top of page
40_ดอกเบี้ยออนไลน์-603-x-230.jpg
image.png

แผ่นดินไหวกดดันแค่สั้นๆ เศรษฐกิจโลกมีน้ำหนักกว่า


ree

สหรัฐเสี่ยงเกิด Stagflation ! 

           

แน่นอนว่าเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นเมื่อศุกร์ที่ 28 มีนาคม จะยังคงส่งผลกระทบในเชิง Sentiment ต่อทิศทางของตลาดหุ้นไทยในระยะสั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อย่างไรก็ดีปัจจัยดังกล่าวเป็นเพียงผลกระทบในระยะสั้นเท่านั้น ขณะที่ปัจจัยเสี่ยงจากสถานการณ์เศรษฐกิจโลกจะมีน้ำหนักมากกว่าในระยะต่อไป โดยเฉพาะผลกระทบจากการบังคับใช้ภาษีตอบโต้ของสหรัฐซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อระบบการค้าทั่วโลก และสร้างความไม่แน่นอนให้กับภาคธุรกิจ และอาจส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจสหรัฐในที่สุด ส่งผลให้ล่าสุด โกลด์แมน แซคส์ (Goldman Sachs) คาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และธนาคารกลางยุโรป(ECB) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 3 ครั้งในปีนี้ เนื่องจากมาตรการภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐมีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ เมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ที่คาดว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 2 ครั้งในปีนี้

           

ทั้งนี้โกลด์แมน แซคส์ ประเมินว่า มาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้(Reciprocal Tariff) จะส่งผลให้เงินเฟ้อของสหรัฐปรับตัวสูงขึ้น โดยคาดว่าภายในสิ้นปี 2568 ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคลพื้นฐาน(Core PCE) จะอยู่ที่ระดับ 3.5% และคาดว่าอัตราว่างงานจะปรับตัวขึ้นแตะระดับ 4.5% นอกจากนี้ โกลด์แมน แซคส์ได้ปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ในไตรมาส 4/2568 ของสหรัฐ ลงมาอยู่ที่ระดับ 1% จาก 1.5% และได้ปรับเพิ่มโอกาสที่เศรษฐกิจสหรัฐ จะเข้าสู่ภาวะถดถอยในช่วง 12 เดือนข้างหน้าเป็น 35% จากการคาดการณ์ก่อนหน้านี้ที่ระดับ 20%     


ส่วนทางด้านเศรษฐกิจยุโรปนั้น โกลด์แมน แซคส์ ปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของ GDP ตลอดปี 2568 และปรับเพิ่มคาดการณ์เงินเฟ้อของ EU โดยพิจารณาบนพื้นฐานของการคาดการณ์ว่า EU อาจจะใช้มาตรการภาษีตอบโต้สหรัฐ โดยคาดว่า GDP ของ EU จะขยายตัวเพียง 0.1%, 0.0%, และ 0.2% ในไตรมาส 2 ไตรมาส 3 และไตรมาส 4 ตามลำดับ พร้อมกับปรับเพิ่มคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานของ EU ขึ้นสู่ระดับ 2.1% ในไตรมาส 4 เทียบกับตัวเลขคาดการณ์เดิมที่ระดับ 2% ทั้งหมดเกิดขึ้นในภาวะที่เศรษฐกิจสหรัฐชะลอตัวลงชัดเจน สะท้อนออกมาจากการที่ล่าสุดผลสำรวจของมหาวิทยาลัยมิชิแกนระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐร่วงลงสู่ระดับ 57.0 ในเดือน มี.ค. 68 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือน ก.ค. 65 และต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 57.9 จากระดับ 64.7 ในเดือน ก.พ. 68 สอดคล้องกับการที่เฟด สาขาแอตแลนตา เปิดเผยว่า แบบจำลองคาดการณ์ GDPNow ล่าสุดแสดงให้เห็นว่า เศรษฐกิจสหรัฐหดตัว -2.8% ในไตรมาส 1 ปี 2568 เมื่อประกอบกับการที่กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคลพื้นฐาน (Core PCE) ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน และเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่เฟดให้ความสำคัญ ปรับตัวขึ้น 2.8% ในเดือน ก.พ. 68 เมื่อเทียบรายปี สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 2.7% จากระดับ 2.7% ในเดือน ม.ค. 68 และเมื่อเทียบรายเดือน ดัชนี PCE พื้นฐานปรับตัวขึ้น 0.4% ในเดือน ก.พ. 68 สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 0.3% จากระดับ 0.3% ในเดือน ม.ค. 68 ซึ่งดัชนี PCE ถือเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่สามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมของผู้บริโภค และครอบคลุมราคาสินค้าและบริการในวงกว้างมากกว่าดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ทำให้นักลงทุนเริ่มมีความกังวลเกี่ยวกับโอกาสที่เศรษฐกิจสหรัฐจะเผชิญกับภาวะ Stagflation เพิ่มมากขึ้นไปอีก

