เหลือแค่เรื่องเจรจาการค้า ถ้าจบหุ้นไทยไปต่อ
- Dokbia Online

- Jul 24
- 2 min read

ปัจจัยจากสหรัฐยังหนุนตลาดหุ้นโลก!
ตลาดหุ้นโลกได้รับปัจจัยหนุนระยะสั้นจากการที่ สก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีกระทรวงการคลังของสหรัฐได้เตือนประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ไม่ให้สั่งปลดเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) ก่อนครบวาระกลางปีหน้า โดยชี้ว่าการกระทำดังกล่าวอาจก่อให้เกิดผลกระทบเชิงลบทั้งในตลาดการเงินและสร้างปัญหาทางกฎหมายและการเมืองที่ไม่เคยมีมาก่อน หลังจากที่ก่อนหน้านี้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โพสต์ข้อความใน Truth Social เรียกร้องอีกครั้งหนึ่งให้ เจอโรม พาวเวล ปรับลดอัตราดอกเบี้ย โดย สก็อตต์ เบสเซนต์ ยังมองว่าเฟดมีแนวโน้มจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยภายในปีนี้ ซึ่งทำให้การปลดพาวเวลออกจากตำแหน่งไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้น สอดคล้องกับการที่ คริสโตเฟอร์ วอลเลอร์ สมาชิกคณะผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สนับสนุนให้เฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ยในกาประชุมเดือนนี้ เพื่อพยุงตลาดแรงงานหลังมีสัญญาณบ่งชี้ว่าตลาดแรงงานสหรัฐอ่อนแอลง เนื่องจากอัตราเงินเฟ้ออยู่ใกล้เป้าหมายของเฟด และความเสี่ยงที่เงินเฟ้อจะปรับตัวสูงขึ้นนั้นเป็นไปอย่างจำกัด เฟดจึงไม่ควรรอให้ตลาดแรงงานย่ำแย่ลงก่อนที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย นอกจากนี้การคาดการณ์เงินเฟ้อยังคงไม่เปลี่ยนแปลง อีกทั้งค่าจ้างยังปรับตัวขึ้นไม่เร็วนัก ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ช่วยลดความกังวลเกี่ยวกับปัญหาเงินเฟ้อ
นอกจากนี้ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐเริ่มดีขึ้น สะท้อนจากการที่ผลสำรวจของมหาวิทยาลัยมิชิแกนระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 61.8 ในเดือน ก.ค. 68 สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 61.4 จากระดับ 60.7 ในเดือน มิ.ย. 68 ทั้งนี้ดัชนีความเชื่อมั่นได้รับแรงหนุนจากการที่ผู้บริโภคคลายความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อ ขณะเดียวกันผู้บริโภคคาดการณ์ว่าเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้น 4.4% ในช่วง 1 ปีข้างหน้า ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ในเดือน มิ.ย. 68 ที่ระดับ 5.0% และผู้บริโภคคาดการณ์ว่าเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้น 3.6% ในช่วง 5 ปีข้างหน้า ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ในเดือน มิ.ย. 68 ที่ระดับ 4.0%
