มาตรการภาษีของสหรัฐไปต่อยาก...เป็นปัจจัยบวก
- Dokbia Online

- Apr 30
- 2 min read

สหรัฐกำลังถูกจีนบีบ !
ทิศทางของตลาดหุ้นโลกและสหรัฐในระยะสั้นๆ ยังคงถูกกดดันจากมาตรการเรียกเก็บภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ สะท้อนออกมาจากผลสำรวจของสมาคมนักลงทุนรายย่อยอเมริกัน (AAII) ที่พบว่า นักลงทุนจำนวนมากกว่า 50% ยังคงไม่เชื่อมั่นต่อทิศทางของตลาดหุ้นวอลล์สตรีทในระยะ 6 เดือนข้างหน้า ทั้งนี้ นักลงทุนที่มีความไม่เชื่อมั่นต่อทิศทางของตลาดหุ้นในระยะ 6 เดือนข้างหน้า มีจำนวน 55.6% ลดลงจากระดับ 56.9% ในสัปดาห์ที่แล้ว แต่ยังคงสูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ระดับ 31.0% ส่วนนักลงทุนที่มีความเชื่อมั่นต่อทิศทางของตลาดหุ้นในระยะ 6 เดือนข้างหน้า มีจำนวน 21.9% ลดลงจากระดับ 25.4% ในสัปดาห์ที่แล้ว แต่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ระดับ 37.5% ขณะที่นักลงทุนจำนวน 22.5% มีมุมมองที่เป็นกลางต่อทิศทางตลาดหุ้น เพิ่มขึ้นจากระดับ 17.7% ในสัปดาห์ที่แล้ว และต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ระดับ 31.5%
ในส่วนของภาคเศรษฐกิจจริง ผลสำรวจของมหาวิทยาลัยมิชิแกนระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐร่วงลงสู่ระดับ 52.2 ในเดือน เม.ย. 68 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 32 เดือน จากระดับ 57.0 ในเดือน มี.ค. 68 แต่สูงกว่าตัวเลขเบื้องต้นที่ระดับ 50.8 ทั้งนี้ดัชนีความเชื่อมั่นได้รับผลกระทบจากความกังวลเกี่ยวกับการพุ่งขึ้นของเงินเฟ้อจากมาตรการเรียกเก็บภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ขณะเดียวกัน ผู้บริโภคคาดการณ์ว่าเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้น 6.5% ในช่วง 1 ปีข้างหน้า ซึ่งสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ในเดือน มี.ค. 68 ที่ระดับ 5.0%
นอกจากนี้ ผู้บริโภคคาดการณ์ว่าเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้น 4.4% ในช่วง 5 ปีข้างหน้า ซึ่งสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ในเดือน มี.ค. 68 ที่ระดับ 4.1% ซึ่งประเด็นทางด้านเศรษฐกิจมีแนวโน้มที่จะส่งผลต่อการตัดสินใจของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในระยะต่อไป เกี่ยวกับการถอยหรือเลิกมาตรการเรียกเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ โดยเฉพาะหลังจากที่ เวลส์ ฟาร์โก (Wells Fargo) คาดการณ์ว่า การขาดดุลงบประมาณของสหรัฐ ในปีงบประมาณปัจจุบัน น่าจะลดลงเล็กน้อยเท่านั้นเมื่อเทียบกับปี 2567 โดยคาดว่า การขาดดุลงบประมาณของรัฐบาลกลางสหรัฐ จะอยู่ที่ 1.70 ล้านล้านดอลลาร์ ต่ำกว่า 1.83 ล้านล้านดอลลาร์ในปี 2567 เล็กน้อย แม้ว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐจะได้ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากทั้งประเทศพันธมิตรและคู่แข่ง โดยให้เหตุผลว่าเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อช่วยเพิ่มรายได้ให้กับรัฐบาล