           

ญี่ปุ่น เกาหลี และจีนค้ำเศรษฐกิจเอเชีย ! มาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ของสหรัฐ มีแนวโน้มที่จะทำให้การค้าระหว่างประเทศเกิดการตอบโต้กันไปมาแน่นอน เช่นล่าสุดประธานาธิบดีคลอเดีย เชนบาม ของเม็กซิโก ประกาศว่ารัฐบาลเม็กซิโกจะออกมาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้แบบครอบคลุม ขณะที่ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) เปิดเผยรายงานสรุปความคิดเห็น (Summary of Opinions) ของกรรมการ BOJ ระบุว่า ในการประชุมเมื่อวันที่ 18-19 มี.ค. 68 ที่ผ่านมา กรรมการ BOJ ได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของมาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐที่จะมีต่อเศรษฐกิจภายในประเทศ อย่างไรก็ดีจีน, ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ อาจใช้สถานการณ์นี้เป็นโอกาส หลังจากที่ทั้ง 3 ประเทศจัดการประชุมหารือด้านเศรษฐกิจร่วมกันเป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปี โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมการค้าในภูมิภาค ขณะที่ทั้ง 3 ประเทศเตรียมรับมือกับมาตรการภาษีนำเข้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ โดยรัฐมนตรีกระทรวงการค้าของทั้ง 3 ประเทศเห็นพ้องให้ร่วมมือกันอย่างใกล้ชิด เพื่อผลักดันการเจรจาข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) เกาหลีใต้-ญี่ปุ่น-จีน ในการส่งเสริมการค้าในระดับภูมิภาคและระดับโลก ทั้งนี้เกาหลีใต้, ญี่ปุ่น และจีน เป็นหนึ่งในหลายประเทศที่สหรัฐกล่าวหาว่าเป็นผู้หาประโยชน์ทางการค้า

           

ข้อมูลจากเอสแอนด์พี โกลบอล (S&P Global) ระบุว่า เกาหลีใต้เป็นผู้ส่งออกยานยนต์รายใหญ่อันดับ 2 ของโลกไปยังสหรัฐ รองจากเม็กซิโก ขณะที่ญี่ปุ่นครองอันดับ 3 ขณะที่เศรษฐกิจของทั้ง 3 ประเทศส่งสัญญาณที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยที่ในส่วนของจีน สำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) เปิดเผยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตปรับตัวขึ้นแตะระดับ 50.5 ในเดือน มี.ค. 68 จากระดับ 50.2 ในเดือน ก.พ. 68 ดัชนี PMI เดือน มี.ค. 68 ขยายตัวในอัตราที่รวดเร็วที่สุดในรอบ 1 ปี และสอดคล้องกับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนเป็นปัจจัยที่ช่วยหนุนเศรษฐกิจให้ฟื้นตัว โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่จีนมีแนวโน้มที่จะได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐ ส่วนดัชนี PMI นอกภาคการผลิต ซึ่งรวมถึงภาคบริการและภาคก่อสร้างนั้น ปรับตัวขึ้นแตะระดับ 50.8 ในเดือน มี.ค. 68 จากระดับ 50.4 ในเดือน ก.พ. 68 ทั้งนี้ ดัชนีที่สูงกว่าระดับ 50 บ่งชี้ว่า ทั้งภาคการผลิตและภาคบริการของจีนยังคงมีการขยายตัว ขณะที่รัฐบาลจีนให้คำมั่นว่าจะเร่งใช้นโยบายกระตุ้นด้านการเงินและการคลัง เพื่อให้จีนบรรลุเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ประมาณ 5% ในปีนี้ และรับมือกับผลกระทบจากสงครามการค้ากับสหรัฐ

           

