การเจรจามาตรการภาษีของสหรัฐยังคงต้องใช้เวลา...ทิศทางตลาดหุ้นโลกยังคงเปราะบาง
- Dokbia Online

- May 7
- 2 min read

จีนและญี่ปุ่นยืนยันไม่ยอมทรัมป์ !
ทิศทางของตลาดหุ้นโลกยังคงเปราะบาง สะท้อนจากผลสำรวจของสมาคมนักลงทุนรายย่อยอเมริกัน (AAII) พบว่า นักลงทุนจำนวนมากกว่าระดับ 50% ยังคง “ไม่เชื่อมั่น” ต่อทิศทางของตลาดหุ้นวอลล์สตรีทในระยะ 6 เดือนข้างหน้า ทั้งนี้นักลงทุนที่มีความไม่เชื่อมั่นต่อทิศทางของตลาดหุ้นในระยะ 6 เดือนข้างหน้า มีจำนวน 59.3% เพิ่มขึ้นจากระดับ 55.6% ในสัปดาห์ที่แล้ว และสูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ระดับ 31.0% สวนทางกับนักลงทุนที่มีความเชื่อมั่นต่อทิศทางของตลาดหุ้นในระยะ 6 เดือนข้างหน้า มีจำนวน 20.9% ลดลงจากระดับ 21.9% ในสัปดาห์ที่แล้ว และต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ระดับ 37.5% นอกจากนี้ นักลงทุนจำนวน 19.8% มีมุมมองที่เป็นกลางต่อทิศทางตลาดหุ้น “ลดลง” จากระดับ 22.5% ในสัปดาห์ที่แล้ว และต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ระดับ 31.5%
ขณะที่ล่าสุดประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐประกาศผ่าน ทรูธ โซเชียล (Truth Social) ว่า จะเรียกเก็บภาษีในอัตรา 100% กับภาพยนตร์ทุกเรื่องที่ผลิตในต่างประเทศ โดยระบุว่าอุตสาหกรรมภาพยนตร์สหรัฐกำลังจะตายลงอย่างรวดเร็ว จากข้อเสนอจูงใจที่ประเทศอื่นๆ ใช้ดึงดูดผู้ผลิตภาพยนตร์อเมริกา ทั้งนี้อุตสาหกรรมภาพยนตร์ได้รับผลกระทบจากภาษีนำเข้าของทรัมป์ก่อนหน้านี้แล้ว โดยจีนได้ตอบสนองต่อการประกาศเรียกเก็บภาษีในเดือน เม.ย. 68 ด้วยการลดโควตาภาพยนตร์สหรัฐที่อนุญาตให้เข้าฉายในประเทศได้
นอกจากนี้รัฐบาลสหรัฐได้ประกาศเก็บภาษีนำเข้า 25% ฉบับใหม่ ครอบคลุมชิ้นส่วนรถยนต์หลัก เช่น เครื่องยนต์ ซึ่งถือเป็นผลกระทบอีกระลอกต่ออุตสาหกรรมรถยนต์ที่เป็นเสาหลักของญี่ปุ่น ซึ่งก่อนหน้านี้ก็เผชิญกับภาษีในอัตราเดียวกันสำหรับการนำเข้ารถยนต์
ทั้งนี้ภาษีนำเข้าซึ่งครอบคลุมรถยนต์นั่งส่วนบุคคลและรถกระบะน้ำหนักเบาที่นำเข้าจากทุกประเทศทั่วโลก เริ่มมีผลบังคับใช้ไปตั้งแต่วันที่ 3 เม.ย. 68 ที่ผ่านมา ซึ่งมาตรการดังกล่าวอาจส่งผลกระทบอย่างมากต่อญี่ปุ่น ซึ่งเป็นพันธมิตรสำคัญของสหรัฐ เพราะอุตสาหกรรมรถยนต์ถือเป็นแรงขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจญี่ปุ่น เพราะตามข้อมูลการค้าของญี่ปุ่นนั้นในปีที่ผ่านมา ญี่ปุ่นส่งออกรถยนต์ไปยังสหรัฐมูลค่าราว 6 ล้านล้านเยน (4.1 หมื่นล้านดอลลาร์) รวมถึงการส่งออกชิ้นส่วนรถยนต์ซึ่งเมื่อรวมกันแล้วคิดเป็น 1 ใน 3 ของการส่งออกทั้งหมดของญี่ปุ่นไปยังสหรัฐ
ทั้งนี้แม้ว่าการที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ กล่าวในการประชุมทาวน์ฮอลล์ (Town Hall) ที่สถานีโทรทัศน์นิวส์เนชัน (NewsNation) ว่า เขามีข้อตกลงการค้า "ที่เป็นไปได้" กับอินเดีย เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น ในขณะที่เขากำลังหาลู่ทางที่ปรับเปลี่ยนนโยบายภาษีศุลกากรให้กลายเป็นข้อตกลงทางการค้า ดูเหมือนว่าจะทำให้สถานการณ์ตึงเครียดด้านการค้าระหว่างสหรัฐ และบรรดาประเทศคู่ค้า เริ่มส่งสัญญาณคลี่คลายลง และมีแนวโน้มว่าจะมีการบรรลุข้อตกลงการค้าร่วมกัน
