top of page
image.png

แนวโน้มตลาดหุ้นโลก ยังคงไปต่อได้ในระยะกลาง


ดอกเบี้ยเป็นแรงกดดันในระยะสั้น!

           

ในระยะสั้นทิศทางตลาดหุ้นโลกถูกกดดันชัดเจนจากการที่นักลงทุนพากันเลื่อนคาดการณ์ต่อการปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในปีนี้เป็นเดือน ก.ย. 68 จากเดิมที่คาดไว้ในเดือน ก.ค. 68 และคาดว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพียงครั้งเดียวในปี 2568 หลังสหรัฐเปิดเผยตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรที่สูงกว่าคาด ซึ่งจะเป็นปัจจัยชะลอการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟด การคาดการณ์ดังกล่าวมีขึ้น แม้ว่าในการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC) ประจำวันที่ 17-18 ธ.ค. 67 ส่งสัญญาณปรับลดอัตราดอกเบี้ย 2 ครั้งในปีนี้ โดยล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 97.3% ที่เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 4.25-4.50% ในการประชุมวันที่ 28-29 ม.ค. 68

           

นอกจากนี้ นักลงทุนคาดว่าเฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือน มี.ค., พ.ค., มิ.ย. และ ก.ค. ก่อนที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 4.00-4.25% ในการประชุมเดือน ก.ย. 68 และคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับดังกล่าวในการประชุมที่เหลือจนสิ้นปี 2568

           

ทั้งนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้น 256,000 ตำแหน่งในเดือน ธ.ค. 67 สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 154,000 ตำแหน่ง หลังจากเพิ่มขึ้น 212,000 ตำแหน่งในเดือน พ.ย. 67 ส่วนอัตราการว่างงานปรับตัวลงสู่ระดับ 4.1% ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 4.2% นอกจากนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐได้ปรับตัวเลขการจ้างงานในเดือน พ.ย. 67 เป็นเพิ่มขึ้น 212,000 ตำแหน่ง จากเดิมรายงานว่าเพิ่มขึ้น 227,000 ตำแหน่ง ทั้งนี้ ตัวเลขค่าจ้างรายชั่วโมงนับเป็นข้อมูลที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ให้ความสำคัญเพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ภาวะเงินเฟ้อ ส่วนตัวเลขอัตราการเข้าสู่ตลาดแรงงานของสหรัฐ ซึ่งแสดงสัดส่วนของกำลังแรงงานต่อจำนวนประชากรทั้งหมด อยู่ที่ระดับ 62.5% ซึ่งจากสถานการณ์ดังกล่าว ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปียังคงดีดตัวขึ้นเหนือระดับ 4.7% หลังนักลงทุนพากันเลื่อนคาดการณ์ต่อการปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกของเฟดในปีนี้เป็นเดือน ก.ย. 68 จากเดิมที่คาดไว้ในเดือน ก.ค. 68 และคาดว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพียงครั้งเดียวในปี 2568 หลังสหรัฐเปิดเผยตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรที่สูงกว่าคาด ซึ่งจะเป็นปัจจัยชะลอการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟด

           

นอกจากนี้นักลงทุนยังคงกังวลกับสถานการณ์ที่โรงกลั่นของจีนและอินเดียจะหันไปนำเข้าน้ำมันจากตะวันออกกลาง แอฟริกา และทวีปอเมริกาเพิ่มขึ้น ซึ่งจะผลักดันทั้งราคาน้ำมันและค่าระวางให้พุ่งสูงขึ้น สืบเนื่องจากมาตรการคว่ำบาตรรอบใหม่ของสหรัฐที่มุ่งเป้าไปที่ผู้ผลิตและเรือขนส่งน้ำมันของรัสเซีย ส่งผลให้การจัดส่งน้ำมันไปยัง 2 ลูกค้ารายใหญ่ของรัสเซียอย่างจีนและอินเดียต้องสะดุดลง โดยล่าสุดกระทรวงการคลังสหรัฐประกาศว่าจะคว่ำบาตรบริษัทผู้ผลิตน้ำมันของรัสเซียอย่าง ก๊าซพรอม เนฟต์ (Gazprom Neft) และซูร์กุตเนฟเตกัส (Surgutneftegas) รวมถึงเรือบรรทุกน้ำมัน 183 ลำที่เคยขนส่งน้ำมันรัสเซีย โดยมีเป้าหมายเพื่อสกัดกั้นรายได้ที่รัสเซียนำไปใช้ทำสงครามกับยูเครน เรือเหล่านี้ส่วนใหญ่ใช้ขนส่งน้ำมันไปยังอินเดียและจีน เพราะมาตรการคว่ำบาตรของชาติตะวันตกและการกำหนดเพดานราคาน้ำมันโดยกลุ่ม G7 ในปี 2565 ทำให้การค้าน้ำมันของรัสเซียเบนเข็มจากยุโรปมาสู่เอเชีย อีกทั้งเรือบางลำยังถูกใช้ขนส่งน้ำมันจากอิหร่าน ซึ่งก็เป็นอีกประเทศที่ถูกคว่ำบาตรเช่นกัน