ล่าสุดกระทรวงการคลังจีนประกาศว่าจะออกพันธบัตรรัฐบาลพิเศษมูลค่า 5 แสนล้านหยวน (ประมาณ 6.97 หมื่นล้านดอลลาร์) เพื่อเพิ่มเงินกองทุนชั้นที่ 1 ให้กับ 4 ธนาคารพาณิชย์รัฐวิสาหกิจรายใหญ่ของประเทศ โดยเงินทุนดังกล่าวมีเป้าหมายเฉพาะเจาะจงเพื่อเสริมสร้างเงินกองทุนหลักของธนาคารขนาดใหญ่ 4 แห่ง ได้แก่ ธนาคารแห่งประเทศจีน (Bank of China), ธนาคารการก่อสร้างจีน (China Construction Bank), ธนาคารแห่งการสื่อสาร (Bank of Communications) และธนาคารไปรษณีย์และการออมของประเทศจีน (Postal Savings Bank of China) ขณะที่รัฐบาลจีนให้ความมั่นใจว่า แม้จะมีการอัดฉีดเงินทุนดังกล่าว ธนาคารรัฐวิสาหกิจรายใหญ่ของจีนในปัจจุบันยังคงดำเนินงานอย่างมีเสถียรภาพ มีคุณภาพสินทรัพย์ที่ดี มีเงินสำรองหนี้สูญเพียงพอ และตัวชี้วัดสำคัญด้านกฎระเบียบยังคงอยู่ใน "ช่วงที่ดี" (Healthy Range)

           

นอกจากนี้รัฐบาลญี่ปุ่นเปิดเผยว่า ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมของญี่ปุ่นในเดือน ก.พ. 68 เพิ่มขึ้น 2.5% เมื่อเทียบรายเดือน นับเป็นการเพิ่มขึ้นครั้งแรกในรอบ 4 เดือน โดยกระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรมของญี่ปุ่น (METI) รายงานว่าดัชนีผลผลิตภาคโรงงานและเหมืองแร่ที่ปรับค่าตามฤดูกาลแล้ว อยู่ที่ระดับ 102.4 เทียบกับฐานปี 2563 ที่ 100 ตัวเลขเบื้องต้นนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ดัชนีลดลง 1.1% ในเดือน ม.ค. 68

           

ขณะที่สำนักงานสถิติแห่งชาติเกาหลีเปิดเผยข้อมูลว่า ผลผลิตภาคอุตสาหกรรม ยอดค้าปลีก และการลงทุนในสิ่งอำนวยความสะดวกของเกาหลีใต้ ปรับตัวเพิ่มขึ้นพร้อมกันเมื่อเทียบเป็นรายเดือนในเดือน ก.พ. 68 นับเป็นครั้งแรกในรอบ 17 เดือน หรือนับตั้งแต่เดือน ก.ย. 66 ที่ดัชนีชี้วัดเศรษฐกิจหลักทั้ง 3 ตัวนี้เพิ่มขึ้นพร้อมกัน ทั้งนี้เมื่อเทียบเป็นรายเดือน ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น 0.6% ในเดือน ก.พ. 68 ยอดค้าปลีกขยับขึ้น 1.5% และการลงทุนในสิ่งอำนวยความสะดวกพุ่งสูงขึ้น 18.7%

           

ในส่วนของกลยุทธ์ สำหรับการลงทุนระยะสั้น (ไม่เกิน 1 สัปดาห์) เน้น “อ่อนตัวซื้อลงทุน” สำหรับการลงทุนระยะกลาง (1-3 เดือน) ในลักษณะ Long-Only แนะนำ “เพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้นไปที่ระดับ 75% ของพอร์ต”

        

ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่ความเห็นส่วนตัวของผมนะครับ โปรดใช้วิจารณญาณ และศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนการตัดสินใจลงทุนด้วยครับ สำหรับการพูดคุยกันระหว่างสัปดาห์นอกจากทาง Facebook ที่ www.facebook.com/hippowealththailand และ e-mail ที่ hippowealththailand@gmail.com แล้ว แฟนๆ ยังสามารถติดตามมุมมองเกี่ยวกับการลงทุนจาก “นายหมูบิน” ได้ในรายการ “เซียนเศรษฐกิจ” ทาง FM 97.00 ทุกวันอาทิตย์ เวลา 14.00-16.00 น. เช่นเดิมครับ

 

ภาพประกอบ : การวิเคราะห์ทิศทางตลาดหุ้นไทยในทางเทคนิครายวัน (Daily)

ree

Source: TQ

 

 

 
 
 

Comments


bottom of page