อย่างไรก็ดีในฝั่งของจีน ซึ่งเป็นคู่ค้าที่มีอิทธิพลทั้งต่อสหรัฐและประเทศคู่ค้าอื่นๆ มากที่สุด ล่าสุดทางการจีนยังคงยืนกรานตามข้อเรียกร้องเดิม ที่ต้องการให้สหรัฐแก้ไขการกระทำที่ไม่ถูกต้อง โดยต้องยกเลิกกำแพงภาษีทั้งหมดที่ได้ตั้งขึ้นแต่เพียงฝ่ายเดียว หากสหรัฐไม่ดำเนินการดังกล่าว จะถือเป็นการแสดงความไม่จริงใจและจะยิ่งบั่นทอนความไว้วางใจซึ่งกันและกัน ซึ่งเป็นท่าทีที่ไปในทางเดียวกันกับในฝั่งของญี่ปุ่น ที่ยังคงไม่รับข้อเสนอต่างๆ ของสหรัฐ โดยนายเรียวเซอิ อาคาซาว่า หัวหน้าผู้แทนเจรจาต่อรองของญี่ปุ่นเปิดเผยว่า ญี่ปุ่นไม่ต้องการทำข้อตกลงการค้ากับรัฐบาลสหรัฐภายใต้การนำของ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ หากไม่ได้มีการทบทวนข้อตกลงด้านการจัดเก็บภาษีใหม่ทั้งหมด ซึ่งการแสดงความคิดเห็นดังกล่าวตอกย้ำให้เห็นว่าทั้ง 2 ประเทศมีความคิดเห็นแตกต่างกันอยู่ในประเด็นที่ว่า ภาษีข้อใดบ้างที่สามารถเจรจาต่อรองกันได้ โดยฝั่งสหรัฐได้แสดงให้เห็นว่าไม่เต็มใจที่จะถอนมาตรการจัดเก็บภาษีนำเข้ายานยนต์ เหล็กและอะลูมิเนียม ส่วนญี่ปุ่นก็หวังว่า จะมีการยกเลิกการจัดเก็บภาษีดังกล่าว
ทั้งนี้รัฐบาลญี่ปุ่นเป็นห่วงในเรื่องการจัดเก็บภาษี 25% ที่พุ่งเป้าไปที่อุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนเกือบ 30% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมดไปยังสหรัฐเมื่อปีที่แล้ว ขณะที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ได้สั่งการให้เก็บภาษี 25% ของเหล็กและอะลูมิเนียมนำเข้า รวมทั้งเก็บภาษียานยนต์ที่ผลิตนอกสหรัฐ 25% โดยเชื่อว่า สหรัฐเสียผลประโยชน์จากประเทศคู่ค้าและยังขาดดุลการค้าอย่างมาก นอกจากนี้นายคัตสึโนบุ คาโตะ รัฐมนตรีคลังญี่ปุ่นเปิดเผยว่า การที่ญี่ปุ่นถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐเป็นจำนวนมากนั้น อาจเป็นเครื่องมือต่อรองอย่างหนึ่งในการเจรจาการค้ากับสหรัฐ ทั้งนี้จุดประสงค์หลักของญี่ปุ่นในการถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ ซึ่งมีมูลค่ามากกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ และถือว่ามากที่สุดในโลกนั้น ก็เพื่อให้มีสภาพคล่องเพียงพอสำหรับการแทรกแซงตลาดเพื่อพยุงค่าเงินเยน อย่างไรก็ดีรัฐมนตรีคลังญี่ปุ่น ระบุว่าญี่ปุ่นจำเป็นต้องหงายไพ่ทั้งหมดที่มีในการเจรจา ซึ่งพันธบัตรสหรัฐก็อาจเป็นหนึ่งในไพ่เหล่านั้น แต่การที่จะใช้ไพ่นั้นจริงหรือไม่ เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ทั้งนี้ถือเป็นการเปลี่ยนจุดยืนอย่างชัดเจนจากเมื่อเดือนก่อนที่ญี่ปุ่นเคยปฏิเสธแนวคิดการใช้พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ ในการเจรจาการค้า