มอร์แกน สแตนลีย์ (Morgan Stanley) มีมุมมองบวกต่อตลาดหุ้นสหรัฐ โดยได้แรงหนุนจากผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียน ขณะที่คาดการณ์ด้วยว่า ตลาดอาจปรับฐานเล็กน้อยในไตรมาส 3 ซึ่งถือเป็นโอกาสที่นักลงทุนจะได้เข้าช้อนซื้อหุ้นราคาถูก ทั้งนี้นักวิเคราะห์ของมอร์แกน สแตนลีย์ มีความมั่นใจมากขึ้นว่าดัชนี S&P500 จะดีดตัวขึ้นแตะระดับ 7,200 จุดภายในกลางปี ซึ่งดีกว่ารายงานในเดือน พ.ค. 68 ที่คาดว่าดัชนี S&P500 จะแตะที่ระดับ 6,500 จุดในไตรมาส 2 ของปี 2569 โดยที่มอร์แกน สแตนลีย์ระบุว่า แนวโน้มของดัชนี S&P500 ในช่วง 12 เดือนข้างหน้ายังสดใส เมื่อพิจารณาจากผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่มีแนวโน้มแข็งแกร่งต่อเนื่องจนถึงปีหน้า รวมทั้งความเป็นไปได้ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย อย่างไรก็ดี มอร์แกน สแตนลีย์คาดการณ์ว่า แรงกดดันด้านต้นทุนที่เป็นผลมาจากมาตรการภาษีศุลกากรอาจจะปรากฏให้เห็นในปลายปีนี้ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่ออัตรากำไรของบริษัทจดทะเบียน และทำให้อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้น ซึ่งอาจทำให้ความคาดหวังเกี่ยวกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดเปลี่ยนแปลงไป
ตลาดหุ้นเอเชียและไทยลุ้นผลการเจรจาการค้า ! ในส่วนของตลาดหุ้นเอเชีย ได้รับปัจจัยหนุนจากการที่ธนาคารกลางจีน (PBOC) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้าชั้นดี (LPR) โดยการตัดสินใจดังกล่าวมีขึ้นในขณะที่จีนยังคงรับมือกับความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ซบเซาลง และเศรษฐกิจที่ขยายตัวในอัตราที่ชะลอลง โดยล่าสุดธนาคารกลางจีนมีมติคงอัตราดอกเบี้ย LPR ประเภท 1 ปีเอาไว้ที่ระดับ 3.0% และคงอัตราดอกเบี้ย LPR ประเภท 5 ปีเอาไว้ที่ระดับ 3.5% โดยอัตราดอกเบี้ย LPR ประเภท 1 ปีเป็นอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงในการกำหนดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ระยะสั้น ส่วนอัตราดอกเบี้ย LPR ประเภท 5 ปีเป็นอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงในการกำหนดอัตราดอกเบี้ยระยะยาว เช่น อัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนอง ซึ่งการคงอัตราดอกเบี้ย LPR ในครั้งนี้มีขึ้นหลังจากทางการจีนเปิดเผยว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ขยายตัว 5.2% ในไตรมาส 2 ปี 2568 เมื่อเทียบรายปี ซึ่งชะลอลงจากไตรมาสแรกที่มีการขยายตัว 5.4% ส่วนยอดค้าปลีกของจีนในเดือน มิ.ย. 68 เพิ่มขึ้นเพียง 4.8% ชะลอตัวลงอย่างมากจากเดือน พ.ค. 68 ที่พุ่งขึ้น 6.4% และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะปรับตัวขึ้น 5.4%
นอกจากนี้ยังมีกระแสข่าวที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐอาจพบปะกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีน ขณะที่ทรัมป์เยือนจีนก่อนเข้าร่วมการประชุมสุดยอดเอเปค (APEC) วันที่ 30 ต.ค.-1 พ.ย. 68 ที่เกาหลีใต้ หรือไม่ก็อาจจะพบปะกับผู้นำจีนนอกรอบการประชุมดังกล่าว แม้จะยังไม่มีการยืนยันวันเวลาและสถานที่ที่แน่ชัด ทั้งนี้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ตั้งเป้าให้สหรัฐและจีนสามารถบรรลุข้อตกลงด้านภาษีภายในเส้นตายวันที่ 12 ส.ค. 68
