ปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นโลก เริ่มเข้ามาอย่างต่อเนื่อง
- Dokbia Online
- 12 minutes ago
- 2 min read

จีนและสหรัฐเริ่มคุยกันได้ !
แนวโน้มของตลาดหุ้นโลกได้รับปัจจัยบวกมากๆ จากการที่สหรัฐ และจีนได้บรรลุข้อตกลงในการลดภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ซึ่งกันและกัน ท่ามกลางความพยายามที่จะยุติสงครามการค้าที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและสร้างความผันผวนแก่ตลาดการเงิน โดย นายสก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐ ระบุว่าทั้งสองประเทศตกลงที่จะระงับการขึ้นภาษีเพิ่มเติมเป็นเวลา 90 วัน พร้อมกับลดอัตราภาษีนำเข้าที่มีอยู่ลง 115% ซึ่งภายใต้ข้อตกลงนี้ จีนจะลดภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐเหลือ 10% จากเดิม 125% ขณะที่ สหรัฐจะปรับลดภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนลงเหลือ 30% จากเดิม 145% นอกจากนี้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ ระบุว่าจีนจะเปิดตลาดสำหรับธุรกิจสหรัฐและระงับอุปสรรคทางการค้า หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายสามารถบรรลุข้อตกลงชั่วคราวในการปรับลดอัตราภาษีศุลกากรระหว่างกัน ทั้งนี้การเปิดตลาดของจีนถือเป็นประเด็นสำคัญที่สุดในการเจรจาระหว่างสหรัฐและจีนในช่วงวันที่ 10 พ.ค.ที่ผ่านมา แม้ยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดดังกล่าว และเจ้าหน้าที่สหรัฐและจีนจะพบปะกันอีกในช่วงไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้าเพื่อให้มีการบรรลุข้อตกลงทางการค้าที่มีขนาดใหญ่ขึ้น
ทั้งนี้ท่าทีที่อ่อนลงของสหรัฐ เกิดจากแรงกดดันภายในสหรัฐเอง จากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงชัดเจน โดยล่าสุดสหพันธ์ธุรกิจอิสระแห่งชาติสหรัฐ (NFIB) ระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของธุรกิจขนาดย่อมร่วงลง 1.6 จุด สู่ระดับ 95.8 ในเดือน เม.ย. 68 โดยเป็นการปรับตัวลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 4 ซึ่งดัชนีความเชื่อมั่นได้รับผลกระทบจากความกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนของการใช้นโยบายกำแพงภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งได้สร้างความยากลำบากต่อบริษัทต่างๆ ในการวางแผนล่วงหน้าสำหรับการลงทุนในธุรกิจ จากประเด็นดังกล่าวส่งผลให้มูลค่าตามราคาตลาด (มาร์เก็ตแคป) ของ 7 บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ของสหรัฐ หรือ Magnificent Seven เพิ่มขึ้นรวมกัน 8.375 แสนล้านดอลลาร์ในวันจันทร์ที่ 12 พ.ค. 68 หลังจากสหรัฐและจีนบรรลุข้อตกลงการค้า ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นของหุ้น 7 นางฟ้ามากที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 9 เม.ย. 68 สอดคล้องกับดัชนีดาวโจนส์, S&P500 และ Nasdaq ที่พุ่งขึ้นในวันเดียวที่แข็งแกร่งที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 9 เม.