แรงกดดันจากในและต่างประเทศ สร้างความผันผวนมาก
- Dokbia Online
- Feb 28
- 2 min read

เศรษฐกิจไทยยังเป็นปัจจัยเสี่ยง !
ทิศทางของตลาดหุ้นไทยยังคงได้รับแรงกดดันจากปัจจัยต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ปัจจัยในประเทศยังคงอ่อนแอ แม้ว่าล่าสุดกระทรวงพาณิชย์ จะรายงานภาวะการค้าระหว่างประเทศของไทย เดือน ม.ค. 68 พบว่า การส่งออก มีมูลค่า 25,277 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 13.6% YoY มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ 7-8% ขณะที่การนำเข้า มีมูลค่า 27,157 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 7.9% YoY ซึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้การส่งออกของไทยยังขยายตัวดี มาจากแรงหนุนจากเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง, อุปสงค์ต่างประเทศที่เร่งตัว จากความกังวลประเด็นสงครามการค้า โดยเฉพาะสหรัฐและจีน, ความต้องการสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ในตลาดโลกที่เติบโตต่อเนื่อง อัตราเงินเฟ้อที่ปรับตัวเข้าสู่กรอบเป้าหมาย และการขยายตัวของกิจกรรมภาคการผลิต
ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) คาดการณ์เศรษฐกิจไทยในปี 2568 เติบโตเพียง 2.8% โดยมีปัจจัยหนุนการเติบโตของเศรษฐกิจไทยหลักๆ มาจากภาคการท่องเที่ยวฟื้นตัวได้ดี ซึ่งจากตัวเลขนักท่องเที่ยวจากต้นปีจนถึงต้นเดือน ก.พ.นี้ อยู่ที่ 3.97 ล้านคน ซึ่งเป็นระดับเดียวกับปี 2562 และคาดว่าตัวเลขจะดีขึ้นอีกในครึ่งปีหลังของปี และยังได้รับแรงหนุนเพิ่มเติมจากการบริโภคภาคเอกชนจากนโยบายของภาครัฐกระตุ้นการบริโภค โดยเฉพาะโครงการ Digital Wallet เฟสต่อไปราว 1.4 แสนล้านบาท หรือคิดเป็น 0.8% ของจีดีพี กำหนดเริ่มโครงการในเดือน เม.ย. 68
ขณะเดียวกันแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยจากภาคการส่งออกที่ยังมีทิศทางการปรับตัวดีขึ้น แต่ยังมีความผันผวนจากการใช้นโยบายการค้าของสหรัฐ และการส่งออกรถยนต์ที่หดตัวในหลายปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม มองว่ายังได้รับแรงหนุนเพิ่มเติมจากการบริโภคภาคเอกชนจากนโยบายของภาครัฐกระตุ้นการบริโภค
นอกจากนี้ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) คาดว่าเงินเฟ้อพื้นฐานของไทยในปี 2568 จะอยู่ที่ 0.9% จากปีก่อนที่ 0.6% และคาดว่าเงินเฟ้อทั่วไปจะอยู่ที่ 1.3% ในปี 2568 จากปีก่อนที่ 0.4% ตามการฟื้นตัวของภาคบริโภคเบาบาง และคาดว่าในปี 2568 คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) อาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายนโยบายเพียงครั้งเดียว ซึ่งอาจจะเป็นการลดในรอบการประชุมเดือน มิ.