เฟดยังไม่รีบลดดอกเบี้ยและความเชื่อมั่นธุรกิจไทยไหลลง! ในส่วนของสหรัฐเองโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐระบุว่า เศรษฐกิจของประเทศกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน และจะกลับมาแข็งแกร่งในไม่ช้า พร้อมปฏิเสธความกังวลเรื่องภาวะเศรษฐกิจถดถอยระยะสั้น หลังจากที่รายงานล่าสุดเศรษฐกิจสหรัฐหดตัวในไตรมาสแรกเป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปี ขณะที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาแอตแลนตา เปิดเผยว่า แบบจำลองคาดการณ์ GDPNow ล่าสุดแสดงให้เห็นว่า เศรษฐกิจสหรัฐมีการขยายตัว 1.1% ในไตรมาส 2/2568 หลังจากเศรษฐกิจหดตัว 0.3% ในไตรมาส 1/2568
นอกจากนี้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยังออกมาเรียกร้องอีกครั้งหนึ่งให้ นายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับลดอัตราดอกเบี้ย อย่างไรก็ดีในครั้งนี้ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ไม่ได้ขู่ที่จะปลดนายพาวเวลออกจากตำแหน่ง หลังจากที่การดำเนินการดังกล่าวก่อนหน้านี้ได้สร้างความตื่นตระหนกต่อนักลงทุน จนทำให้ตลาดหุ้นวอลล์สตรีททรุดตัวลง ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับความเป็นอิสระของเฟด ซึ่งอาจถูกแทรกแซงจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
อย่างไรก็ดีการที่ล่าสุดกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้น 177,000 ตำแหน่งในเดือน เม.ย. 68 สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 138,000 ตำแหน่ง หลังจากเพิ่มขึ้น 185,000 ตำแหน่งในเดือน มี.ค. 68 ส่วนอัตราการว่างงานทรงตัวที่ระดับ 4.2% สอดคล้องตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ ทำให้นักลงทุนพากันเลื่อนคาดการณ์ต่อการปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกของเฟด ในปีนี้เป็นเดือน ก.ค. 68 จากเดิมที่คาดไว้ในเดือน มิ.ย. 68 หลังสหรัฐเปิดเผยตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรที่สูงกว่าคาด
นอกจากนี้นักลงทุนคาดการณ์ว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 4 ครั้งในปีนี้ โดยจะเกิดขึ้นในเดือนกรกฎาคม กันยายน ตุลาคม และธันวาคม โดยล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนคาดการณ์ว่าเฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 4.25-4.50% ในการประชุมเดือน พ.ค. 68 และ มิ.ย. 68 นอกจากนี้ FedWatch Tool บ่งชี้ว่า นักลงทุนคาดว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 4.00-4.25% ในการประชุมเดือน ก.ค. 68 , ปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 3.75-4.00% ในการประชุมเดือน ก.ย. 68, ปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 3.50-3.75% ในการประชุมเดือน ต.ค. 68 และปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 3.25-3.50% ในการประชุมเดือน ธ.ค. 68 สอดคล้องกับทางบาร์เคลย์ส (Barclays) และโกลด์แมน แซคส์ (Goldman Sachs) ที่คาดว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งถัดไปในเดือน ก.ค. 68 หลังจากการเปิดเผยรายงานการจ้างงานเดือน เม.ย. 68 ที่แข็งแกร่งเกินคาด โดยที่ก่อนหน้านี้ทั้งสองบริษัทคาดว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในเดือน มิ.ย. 68