ย. 68 ขณะที่หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีทะยานขึ้นอย่างแข็งแกร่ง โดยหุ้นบริษัทเทคโนโลยีในกลุ่ม Magnificent Sevens ประกอบด้วยบริษัทเทสลา (Tesla) ซึ่งพุ่งขึ้น 6.7%, หุ้นอะเมซอน (Amazon) ทะยานขึ้น 8.07%, หุ้นเมตา แพลตฟอร์ม (Meta Platforms) พุ่งขึ้น 7.9%, หุ้นแอปเปิ้ล (Apple) พุ่งขึ้น 3.6%, หุ้นอินวิเดีย (Nvidia) พุ่งขึ้น 5.4%, หุ้นอัลฟาเบท (Alphabet) พุ่งขึ้น 3.3% และหุ้นไมโครซอฟท์ (Microsoft) ดีดตัวขึ้น 2.4%
ทั้งนี้ แอปเปิ้ลซึ่งยังคงผลิต iPhone ในจีนเป็นสัดส่วนมากถึง 90% เปิดเผยในระหว่างการประกาศผลประกอบการในเดือนนี้ว่า บริษัทคาดการณ์ว่ามาตรการภาษีศุลกากรจะส่งผลให้ต้นทุนเพิ่มขึ้น 900 ล้านดอลลาร์สหรัฐในไตรมาสปัจจุบัน ขณะที่บริษัทอินวิเดียเผชิญแรงกดดันในช่วงที่ผ่านมา อันเนื่องมาจากการที่รัฐบาลสหรัฐจำกัดการส่งออกชิปไปยังประเทศจีน
ในฝั่งของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ล่าสุด เอเดรียนา คุกเลอร์ หนึ่งในสมาชิกคณะผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และออสติน กูลส์บี ประธานเฟดสาขาชิคาโก ได้แสดงความเห็นในทิศทางเดียวกันว่า การที่สหรัฐและจีนสามารถบรรลุข้อตกลงการค้าชั่วคราวจะช่วยลดผลกระทบของสงครามการค้าระหว่างสองประเทศ รวมทั้งได้ลดโอกาสที่เฟดจำเป็นต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อรับมือกับชะลอตัวทางเศรษฐกิจ เนื่องจากอัตราภาษีที่สหรัฐเรียกเก็บจากสินค้าจีนซึ่งขณะนี้อยู่ที่ระดับ 30% เป็นเวลา 90 วันนั้น ยังคงเป็นระดับที่สูงมาก ซึ่งคาดว่าจะทำให้เงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้น และจะส่งผลให้เศรษฐกิจในสหรัฐชะลอตัวลง และยังคงมีความเสี่ยงที่สหรัฐจะเผชิญภาวะเศรษฐกิจถดถอยควบคู่กับเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้น (Stagflation) จากเงินเฟ้อที่มีโอกาสปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้นักลงทุนพากันเลื่อนคาดการณ์ต่อการปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในปีนี้ เป็นเดือน ก.ย. 68 จากเดิมที่คาดไว้ในเดือน ก.ค. 68
หลังสหรัฐและจีนสามารถบรรลุข้อตกลงทางการค้า ส่งผลให้เฟดไม่จำเป็นต้องรีบปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อพยุงเศรษฐกิจสหรัฐ นอกจากนี้นักลงทุนคาดการณ์ว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพียง 2 ครั้งในปีนี้ โดยจะเกิดขึ้นในเดือน ก.ย. 68 และ ต.ค. 68
ล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนคาดการณ์ว่าเฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 4.25-4.50% ในการประชุมเดือน มิ.ย. 68 และ ก.ค. 68