ย. 68 หรือหลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีท่าทีไม่รีบลดดอกเบี้ย และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เองก็ไม่ได้ส่งสัญญาณต้องการลดอัตราดอกเบี้ย สอดคล้องกับผลสำรวจนักเศรษฐศาสตร์ของสำนักข่าวรอยเตอร์ ระบุว่าธนาคารแห่งประเทศไทย มีแนวโน้มปรับลดเพียงครั้งเดียวในปี 2568 เพื่อรักษาพื้นที่นโยบายในการรับมือความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก โดยนักเศรษฐศาสตร์ 17 จาก 23 คน คาดว่า ธปท.จะลดดอกเบี้ย 0.25% ลงมาอยู่ที่ 2.00% ภายในสิ้นเดือน มิ.ย. 68 (ทั้งนี้ 26 ก.พ. กนง.เซอร์ไพรส์ด้วยการลดดอกเบี้ยลง 0.25%)
อย่างไรก็ดีประเด็นของการท่องเที่ยวยังคงต้องระมัดระวัง เนื่องจากเป้าหมายดึงดูดนักท่องเที่ยวจีน 9 ล้านคนของไทยในปีนี้ อาจไม่เป็นไปตามเป้า หลังเกิดเหตุการณ์ลักพาตัวนักแสดงชาวจีน ส่งผลให้ชาวจีนแผ่นดินใหญ่หันไปเที่ยวญี่ปุ่นและสิงคโปร์ที่ปลอดภัยกว่า โดยข้อมูลจากบลูมเบิร์ก อินเทลลิเจนซ์ (Bloomberg Intelligence) ระบุว่ายอดยกเลิกเที่ยวบินมาไทยเพิ่มขึ้น 94% ในเดือน ม.ค. 68 โดยนักท่องเที่ยวจีนส่วนใหญ่เลือกไปเล่นสกีและแช่น้ำพุร้อนที่ญี่ปุ่นในช่วงตรุษจีน ขณะที่การเดินทางมาไทยช่วงสองสัปดาห์แรกของเดือน ก.พ. 68 ยังต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ต่อเนื่องจากที่ก่อนหน้านี้ กรณีนักแสดงชาวจีน "หวัง ซิง" ถูกลักพาตัวผ่านไทยไปยังเมียนมา ส่งผลให้เกิดการยกเลิกทริปตรุษจีนครั้งใหญ่ แม้ไทยจะเร่งปราบปรามแก๊งอาชญากรรมที่ใช้ไทยเป็นทางผ่านในการลักลอบนำเหยื่อไปทำงานในศูนย์แก๊งคอลเซ็นเตอร์ แต่ก็ยังไม่สามารถคลายความกังวลของนักท่องเที่ยวชาวจีนได้ ส่วนทางกับยอดจองเที่ยวบินจากจีนไปญี่ปุ่นในไตรมาสแรกที่เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวเมื่อเทียบกับปีก่อน เนื่องจากค่าเงินเยนอ่อนค่าและราคาตั๋วเครื่องบินที่ถูกลง โดยเฉพาะเส้นทางเซี่ยงไฮ้-โตเกียวที่มีราคาเริ่มต้นเพียง 150 ดอลลาร์ ส่งผลให้ญี่ปุ่นแซงหน้าไทยขึ้นเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวชาวจีนในช่วงวันหยุดตรุษจีน 8 วัน
นอกจากนี้ มาตรการยกเว้นวีซ่าของสิงคโปร์และมาเลเซียยังดึงดูดนักท่องเที่ยวจีนให้เบนเข็มจากไทยอีกด้วย ทั้งนี้องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศญี่ปุ่น (JNTO) เปิดเผยว่า มีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้าประเทศเมื่อเดือน ม.ค. 68 สูงถึง 980,000 คน เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวจากปีก่อน ขณะที่ไทยรายงานตัวเลขนักท่องเที่ยวจีนถึงวันที่ 2 ก.พ. 68 ที่ผ่านมาอยู่ที่ 711,000 คน
ทั้งนี้ภาคการท่องเที่ยวคิดเป็นสัดส่วน 12% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) และคิดเป็น 20% ของการจ้างงานทั้งประเทศ เป็นที่คาดการณ์ว่าภาคการท่องเที่ยวจะสร้างรายได้ราว 5.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐในปีนี้
