top of page
456218.jpg

ตลาดหุ้นโลกยังเป็นขาขึ้น หนุนตลาดหุ้นไทยไปต่อ


การเลือกตั้งสหรัฐเป็นปัจจัยบวก ! 

           

ทิศทางของตลาดหุ้นสหรัฐยังคงเป็นปัจจัยหนุนแนวโน้มขาขึ้นของตลาดหุ้นโลกต่อไป หลังจากที่กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ทั่วไป (Headline CPI) ซึ่งรวมหมวดอาหารและพลังงาน ปรับตัวขึ้นเพียง 2.5% ในเดือน ส.ค. 67 เมื่อเทียบรายปี ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 2.6% หลังจากปรับตัวขึ้น 2.9% ในเดือน ก.ค. 67 ส่วนดัชนี CPI พื้นฐาน (Core CPI) ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน ปรับตัวขึ้น 3.2% ในเดือน ส.ค. 67 เมื่อเทียบรายปี สอดคล้องตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ จากระดับ 3.2% ในเดือน ก.ค. 67

           

ขณะที่ผลสำรวจของมหาวิทยาลัยมิชิแกนระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 69.0 ในเดือน ก.ย. 67 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือน พ.ค. 67 และสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 68.3 จากระดับ 67.9 ในเดือน ส.ค. 67

           

ทั้งนี้ดัชนีความเชื่อมั่นของสหรัฐได้รับแรงหนุนจากการที่ผู้บริโภคคลายความกังวลเกี่ยวเงินเฟ้อ รวมทั้งการคาดการณ์ที่ว่า นางกมลา แฮร์ริส รองประธานาธิบดีสหรัฐ และตัวแทนพรรคเดโมแครตในการชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ จะคว้าชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ โดยล่าสุดอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐจากพรรครีพับลิกัน ประกาศว่าเขาจะไม่เข้าร่วมการดีเบตชิงตำแหน่งประธานาธิบดีอีกครั้งกับรองประธานาธิบดีกมลา แฮร์ริส จากพรรคเดโมแครต โดยกล่าวอ้างว่า เขาชนะการดีเบตที่จัดโดย ABC News ในเมืองฟิลาเดลเฟีย สวนทางกับผลสำรวจของ CNN ที่แสดงให้เห็นว่า 63% ของผู้ที่รับชมการดีเบตรู้สึกว่าแฮร์ริสทำได้ดีกว่าบนเวทีในฟิลาเดลเฟีย สอดคล้องกับรายงานของฟอกซ์นิวส์ที่ระบุว่า ผู้ลงคะแนนเสียง 12 คนในคณะกรรมการวิเคราะห์คิดว่าแฮร์ริสชนะการดีเบต ในขณะที่ 5 คนเชื่อว่าทรัมป์ชนะ โดยมีหลายคนกล่าวว่า ทรัมป์ไม่รู้ว่าจะโจมตีคู่ต่อสู้คนใหม่ของเขาในการเลือกตั้งประธานาธิบดีอย่างไร รวมทั้งบทความของ New York Times)ระบุว่าหลังการอภิปราย นักยุทธศาสตร์และเจ้าหน้าที่ของพรรคเดโมแครตหลายคนต่างแสดงความชื่นชมต่อผลงานของแฮร์ริส ขณะที่พรรครีพับลิกันแสดงความไม่พอใจเกี่ยวกับคำถามจากผู้ดำเนินรายการ และยอมรับว่าทรัมป์พลาดโอกาสในการโจมตีคู่แข่งอย่างตรงประเด็น

           

นอกจากนี้ตลาดหุ้นโลกและเอเชียยังมีแนวโน้มที่จะได้รับปัจจัยหนุนจากการที่รัฐบาลจีนอาจกระตุ้นเศรษฐกิจขนานใหญ่ หลังเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่ชะลอตัวออกมาอีก โดยที่ล่าสุดคือตัวเลขการปล่อยกู้ของภาคธนาคารที่อ่อนแอ รวมทั้งการที่ยอดค้าปลีกของจีนเพิ่มขึ้นเพียง 2.1% ในเดือน ส.ค. 67 เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ต่ำกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์ที่สำรวจโดยสำนักข่าวรอยเตอร์คาดการณ์ไว้ว่า อาจจะเพิ่มขึ้น 2.5% และยังชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับการเพิ่มขึ้น 2.7% ในเดือน ก.ค. 67 และตัวเลขการผลิตภาคอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นเพียง 4.5% ในเดือน ส.ค. 67 เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ซึ่งต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 4.8% และชะลอตัวหลังจากเพิ่มขึ้น 5.1% ในเดือน ก.ค. 67

           

สำหรับการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรนั้น การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและการผลิตชะลอตัวลงเมื่อเทียบเป็นรายปีในเดือน ส.ค. 67 เมื่อเทียบกับเดือน ก.ค. 67 ขณะที่การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ลดลง 10.2% นับตั้งแต่ต้นปีจนถึงเดือน ส.ค. 67 ซึ่งเป็นอัตราการลดลงเท่ากับในช่วงต้นปีถึงเดือน ก.ค. 67 ซึ่งตอกย้ำถึงแนวโน้มการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่อ่อนแอในไตรมาส 3 และจีนอาจจำเป็นที่ต้องใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมากขึ้นเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับเศรษฐกิจจีนซึ่งใหญ่เป็นอันดับสองของโลก

           