ทั้งนี้แรงกดดันอัตราเงินเฟ้อของโลกจากราคาน้ำมันจะลดลง หลังจากที่ล่าสุดที่ประชุมของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมันและพันธมิตร (โอเปกพลัส) เห็นชอบให้มีการเพิ่มปริมาณการผลิตน้ำมันอีก 411,000 บาร์เรลต่อวันในเดือน มิ.ย. 68 ซึ่งถือเป็นการปรับเพิ่มการผลิตติดต่อกันเป็นเดือนที่ 2 สอดคล้องกับการคาดการณ์ของเทรดเดอร์ โดยที่การปรับเพิ่มการผลิตในเดือน มิ.ย. 68 จะทำให้การปรับเพิ่มการผลิตโดยรวมสำหรับเดือน เม.ย. 68, พ.ค. 68 และ มิ.ย. 68 เป็น 960,000 บาร์เรลต่อวัน
ในส่วนของไทย ความไม่ชัดเจนของมาตรการภาษีของสหรัฐ ส่งผลให้ดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจเดือน เม.ย. 68 อยู่ที่ 47.1 ลดลงจาก 50.2 ในเดือน มี.ค. 68 ตามการลดลงในเกือบทุกองค์ประกอบ สำหรับความเชื่อมั่นภาคการผลิตปรับลดลงมาก โดยเฉพาะด้านการผลิต ส่วนหนึ่งจากผลของปัจจัยเชิงฤดูกาลที่จำนวนวันทำการ (Business Day) น้อยกว่าเดือนก่อน ทั้งนี้ หากขจัดผลเชิงฤดูกาลแล้ว ความเชื่อมั่นโดยรวมของภาคการผลิตค่อนข้างทรงตัว โดยความไม่ชัดเจนของมาตรการภาษีของสหรัฐกระทบต่อความเชื่อมั่นของธุรกิจผลิตเพื่อส่งออกเป็นหลัก นำโดยกลุ่มผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้า กลุ่มผลิตยางพาราแปรรูป และพลาสติก รวมทั้งกลุ่มผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เช่น เครื่องปรับอากาศ ตู้เย็น ยางล้อ เซมิคอนดักเตอร์ เม็ดและบรรจุภัณฑ์พลาสติก ขณะที่ดัชนีของกลุ่มธุรกิจอื่นในภาคการผลิตปรับเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ดีส่วนความเชื่อมั่นในภาคที่มิใช่การผลิต ปรับลดลงในหลายหมวดธุรกิจ นำโดยกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ที่ความเชื่อมั่นปรับลดลงทุกองค์ประกอบ จากผลของแผ่นดินไหว ที่ทำให้ในระยะสั้นมีผู้ซื้อบางส่วนชะลอการโอนที่อยู่อาศัยแนวสูงออกไป รวมทั้งกลุ่มโรงแรม และร้านอาหาร ที่ความเชื่อมั่นปรับลดลงต่อเนื่องในทุกองค์ประกอบ โดยเฉพาะด้านคำสั่งซื้อ และปริมาณการให้บริการ ตามจำนวนนักท่องเที่ยวในช่วงสงกรานต์ในปีนี้ที่ต่ำกว่าคาด และต่ำกว่าปีก่อน โดยเฉพาะชาวจีนที่ยังมีความกังวลด้านความปลอดภัย (Safety Concern)
ในส่วนของกลยุทธ์ สำหรับการลงทุนระยะสั้น (ไม่เกิน 1 สัปดาห์) เน้น “อ่อนตัวซื้อลงทุน” สำหรับการลงทุนระยะกลาง (1-3 เดือน) ในลักษณะ Long-Only แนะนำ “เพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้นไปที่ระดับ 75% ของพอร์ต”
ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่ความเห็นส่วนตัวของผมนะครับ โปรดใช้วิจารณญาณ และศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนการตัดสินใจลงทุนด้วยครับ สำหรับการพูดคุยกันระหว่างสัปดาห์นอกจากทาง Facebook ที่ www.facebook.com/hippowealththailand และ e-mail ที่ hippowealththailand@gmail.com แล้ว แฟนๆ ยังสามารถติดตามมุมมองเกี่ยวกับการลงทุนจาก “นายหมูบิน” ได้ในรายการ “เซียนเศรษฐกิจ” ทาง FM 97 ทุกวันอาทิตย์ เวลา 14.00-16.00 น.เช่นเดิมครับ
ภาพประกอบ : การวิเคราะห์ทิศทางตลาดหุ้นไทยในทางเทคนิครายวัน (Daily)
Source: TQ






Comments