ท่าทีของผู้นำสหรัฐสร้างความปั่นป่วน ! ขณะที่ทิศทางของตลาดหุ้นโลกยังได้รับผลกระทบจากท่าทีต่างๆ ที่ออกมาของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ ทั้งจากการที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐได้ประกาศใช้มาตรการควบคุมการลงทุนจากจีน และยังได้ประกาศเดินหน้าแผนการเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากแคนาดาและเม็กซิโก โดยล่าสุดประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ เพื่อสั่งการให้คณะกรรมการการลงทุนจากต่างประเทศในสหรัฐอเมริกา (CFIUS) จำกัดการลงทุนของจีนในภาคส่วนที่มีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ ซึ่งรวมถึงภาคเทคโนโลยีและพลังงาน ซึ่งบันทึกความเข้าใจดังกล่าวมีจุดมุ่งหมายเพื่อส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศพร้อมกับปกป้องผลประโยชน์ด้านความมั่นคงของสหรัฐ จากภัยคุกคามจากปรปักษ์ต่างชาติอย่างเช่นจีน
นอกจากนี้การกระทรวงพาณิชย์สหรัฐ ยังเรียกร้องให้รัฐบาลเม็กซิโกเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากจีน โดยเป็นส่วนหนึ่งการดำเนินการเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีศุลกากรตามคำขู่ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อย่างไรก็ดีเม็กซิโกยังคงไม่ได้ให้คำมั่นใดๆ เกี่ยวกับจีน ทั้งนี้ทรัมป์เรียกร้องให้เม็กซิโกและแคนาดาพยายามมากขึ้นในการจำกัดการไหลเข้าของผู้อพยพและยาเสพติดเฟนทานิลสู่สหรัฐ มิเช่นนั้นจะต้องเผชิญกับภาษีนำเข้า 25% และอัตราภาษีนำเข้าพลังงานของแคนาดา 10% ซึ่งเดิมกำหนดไว้ในวันที่ 1 ก.พ. 68 อย่างไรก็ตามทำเนียบขาวได้เลื่อนการบังคับใช้ภาษีดังกล่าวออกไปเป็นเวลาหนึ่งเดือน
ทั้งนี้โกลด์แมน แซคส์ (Goldman Sachs) ระบุว่า แผนการเก็บภาษีนำเข้าน้ำมัน 10% ของสหรัฐ อาจทำให้ผู้ผลิตต่างชาติเสียค่าใช้จ่ายถึง 1 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อปี เนื่องจากน้ำมันดิบหนัก (Heavy Crude) จากแคนาดาและลาตินอเมริกายังคงพึ่งพาบริษัทกลั่นน้ำมันในสหรัฐ ขณะที่มีผู้ซื้อและความสามารถในการแปรรูปที่จำกัด และโกลด์แมน แซคส์ ประมาณการว่าผู้บริโภคสหรัฐ จะต้องเผชิญกับภาระภาษีปีละ 2.2 หมื่นล้านดอลลาร์ ในขณะที่รัฐบาลจะได้รับรายได้ 2 หมื่นล้านดอลลาร์ ในขณะเดียวกันสหรัฐได้กำหนดภาษีนำเข้าเพิ่มเติมอีก 10% สำหรับสินค้าทั้งหมดที่นำเข้าจากจีน ส่งผลให้ล่าสุดจีนเรียกร้องให้สหรัฐอเมริกาหยุดนำประเด็นทางเศรษฐกิจและการค้ามาใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองและใช้เป็นอาวุธโจมตีผู้อื่นตามนโยบาย "อเมริกาต้องมาก่อน" (America First) ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
โดยที่กระทรวงพาณิชย์จีนมีถ้อยแถลงหลังจากที่สหรัฐเปิดเผยนโยบายการลงทุนอเมริกาต้องมาก่อน (America First Investment Policy) ซึ่งระบุว่า จีนเป็นหนึ่งใน "ปรปักษ์" ที่คอยกำกับและสนับสนุนการลงทุนในบริษัทและสินทรัพย์ของสหรัฐอย่างเป็นระบบ "เพื่อให้ได้มาซึ่งเทคโนโลยีขั้นสูง ทรัพย์สินทางปัญญา และอิทธิพลในอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์"