สหรัฐได้รับข้อเสนอของไทยแล้ว ! ในฝั่งของตลาดหุ้นเอเชียเอง นักวิเคราะห์ของโนมูระ โฮลดิงส์ (Nomura Holdings) ซึ่งเป็นวาณิชธนกิจรายใหญ่ของญี่ปุ่น ได้ปรับเพิ่มคำแนะนำการลงทุนในหุ้นจีนขึ้นสู่ระดับ "เพิ่มน้ำหนักการลงทุนแบบมีกลยุทธ์ (Tactical Overweight)" โดยระบุว่าการที่สหรัฐและจีนบรรลุข้อตกลงการค้าถือเป็นปัจจัยบวกอย่างมีนัยสำคัญต่อตลาดหุ้นจีน ทั้งนี้โนมูระระบุว่า ความคืบหน้าดังกล่าวจะช่วยลดความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างสหรัฐและจีน และจะเป็นปัจจัยหนุนตลาดหุ้นจีน พร้อมระบุว่ามูลค่าของหุ้นจีนยังคงน่าดึงดูดใจ และยังคงมีโอกาสที่นักลงทุนทั่วโลกจะกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นจีน หลังจากที่ก่อนหน้านี้ ธนาคารกลางจีน (PBOC) ประกาศลดอัตราส่วนการกันสำรอง (RRR) สำหรับธนาคารพาณิชย์ลง 0.50% ซึ่งเป็นการปรับลดครั้งแรกในปีนี้ และจะทำให้มีสภาพคล่องไหลเข้าสู่ระบบการเงินของจีนประมาณ 1 ล้านล้านหยวน (1.389 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ) นอกจากนี้ PBOC ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.10% โดยนโยบายเหล่านี้มีเป้าหมายที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจ ภายหลังจากที่สำนักงานสถิติแห่งชาติ (NBS) ของจีนเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของจีน ซึ่งเป็นตัวชี้วัดหลักของอัตราเงินเฟ้อ ลดลง 0.1% ในเดือน เม.ย. 68 เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว แต่เพิ่มขึ้น 0.1% เมื่อเทียบเป็นรายเดือน หลังจากลดลง 0.4% ในเดือน มี.ค. 68 ส่วนดัชนี CPI พื้นฐานซึ่งไม่รวมราคาอาหารและพลังงาน เพิ่มขึ้น 0.5% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว สอดคล้องกับดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ของจีน ซึ่งใช้วัดต้นทุนสินค้าหน้าโรงงาน ลดลง 2.7% ในเดือน เม.ย. 68 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
ในฝั่งของญี่ปุ่น ล่าสุดนายคัตสึโนบุ คาโตะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของญี่ปุ่นเปิดเผยว่าจะพบปะกับ นายสก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐ นอกรอบการประชุมกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำ 7 ประเทศ หรือ G7 ที่จะจัดขึ้นที่แคนาดาในระหว่างวันที่ 20-22 พ.ค. 68 นี้ เพื่อพูดคุยเกี่ยวกับประเด็นอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ขณะที่ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) เปิดเผยรายงานสรุปความคิดเห็น (Summary of Opinions) ของกรรมการ BOJ ระบุว่ากรรมการบางส่วนเล็งเห็นโอกาสที่ BOJ จะเริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งหากมาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐมีความชัดเจนมากขึ้น หลังจากที่ BOJ ได้ระงับการขึ้นดอกเบี้ยไว้ชั่วคราวในช่วงที่ผ่านมา โดยรายงานดังกล่าวระบุว่า แม้กรรมการส่วนใหญ่มองว่าภาษีศุลกากรของสหรัฐจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจญี่ปุ่น แต่กรรมการบางคนกล่าวว่าผลกระทบดังกล่าวไม่น่าจะเป็นเส้นทางสู่การบรรลุเป้าหมายเงินเฟ้อที่ระดับ 2% อย่างยั่งยืนของ BOJ ต้องหยุดชะงัก ขณะเดียวกันคณะกรรมการ BOJ คาดการณ์ว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน (Core CPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่ไม่รวมราคาอาหารสด จะเพิ่มขึ้น 2.2% ในปีงบประมาณ 2568 ลดลงจากก่อนหน้านี้ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 2.4%