อย่างไรก็ดีความเสี่ยงที่สำคัญที่สุดคือความไม่ชัดเจนเกี่ยวกับการเจรจาระหว่างสหรัฐและจีน ซึ่งจีนยืนยันว่าจะไม่เจรจาจนกว่าสหรัฐจะถอยเรื่องมาตรการภาษีตอบโต้กับจีน โดยท่าทีของจีนชัดเจนว่าจะไปมุ่งเน้นการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศมากขึ้น ทดแทนการค้ากับสหรัฐที่จะหายไป สะท้อนออกมาจากการที่ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีนให้คำมั่นว่าจะพึ่งพาตนเองและเสริมความแข็งแกร่งด้วยตัวเอง เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ของจีน ขณะที่จีนกำลังแข่งขันกับสหรัฐ เพื่อครองความเป็นผู้นำในด้าน AI ซึ่งถือเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์สำคัญ ซึ่งจีนควรใช้ประโยชน์จากระบบระดับชาติแบบใหม่ เพื่อเร่งพัฒนา AI โดยจีนต้องตระหนักถึงช่องว่างที่มีอยู่ และเร่งพัฒนานวัตกรรมเทคโนโลยี การพัฒนาอุตสาหกรรม และการประยุกต์ใช้ AI อย่างรอบด้าน พร้อมระบุว่า รัฐบาลจีนจะสนับสนุนด้านนโยบาย เช่น การจัดซื้อจัดจ้างโดยภาครัฐ ทรัพย์สินทางปัญญา งานวิจัย และการพัฒนาบุคลากร โดยที่จีนต้องเดินหน้าส่งเสริมการวิจัยขั้นพื้นฐาน มุ่งมั่นครอบครองเทคโนโลยีหลัก เช่น ชิปขั้นสูงและซอฟต์แวร์พื้นฐาน และสร้างระบบซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ด้าน AI ที่เป็นอิสระ ควบคุมได้ และร่วมมือกันได้
ทั้งนี้จีนสามารถลดช่องว่างด้านการพัฒนา AI กับสหรัฐลงได้ โดย DeepSeek ซึ่งเป็นสตาร์ตอัปของจีนได้รับความสนใจจากทั่วโลกเมื่อต้นปีนี้ หลังเปิดตัวโมเดล AI ด้านการให้เหตุผล (Reasoning Model) ซึ่งพัฒนาด้วยชิปที่ไม่ทันสมัยเท่าสหรัฐ และใช้ต้นทุนต่ำกว่าโมเดลจากชาติตะวันตก ซึ่งการประกาศของ DeepSeek ท้าทายความเชื่อที่ว่า สหรัฐสามารถชะลอการพัฒนา AI ของจีนได้ด้วยมาตรการคว่ำบาตร และทำให้จีนล้าหลัง หลังจาก OpenAI เปิดตัว ChatGPT ในช่วงปลายปี 2565 โดยล่าสุด นายหลัน ฝออัน รัฐมนตรีคลังของจีนกล่าวว่า จีนยังคงตั้งเป้าหมายให้เศรษฐกิจเติบโต 5% ในปี 2568 แม้มีปัญหาความตึงเครียดด้านการค้าก็ตาม โดยจีนจะใช้นโยบายเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งและมีประสิทธิภาพมากขึ้นเพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้ พร้อมเสริมว่าจีนต้องการช่วยทำให้เศรษฐกิจโลกมีเสถียรภาพมากขึ้น
ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ของจีนในไตรมาสแรกปีนี้เติบโต 5.4% เมื่อเทียบกับปีก่อน ส่วนหนึ่งเพราะรัฐบาลสนับสนุนการบริโภค และการส่งออกที่เพิ่มขึ้นก่อนจะมีการเก็บภาษีนำเข้าใหม่ อย่างไรก็ตาม ธนาคารชั้นนำอย่าง ยูบีเอส, โกลด์แมน แซคส์ และซิตี้กรุ๊ป ต่างปรับลดคาดการณ์การเติบโตของจีนในปีนี้ลงมาเหลือประมาณ 4% หรือต่ำกว่านั้น ขณะที่ธนาคารกลางจีน (PBOC) ย้ำถึงคำมั่นสัญญาที่ว่า PBOC จะดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายปานกลางเพื่อสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยเชื่อว่าการดำเนินนโยบายในลักษณะดังกล่าวจะช่วยส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจจีนให้มีคุณภาพสูง
เศรษฐกิจโลกถูกปรับเป้าหมายลงหมด ! ขณะที่ในฝั่งของสหภาพยุโรป (EU) พบว่าสหรัฐและสหภาพยุโรป (EU) ยังต้องเจรจากันอีกมาก กว่าจะสามารถบรรลุข้อตกลงที่จะหลีกเลี่ยงการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าระหว่างกันได้ โดยสหรัฐสั่งเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากยุโรปในอัตรา 25% สำหรับรถยนต์ เหล็ก และอะลูมิเนียมในเดือน มี.ค. 68 และอีก 20% สำหรับสินค้าอื่นๆ จากยุโรปในเดือน เม.ย. 68 ต่อมาสหรัฐ ลดภาษีลงครึ่งหนึ่ง และให้เวลาการเจรจา 90 วันจนถึงวันที่ 8 ก.ค. 68 เพื่อหาข้อตกลงด้านภาษีที่ครอบคลุมมากขึ้น ขณะที่ในฝั่งยุโรปได้ระงับการเก็บภาษีกับสินค้าสหรัฐบางรายการ และเสนอให้ทั้งสองฝ่ายยกเลิกภาษีนำเข้าสินค้าอุตสาหกรรมทั้งหมด แต่ข้อเสนอดังกล่าวได้รับความสนใจจากฝั่งสหรัฐ เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
