิการที่บานปลายในอดีต ส่งผลให้ญี่ปุ่นมีหนี้สาธารณะสูงถึง 2.5 เท่าของขนาดเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นอัตราส่วนที่สูงที่สุดในกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำ
อย่างไรก็ดีข้อดีคือแรงกดดันจากเงินเฟ้อของโลกลดลงจนแทบไม่มีแล้ว โดยที่ล่าสุดโกลด์แมน แซคส์ (Goldman Sachs) ได้คงตัวเลขคาดการณ์ราคาน้ำมันเบรนท์ไว้ที่ระดับเฉลี่ย 64 ดอลลาร์/บาร์เรลในไตรมาสที่ 4 ปี 2568 และ 56 ดอลลาร์/บาร์เรลในปี 2569 ขณะเดียวกันโกลด์แมน แซคส์ ระบุว่า ตัวเลขคาดการณ์การเติบโตของอุปสงค์น้ำมันเฉลี่ยต่อปีที่ 800,000 บาร์เรล/วันในช่วงปี 2568-2569 มีความเสี่ยงที่จะลดลงจากระดับดังกล่าว โดยมีสาเหตุมาจากการขึ้นภาษีศุลกากรของสหรัฐ , การที่สหรัฐขู่ว่าจะใช้มาตรการภาษีทุติยภูมิ (Secondary Tariffs) กับประเทศที่ซื้อน้ำมันจากรัสเซีย และข้อมูลกิจกรรมทางเศรษฐกิจของสหรัฐที่ลง ในภาวะที่ล่าสุดกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมันและชาติพันธมิตร หรือโอเปกพลัส มีมติเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมัน 547,000 บาร์เรล/วัน ในเดือน ก.ย. 68 ซึ่งเป็นการปรับเพิ่มกำลังการผลิตอย่างต่อเนื่องเพื่อชิงส่วนแบ่งตลาดกลับคืนมา
ในทางตรงกันข้าม มุมมองของนักลงทุนกับราคาทองคำกลับดีขึ้นสวนทาง โดยซิตี้ (Citi) ธนาคารรายใหญ่ของสหรัฐ ปรับเพิ่มการคาดการณ์ราคาทองคำในช่วง 3 เดือนข้างหน้าสู่ระดับ 3,500 ดอลลาร์/ออนซ์ จากเดิมที่ 3,300 ดอลลาร์ และคาดว่ากรอบการซื้อขายจะอยู่ที่ 3,300-3,600 ดอลลาร์ จากเดิมที่ 3,100-3,500 ดอลลาร์ เนื่องจากซิตี้เชื่อว่าแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจและเงินเฟ้อในระยะกลางของสหรัฐลง โดยซิตี้ระบุในรายงานว่าความวิตกกังวลเกี่ยวกับการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐ และปัญหาเงินเฟ้อที่เป็นผลมาจากมาตรการภาษีศุลกากรนั้นมีแนวโน้มที่จะยังคงเพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 ซึ่งเมื่อรวมกับสกุลเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลงแล้ว ปัจจัยเหล่านี้จะผลักดันให้ราคาทองคำปรับตัวขึ้นตั้งแต่ปานกลางไปจนถึงระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์
ในส่วนของประเทศไทย ล่าสุดธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจเดือน ก.ค. 68 ลดลงมาอยู่ที่ 45.8 จากระดับ 48.6 ในเดือน มิ.ย. 68 ตามการลดลงในทุกองค์ประกอบ โดยเฉพาะด้านการผลิตและผลประกอบการ โดยความเชื่อมั่นภาคการผลิตปรับลดลงในหลายกลุ่มธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการส่งออก อันเป็นผลจากการเริ่มบังคับใช้มาตรการ Reciprocal Tariffs ในวันที่ 1 ส.ค. 68 สำหรับในอีก 3 เดือนข้างหน้า ดัชนีปรับลดลงมาอยู่ที่ระดับ 47.9 จาก 49.5 ในเดือนก่อน และยังคงอยู่ต่ำกว่าระดับ 50 ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 ตามการลดลงในทุกองค์ประกอบ โดยความเชื่อมั่นภาคการผลิต ปรับลดลงและอยู่ต่ำกว่าระดับ 50 ในเกือบทุกหมวดธุรกิจ
สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์นี้ยังคงมีโอกาสผันผวนต่อเนื่อง และการพักฐานในระยะสั้นยังคงมีความเป็นไปได้ในลักษณะ Sell on Fact หลังอัตราภาษีนำเข้าที่สหรัฐเก็บจากไทยชัดเจนแล้วที่ 19% เป็นไปตามที่นักลงทุนคาดและรัฐบาลไทยต้องการ ขณะที่ชัดเจนว่าการปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นไทยในระยะ 1 เดือนที่ผ่านมา รับข่าวนี้ไปแล้ว อย่างไรก็ดีเรามองว่าการพักตัวลงในระยะสั้นของ SET จะตามมาด้วยการปรับตัวขึ้นที่ชัดเจนมากๆ และ Downside Risk ของ SET มีไม่มาก จากการที่ปัจจุบัน SET ซื้อขายที่ระดับ Earnings Yield Gap และ Dividend Yield Gap แตะระดับราว 6% และ 2% ตามลำดับแล้ว ขณะที่ระดับราคาของ SET ในปัจจุบัน (ยกเว้นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์) ซื้อขายต่ำกว่ามูลค่าเหมาะสมราว 25%
ในส่วนของกลยุทธ์ สำหรับการลงทุนระยะสั้น (ไม่เกิน 1 สัปดาห์) เน้น “อ่อนตัวซื้อลงทุน” สำหรับการลงทุนระยะกลาง (1-3 เดือน) ในลักษณะ Long-Only แนะนำ “เพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้นไปที่ระดับ 75% ของพอร์ต”
ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่ความเห็นส่วนตัวของผมนะครับ โปรดใช้วิจารณญาณ และศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนการตัดสินใจลงทุนด้วยครับ สำหรับการพูดคุยกันระหว่างสัปดาห์นอกจากทาง Facebook ที่ www.facebook.com/hippowealththailand และ e-mail ที่ hippowealththailand@gmail.com แล้ว แฟนๆ ยังสามารถติดตามมุมมองเกี่ยวกับการลงทุนจาก “นายหมูบิน” ได้ในรายการ “เซียนเศรษฐกิจ” ทาง FM 97.00 ทุกวันอาทิตย์ เวลา 14.00-16.00 น. เช่นเดิมครับ
ภาพประกอบ : การวิเคราะห์ทิศทางตลาดหุ้นไทยในทางเทคนิครายวัน (Daily)

Source: TQ






Comments