           

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวในแวดวงการค้าน้ำมันของจีนสองรายว่า มาตรการคว่ำบาตรครั้งใหม่นี้จะกระทบการส่งออกน้ำมันของรัสเซียอย่างรุนแรง และจะบีบให้โรงกลั่นอิสระของจีนต้องลดกำลังการผลิตลงในอนาคต ซึ่งความกังวลต่อการชะงักงันของอุปทานน้ำมันจากรัสเซีย ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกพุ่งแตะจุดสูงสุดในรอบหลายเดือน โดยราคาน้ำมันดิบเบรนท์ทะลุระดับ 81 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล นอกจากนี้ราคาน้ำมันในตลาดสปอตจากแหล่งตะวันออกกลาง แอฟริกา และบราซิล ได้ปรับตัวสูงขึ้นในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา เนื่องจากความต้องการที่เพิ่มขึ้นจากจีนและอินเดีย ในขณะที่การจัดหาน้ำมันจากรัสเซียและอิหร่านเริ่มตึงตัวและมีราคาแพงขึ้น

        

ปัจจัยหนุนในภูมิภาคและตลาดหุ้นไทยยังมีอยู่ ! อย่างไรก็ดี ปัจจัยบวกในระยะกลางของตลาดหุ้นโลกยังคงมีอยู่ และไม่มีอะไรที่น่ากังวล โดยที่ล่าสุดข้อมูลการค้าเดือน ธ.ค. 67 ของจีนอยู่ในระดับที่สูงเกินคาด โดยยอดส่งออกพุ่งขึ้นสูงกว่าคาด เนื่องจากกลุ่มผู้ส่งออกยังคงเร่งการส่งออกสินค้าอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบจากการที่สหรัฐเรียกเก็บภาษีศุลกากรเพิ่มเติม ขณะที่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเริ่มเป็นปัจจัยหนุนการอุปโภคบริโภคภายในประเทศ ทั้งนี้ยอดส่งออกเดือน ธ.ค. 67 ของจีนพุ่งขึ้น 10.7% เมื่อเทียบเป็นรายปี สูงกว่าที่นักวิเคราะห์ในโพลสำรวจของสำนักข่าวรอยเตอร์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 7.3% นอกจากนี้ ยอดส่งออกเดือน ธ.ค. 67 ยังแข็งแกร่งกว่าในเดือน พ.ย. 67 ที่เพิ่มขึ้น 6.7% สำหรับตลอดปี 2567 นั้น ยอดส่งออกโดยรวมของจีนปรับตัวขึ้น 7.1% ซึ่งแข็งแกร่งกว่าในปี 2566 ที่เพิ่มขึ้นเพียง 0.6% ขณะที่ยอดนำเข้าในปี 2567 เพิ่มขึ้น 2.3% ฟื้นตัวจากปี 2566 ที่ลดลง 0.3% ขณะที่ทางการจีนประกาศใช้นโยบายครั้งใหม่ที่มีเป้าหมายเพื่อสกัดการอ่อนค่าของเงินหยวน ด้วยการผ่อนปรนกฎระเบียบการกู้ยืมจากต่างประเทศ โดยได้ปรับเพิ่มอัตราส่วนการกู้ยืมภายใต้การประเมินเศรษฐกิจมหภาคอย่างรอบคอบ (MPA) จากเดิม 1.5 เท่า เป็น 1.75 เท่าของสินทรัพย์สุทธิของบริษัท ซึ่งมีผลบังคับใช้ทันที หลังจากเงินหยวนอ่อนค่าลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 16 เดือนเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ

           

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า เงินหยวนอ่อนค่าลงเนื่องจาก 3 ปัจจัยซึ่งได้แก่ ดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่าขึ้น อัตราผลตอบแทนพันธบัตรจีนที่ลดลง และความตึงเครียดทางการค้าที่เพิ่มขึ้นกับประเทศอื่นๆ นอกจากนี้ คณะกรรมการกำกับดูแลระบบการซื้อขายเงินตราต่างประเทศยังวางแผนที่จะรักษาอัตราแลกเปลี่ยนเงินหยวนให้มีเสถียรภาพในระดับที่สมเหตุสมผลและมีความสมดุล พร้อมเพิ่มความยืดหยุ่นของตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศและเสริมความแข็งแกร่งให้กับการบริหารจัดการตลาด ในด้านของการขยายตัวทางเศรษฐกิจของจีน

           