นอกจากนี้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐ ยังสร้างความเสี่ยงทางการเมืองระหว่างประเทศเพิ่มขึ้นมาอีก หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐ ตั้งข้อสงสัยว่าประธานาธิบดี วลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย ต้องการทำข้อตกลงสันติภาพจริงหรือไม่ หลังจากที่ได้พูดคุยเป็นระยะเวลาสั้นๆ กับประธานาธิบดี โวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ของยูเครน ก่อนเข้าร่วมพิธีศพของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส ณ กรุงโรม ขณะที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เปิดเผยรายงานแนวโน้มเศรษฐกิจโลก (WEO) โดยคาดว่า เศรษฐกิจโลกจะมีการขยายตัว 2.8% และ 3.0% ในปี 2568 และ 2569 ตามลำดับ จากเดิมที่คาดการณ์ในเดือน ม.ค. 68 ที่ระดับ 3.3% สำหรับปี 2568 และ 2569 โดยได้รับผลกระทบจากมาตรการเรียกเก็บภาษีศุลกากรของสหรัฐ
ทั้งนี้ตัวเลขประมาณการเศรษฐกิจที่ระดับ 2.8% และ 3.0% ในปี 2568 และ 2569 ถือว่าต่ำกว่าอย่างมากเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยรอบ 20 ปีระหว่างปี 2543-2562 ที่ระดับ 3.7% นอกจากนี้ IMF เตือนว่าความไม่แน่นอนของมาตรการเรียกเก็บภาษีดังกล่าวจะส่งผลกระทบทางลบต่อแนวโน้มและกิจกรรมทางเศรษฐกิจ โดย IMF คาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะมีการขยายตัว 1.8% ในปี 2568 จากเดิมคาดการณ์ที่ระดับ 2.7% ขณะที่ IMF ปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจของยูโรโซนสู่ระดับ 0.8% ในปีนี้ จากเดิมที่ระดับ 1.0% ขณะเดียวกัน IMF คาดว่าเศรษฐกิจเอเชียและแปซิฟิกจะชะลอตัวลงอย่างมีนัยสำคัญจากปี 2567 ที่มีอัตราการเติบโต 4.6% และคาดว่าเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกจะเติบโตเพียง 1.2% ลดลงจากการคาดการณ์ก่อนหน้า 0.7% ส่วนประเทศในกลุ่มตลาดเกิดใหม่และกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา คาดว่าจะเติบโต 4.5% ลดลง 0.5% จากคาดการณ์เดิมเช่นกัน
IMF เตือนว่าเอเชียกำลังเผชิญแรงกดดันเชิงโครงสร้าง โดยเฉพาะความเปราะบางของโมเดลการเติบโตที่พึ่งพาการส่งออก นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยท้าทายจากการเข้าสู่สังคมสูงวัยในหลายประเทศ และประสิทธิภาพด้านการผลิตที่มีแนวโน้มลดลง
ในส่วนของกลยุทธ์ สำหรับการลงทุนระยะสั้น (ไม่เกิน 1 สัปดาห์) เน้น “อ่อนตัวซื้อลงทุน” สำหรับการลงทุนระยะกลาง (1-3 เดือน) ในลักษณะ Long-Only แนะนำ “เพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้นไปที่ระดับ 75% ของพอร์ต”
ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่ความเห็นส่วนตัวของผมนะครับ โปรดใช้วิจารณญาณ และศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนการตัดสินใจลงทุนด้วยครับ สำหรับการพูดคุยกันระหว่างสัปดาห์นอกจากทาง Facebook ที่ www.facebook.com/hippowealththailand และ e-mail ที่ hippowealththailand@gmail.com แล้ว แฟนๆ ยังสามารถติดตามมุมมองเกี่ยวกับการลงทุนจาก “นายหมูบิน” ได้ในรายการ “เซียนเศรษฐกิจ” ทาง FM 97.00 ทุกวันอาทิตย์ เวลา 14.00-16.00 น. เช่นเดิมครับ
ภาพประกอบ : การวิเคราะห์ทิศทางตลาดหุ้นไทยในทางเทคนิครายวัน (Daily)
Source: TQ






Comments