ในฝั่งของยุโรป นางอิซาเบล ชนาเบล กรรมการบริหารธนาคารกลางยุโรป (ECB) ออกมาเตือนว่า ECB ควรหยุดการปรับลดอัตราดอกเบี้ย เนื่องจากความปั่นป่วนของเศรษฐกิจโลกอาจผลักดันเงินเฟ้อให้พุ่งเกินเป้าหมายที่ระดับ 2% ในระยะกลาง แม้ ECB จะลดดอกเบี้ยลงแล้ว 7 ครั้งในรอบปีที่ผ่านมา และมีแนวโน้มจะลดอีกครั้งในการประชุมวันที่ 5 มิ.ย. 68 นี้ ทั้งนี้ ตลาดการเงินคาดการณ์ว่า ECB มีโอกาส 90% ที่จะลดดอกเบี้ยลงอีกในเดือน มิ.ย. 68 และอาจลดอีก 1–2 ครั้งในเดือนถัดไป ทั้งนี้แม้สหภาพยุโรป (EU) จะไม่ตอบโต้ภาษีของสหรัฐก็ตาม แต่ต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้นจากห่วงโซ่อุปทานโลกอาจทำให้ราคาสินค้าสูงขึ้นได้
ในส่วนของตลาดหุ้นไทยได้รับปัจจัยหนุนจากการที่ นายสก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐเปิดเผยถึงความคืบหน้าที่น่าพอใจในการเจรจาการค้ากับประเทศในแถบเอเชีย ซึ่งรวมถึงประเทศไทยด้วย (แต่กับสหภาพยุโรป (EU) นั้นกลับไม่คืบหน้ามากนัก โดยเขามองว่า EU ขาดความร่วมมือกันภายในกลุ่มจนทำให้การเจรจาล่าช้า) โดยนายเบสเซนต์เปิดเผยว่า การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐกับหลายๆ ประเทศในเอเชียนั้นกำลังเป็นไปในทางที่ดีมาก โดยเน้นว่าการเจรจากับประเทศต่างๆ ในเอเชีย ซึ่งรวมถึงประเทศไทย กำลังดำเนินไปอย่างราบรื่น
ขณะที่ล่าสุดรัฐบาลไทยได้ยื่นข้อเสนอ (Proposal) เพื่อเจรจาต่อรองมาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐไปตั้งแต่ต้นเดือนพฤษภาคมแล้ว ระหว่างนี้คงต้องรอการนัดหมายเจรจาจากทางการสหรัฐ ซึ่งก่อนหน้านี้ได้มีการหารืออย่างไม่เป็นทางการทั้งระดับรัฐมนตรี และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องแล้ว ทั้งนี้ทางการไทยได้มีข้อเสนอราว 5-6 ข้อที่ส่งไปถึงทั้งกระทรวงการคลังของสหรัฐ และสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) โดยหากได้รับการตอบรับจากฝ่ายสหรัฐ ไทยก็จะส่งเจ้าหน้าที่ไปเจรจาเบื้องต้นก่อน เชื่อว่าอีกไม่นานทางฝั่งสหรัฐคงจะมีคำตอบกลับมา
ในส่วนของกลยุทธ์ สำหรับการลงทุนระยะสั้น (ไม่เกิน 1 สัปดาห์) เน้น “อ่อนตัวซื้อลงทุน” สำหรับการลงทุนระยะกลาง (1-3 เดือน) ในลักษณะ Long-Only แนะนำ “เพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้นไปที่ระดับ 75% ของพอร์ต”
ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่ความเห็นส่วนตัวของผมนะครับ โปรดใช้วิจารณญาณ และศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนการตัดสินใจลงทุนด้วยครับ สำหรับการพูดคุยกันระหว่างสัปดาห์นอกจากทาง Facebook ที่ www.facebook.com/hippowealththailand และ e-mail ที่ hippowealththailand@gmail.com แล้ว แฟนๆ ยังสามารถติดตามมุมมองเกี่ยวกับการลงทุนจาก “นายหมูบิน” ได้ในรายการ “เซียนเศรษฐกิจ” ทาง FM 97.00 ทุกวันอาทิตย์ เวลา 14.00-16.00 น. เช่นเดิมครับ
ภาพประกอบ : การวิเคราะห์ทิศทางตลาดหุ้นไทยในทางเทคนิครายวัน (Daily)

Source: TQ
Commenti