ล่าสุดโกลด์แมน แซคส์ (Goldman Sachs) มีมุมมองบวกต่อหุ้นบริษัทจีน โดยให้คำแนะนำการลงทุนในหุ้นบริษัทจีนทั้งในตลาดภายในประเทศและตลาดต่างประเทศที่ระดับ "Overweight" (เพิ่มน้ำหนักการลงทุน) เนื่องจากอัตราส่วนผลตอบแทนต่อความเสี่ยง (Risk-Reward Ratio) อยู่ในระดับที่น่าพอใจ แม้ว่าตลาดหุ้นจีนยังคงเผชิญกับแรงเทขายในขณะนี้ก็ตาม โดยคาดว่าดัชนีตลาดหุ้นจีนจะพุ่งขึ้นราว 20% ภายในสิ้นปี 2568 ทั้งนี้โกลด์แมน แซคส์ แนะนำให้นักลงทุนซื้อหุ้นที่จะได้ประโยชน์จากนโยบายกระตุ้นการบริโภคของรัฐบาลจีน รวมทั้งหุ้นบริษัทส่งออกในตลาดเกิดใหม่ซึ่งจะได้ประโยชน์จากการอ่อนค่าของเงินหยวน และหุ้นบริษัทเทคโนโลยีและโครงสร้างพื้นฐานบางตัว

           

นอกจากนี้ นักกลยุทธ์ของโกลด์แมน แซคส์ ยังคงแนะนำให้ "เพิ่มน้ำหนักการลงทุน" ในหุ้นค้าปลีกออนไลน์ หุ้นสื่อ และหุ้นบริษัทบริการสุขภาพ มุมมองดังกล่าวสอดคล้องกับเอชเอสบีซี โฮลดิ้งส์ (HSBC Holdings) ที่เริ่มกลับมามีมุมมองเชิงบวกต่อหุ้นบริษัทจีนที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นฮ่องกง โดยมองว่าหุ้นบริษัทจีนจะได้ประโยชน์จากการที่รัฐบาลจีนออกนโยบายที่เอื้ออำนวยมากขึ้น รวมทั้งเศรษฐกิจจีนที่มีแนวโน้มที่สดใสมากขึ้นด้วย โดย HSBC คาดการณ์ว่า ดัชนีหุ้นบริษัทจีนในดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกง (Hang Seng China Enterprises Index) จะปรับตัวขึ้น 21% ในปี 2568 พร้อมกับปรับเพิ่มคาดการณ์ดัชนีในช่วงสิ้นปี 2568 ขึ้นสู่ระดับ 8,800 จุด จากตัวเลขคาดการณ์ก่อนหน้านี้ที่ระดับ 8,610 จุด ขณะที่รัฐบาลจีนประกาศเดินหน้าผลักดันมาตรการพิเศษเพื่อกระตุ้นการบริโภค เพิ่มการนำเข้า และดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศในปีนี้ ในการประชุมกรอบการดำเนินงานด้านพาณิชย์ที่กรุงปักกิ่งซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 11-12 ม.ค. 68 ที่ผ่านมา รัฐบาลกล่าวว่าจะเร่งผลักดันโครงการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าอุปโภคบริโภค พร้อมสร้างรูปแบบการบริโภคที่หลากหลายมากขึ้น และส่งเสริมการบริโภคด้านบริการและดิจิทัล

           

ขณะที่ปัจจัยในประเทศของไทยจะเกิดจากการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล โดยล่าสุดเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจไทยปี 2568 จะเติบโตได้อย่างน้อย 3% แต่รัฐบาลไม่ได้วางโจทย์ไว้แค่ระดับดังกล่าว เพราะต้องการขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจก้าวหน้า ดังนั้นหากสามารถผลักดันไปให้สุดได้มากเท่าไหร่ก็จะเร่งดำเนินการ เนื่องจากมองว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจจะช่วยแก้ปัญหาในหลายๆ จุดได้ โดยเฉพาะเรื่องตัวเลขทางเศรษฐกิจหลายตัวที่อยู่ในระดับสูง อาทิ หนี้สาธารณะ และหนี้ครัวเรือน เป็นต้น

           

ในส่วนของกลยุทธ์ สำหรับการลงทุนระยะสั้น (ไม่เกิน 1 สัปดาห์) ตราบใดที่ SET ยังคงแกว่งตัวเหนือกว่า 1,360 จุดได้ เน้น “อ่อนตัวซื้อลงทุน” สำหรับการลงทุนระยะกลาง (1-3 เดือน) ในลักษณะ Long-Only แนะนำ “เพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้นไปที่ระดับ 75% ของพอร์ต”

           

ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่ความเห็นส่วนตัวของผมนะครับ โปรดใช้วิจารณญาณ และศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนการตัดสินใจลงทุนด้วยครับ สำหรับการพูดคุยกันระหว่างสัปดาห์นอกจากทาง Facebook ที่ www.facebook.com/hippowealththailand และ e-mail ที่ hippowealththailand@gmail.com แล้ว แฟนๆ ยังสามารถติดตามมุมมองเกี่ยวกับการลงทุนจาก “นายหมูบิน” ได้ในรายการ “เซียนเศรษฐกิจ” ทาง FM 97.00 ทุกวันอาทิตย์ เวลา 14.00-16.00 น. เช่นเดิมครับ

                                  

ภาพประกอบ : การวิเคราะห์ทิศทางตลาดหุ้นไทยในทางเทคนิครายวัน (Daily)  

Source: TQ

5 views

Comments


bottom of page