นอกจากนี้จีนยังระบุว่าการที่สหรัฐเสนอมาตรการคุมเข้มอุตสาหกรรมการเดินเรือ โลจิสติกส์ และการต่อเรือของจีน ถือเป็นอันตรายต่อประเทศอื่นและสหรัฐเอง พร้อมเรียกร้องให้สหรัฐ เคารพข้อเท็จจริงและกฎพหุภาคี ตลอดจน "หยุดการกระทำที่ไม่ถูกต้อง" โดยจีนจะติดตามความเคลื่อนไหวของสหรัฐอย่างใกล้ชิด และดำเนินมาตรการที่จำเป็นเพื่อปกป้องสิทธิและผลประโยชน์อันชอบธรรมของจีน
ด้านกระทรวงการคลังสหรัฐได้ออกมาตรการคว่ำบาตรรอบใหม่ที่มุ่งเป้าไปที่อุตสาหกรรมน้ำมันของอิหร่าน โดยมาตรการดังกล่าวมีผลกระทบต่อกลุ่มนายหน้าค้าน้ำมัน ผู้ประกอบการเรือบรรทุกน้ำมัน และบริษัทขนส่งมากกว่า 30 แห่งที่ทำการจำหน่ายและขนส่งปิโตรเลียมของอิหร่าน เพื่อป้องกันไม่ให้อิหร่านครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ นอกจากนี้ การประกาศล่าสุดยังเป็นการต่อยอดจากมาตรการคว่ำบาตรที่ได้บังคับใช้ในยุคของรัฐบาลโจ ไบเดน ด้วยเช่นกัน ทั้งนี้กระทรวงการคลังสหรัฐระบุว่า มาตรการคว่ำบาตรรอบใหม่นี้มุ่งเป้าไปที่นายหน้าค้าน้ำมันในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) และฮ่องกง รวมทั้งผู้ประกอบการและผู้จัดการเรือบรรทุกน้ำมันในอินเดียและจีน และผู้บริหารบริษัทน้ำมันแห่งชาติอิหร่าน
ทั้งนี้แนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐเริ่มชะลอตัวลงในระยะสั้น โดยที่ล่าสุดดัชนีชี้วัดกิจกรรมในภาคการผลิตของรัฐเท็กซัสปรับตัวลงสู่ระดับ -8.3 ในเดือน ก.พ. 68 จากระดับ +14.1 ในเดือน ม.ค. 68 ซึ่งดัชนีมีค่าเป็นลบ บ่งชี้ถึงภาวะหดตัวของภาคการผลิตในรัฐเท็กซัส ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐร่วงลงสู่ระดับ 64.7 ในเดือน ก.พ. 68 ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 67.8 จากระดับ 71.1 ในเดือน ม.ค. 68 ส่วนดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการผลิตและภาคบริการเบื้องต้นของสหรัฐ ปรับตัวลงสู่ระดับ 50.4 ในเดือน ก.พ. 68 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 17 เดือน จากระดับ 52.7 ในเดือน ม.ค. 68
ในส่วนของกลยุทธ์ สำหรับการลงทุนระยะสั้น (ไม่เกิน 1 สัปดาห์) เน้น “อ่อนตัวซื้อลงทุน” สำหรับการลงทุนระยะกลาง (1-3 เดือน) ในลักษณะ Long-Only แนะนำ “เพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้นไปที่ระดับ 75% ของพอร์ต”
ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่ความเห็นส่วนตัวของผมนะครับ โปรดใช้วิจารณญาณ และศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนการตัดสินใจลงทุนด้วยครับ สำหรับการพูดคุยกันระหว่างสัปดาห์นอกจากทาง Facebook ที่ www.facebook.com/hippowealththailand และ e-mail ที่ hippowealththailand@gmail.com แล้ว แฟนๆ ยังสามารถติดตามมุมมองเกี่ยวกับการลงทุนจาก “นายหมูบิน” ได้ทาง FM 97.00 ทุกวันอาทิตย์ในรายการ “เซียนเศรษฐกิจ” เวลา 15.00-16.00 น. เช่นเดิมครับ

Commentaires