ขณะเดียวกัน หวัง เหวินเทา รัฐมนตรีพาณิชย์จีนให้สัมภาษณ์ว่า จีนต้องการฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการค้ากับสหรัฐให้กลับมามีเสถียรภาพ พร้อมชี้ว่าการเจรจาที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานนี้ในยุโรป แสดงให้เห็นว่าไม่มีความจำเป็นต้องทำสงครามภาษีกันอีกต่อไป ขณะที่ล่าสุดจีนส่งออกแม่เหล็กแร่หายาก (rare earth magnets) เพิ่มขึ้นในเดือน มิ.ย. 68 ซึ่งรวมถึงการส่งออกไปยังสหรัฐ หลังจากทั้งสองฝ่ายบรรลุข้อตกลงชั่วคราวเพื่อคลี่คลายสถานการณ์ตึงเครียดทางการค้า รวมทั้งเพื่อบรรเทาภาวะอุปทานตึงตัวทั่วโลก หลังคณะเจรจาการค้าจีน-สหรัฐบรรลุข้อตกลง ณ กรุงเจนีวา เมื่อเดือน มิ.ย. 68 ซึ่งภายใต้ข้อตกลงดังกล่าว จีนจะกลับมาส่งออกแร่หายากและแม่เหล็กอย่างเต็มรูปแบบ โดยข้อมูลล่าสุดจากจีนเผยให้เห็นว่า ปริมาณการส่งออกแม่เหล็กโดยรวมแตะที่ระดับ 3,188 ตันในเดือนที่แล้ว เพิ่มขึ้น 158% หรือกว่าสองเท่าจากระดับ 1,238 ตันในเดือน พ.ค. 68 ซึ่งเป็นช่วงที่จีนควบคุมการส่งออก โดยปริมาณการส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกาเพียงประเทศเดียวเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 353 ตันในเดือน มิ.ย. 68 จากปริมาณเพียง 46 ตันในเดือนก่อนหน้า โดยก่อนหน้านี้ จีนได้ประกาศจำกัดการส่งออกแร่หายาก 7 ชนิด จาก 17 ชนิด ซึ่งครอบคลุมถึงแม่เหล็กแรงสูงที่ใช้ในการผลิตเทคโนโลยีขึ้นสูงต่างๆ ตั้งแต่รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ไปจนถึงสมาร์ตโฟน และเครื่องบินขับไล่ ความเคลื่อนไหวดังกล่าวคุกคามอุตสาหกรรมของสหรัฐอย่างรุนแรง และผลักดันให้ทรัมป์ตกลงสงบศึกทางการค้า
ในส่วนของตลาดหุ้นไทย มีประเด็นที่ยังเปราะบางจากการเจรจาข้อตกลงทางภาษีตอบโต้ระหว่างไทยกับสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐ(USTR) โดยที่ พิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ในฐานะหัวหน้าทีมไทยแลนด์ เปิดเผยว่าเป็นการเจรจาอย่างเป็นทางการครั้งที่ 2 (16 กรกฎาคม) บรรยากาศการหารือเป็นไปด้วยดี มีทิศทางชัดเจน ใช้เวลาพูดคุยประมาณ 30 นาที ทั้งนี้ มั่นใจว่าข้อเสนอของไทยที่ได้มีการปรับปรุงและยื่นไปใหม่เป็นข้อเสนอที่ดีมาก มีหลักการที่ดี ทำให้คาดว่าไทยน่าจะได้อัตราภาษีที่อยู่ในกลุ่มเดียวกันกับภูมิภาคอาเซียน จากที่ก่อนหน้านี้ได้ลดภาษีให้อินโดนีเซียได้อัตราภาษี 19% และเวียดนาม 20% (ต่อมา 22 ก.ค.ลดภาษีให้ฟิลิปปินส์ จาก 20% เหลือ 19%)
ในส่วนของกลยุทธ์ สำหรับการลงทุนระยะสั้น (ไม่เกิน 1 สัปดาห์) เน้น “อ่อนตัวซื้อลงทุน” สำหรับการลงทุนระยะกลาง(1-3 เดือน) ในลักษณะ Long-Only แนะนำ “เพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้นไปที่ระดับ 75% ของพอร์ต”
ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่ความเห็นส่วนตัวของผมนะครับ โปรดใช้วิจารณญาณ และศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนการตัดสินใจลงทุนด้วยครับ สำหรับการพูดคุยกันระหว่างสัปดาห์นอกจากทาง Facebook ที่ www.facebook.com/hippowealththailand และ e-mail ที่ hippowealththailand@gmail.com แล้ว แฟนๆ ยังสามารถติดตามมุมมองเกี่ยวกับการลงทุนจาก “นายหมูบิน” ได้ในรายการ “เซียนเศรษฐกิจ” ทาง FM 97.00 ทุกวันอาทิตย์ เวลา 14.00-16.00 น. เช่นเดิมครับ
ภาพประกอบ : การวิเคราะห์ทิศทางตลาดหุ้นไทยในทางเทคนิครายวัน (Daily)

Source: TQ






Comments