ขณะที่ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง เรียกร้องให้เจ้าหน้าที่พยายามบรรลุเป้าหมายการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมประจำปีของประเทศ ทำให้มีความคาดหวังว่าจีนจำเป็นต้องมีการดำเนินการเพิ่มเติมเพื่อเสริมสร้างการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่อ่อนแอ โดยเฉพาะการมุ่งเน้นไปที่การกระตุ้นการบริโภคและพิจารณามาตรการเพื่อเพิ่มรายได้ของครัวเรือน รวมทั้งการที่ธนาคารกลางจีนยังคงมีโอกาสที่ปรับลดปริมาณเงินสดสำรองของธนาคารพาณิชย์ ขณะที่เผชิญกับข้อจำกัดบางประการในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง หลังจากที่กิจกรรมเศรษฐกิจของจีนที่อ่อนแอลงทำให้บริษัทโบรกเกอร์ทั่วโลกต้องปรับลดการคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจจีนในปี 2567 ลงต่ำกว่าเป้าหมายทางการของรัฐบาลที่ระดับราว 5%

           

อย่างไรก็ดีตัวเลขเศรษฐกิจจีนในบางส่วนก็เริ่มที่จะฟื้นตัวขึ้น เช่นผลผลิตอุตสาหกรรมของจีน ซึ่งเป็นตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจที่สำคัญ ขยายตัว 4.5% เมื่อเทียบเป็นรายปีในเดือน ส.ค. 67 เมื่อเทียบเป็นรายเดือน ผลผลิตอุตสาหกรรมปรับตัวขึ้น 0.32% ในเดือน ส.ค. 67 เมื่อเทียบกับเดือน ก.ค. 67 ทั้งนี้ผลผลิตอุตสาหกรรมนั้นวัดจากกิจกรรมของบริษัทต่าง ๆ ที่มีรายได้จากธุรกิจหลักประจำปีอย่างน้อย 20 ล้านหยวน (ประมาณ 2.82 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) แต่ตัวเลขดังกล่าวถูกกลบด้วยข่าวร้ายจากราคาบ้านใหม่ในจีนที่ลดลงในอัตราเร็วที่สุดในรอบกว่า 9 ปีในเดือน ส.ค. 67 เนื่องจากมาตรการสนับสนุนไม่สามารถกระตุ้นการฟื้นตัวในภาคอสังหาริมทรัพย์ได้ โดยราคาบ้านใหม่ลดลง 5.3% จากปีที่แล้ว ซึ่งเป็นการลดลงในอัตราเร็วที่สุดนับตั้งแต่เดือน พ.ค. 58 เทียบกับการลดลง 4.9% ในเดือน ก.ค. 67 และเมื่อเทียบเป็นรายเดือน ราคาบ้านใหม่เดือน ส.ค. 67 ลดลงเป็นเดือนที่ 14 ติดต่อกัน โดยลดลง 0.7% เท่ากับการลดลงในเดือน ก.ค. 67

           

ขณะที่ในฝั่งของญี่ปุ่น ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ส่งสัญญาณพร้อมขึ้นดอกเบี้ยอีก หากเงินเฟ้อเป็นไปตามคาด โดย นายจุนโกะ นาคากาวะ ซึ่งเป็นสมาชิกคณะกรรมการนโยบาย ผู้กำหนดนโยบายของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ระบุว่า BOJ จะยังคงปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไป หากเงินเฟ้อปรับตัวตามคาด ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณว่า การร่วงลงของตลาดในเดือนที่ผ่านมาไม่ได้ส่งผลกระทบต่อแผนการของ BOJ ที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่อง โดยมองว่าเมื่อพิจารณาจากอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงในปัจจุบันที่ยังอยู่ในระดับต่ำมาก เราจะปรับระดับการสนับสนุนทางการเงินโดยยึดหลักการบรรลุเป้าหมายเงินเฟ้อที่ระดับ 2% อย่างยั่งยืน หากเศรษฐกิจและเงินเฟ้อเป็นไปตามการคาดการณ์ของเรา

           

ทั้งนี้ BOJ ยุติการใช้อัตราดอกเบี้ยติดลบในเดือน มี.ค. 67 ที่ผ่านมา และได้ปรับเป้าหมายอัตราดอกเบี้ยนโยบายระยะสั้นขึ้นเป็น 0.25% ในเดือน ก.ค. 67 ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงนโยบายครั้งสำคัญจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่ดำเนินมาเป็นเวลานานนับ 10 ปี อย่างไรก็ดีแนวความคิดนี้จะได้รับแรงกดดันทางการเมืองแน่นอน โดยที่ล่าสุด ซานาเอะ ทาคาอิจิ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงความมั่นคงทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่น และตัวเก็งในการชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคเสรีประชาธิปไตย (LDP) ออกมาให้ความเห็นชัดเจนว่า ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ไม่ควรปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในขณะนี้ เนื่องจากเศรษฐกิจกำลังใกล้จะฟื้นตัวจากภาวะชะงักงัน นอกจากนี้รัฐบาลไม่ควรลดการใช้จ่ายหรือเพิ่มอัตราดอกเบี้ย และจำเป็นต้องสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค ทั้งนี้พรรค LDP จะเลือกผู้นำพรรคคนใหม่ในวันที่ 27 ก.ย. 67 นี้ โดยผู้ชนะจะได้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี เนื่องจากพรรค LDP มีเสียงข้างมากในรัฐสภาญี่ปุ่น

           

ตลาดหุ้นและเศรษฐกิจไทยมีปัจจัยหนุนปลายปี ! ในส่วนของเศรษฐกิจไทยและตลาดหุ้นไทยมีปัจจัยหนุนจากการที่ ล่าสุดปลัดกระทรวงการคลัง ระบุว่ามีโอกาสที่จะได้เห็นเศรษฐกิจไทยเติบโตได้ถึง 3% อย่างแน่นอน โดยเฉพาะในไตรมาส 4/2567 ที่จะได้เห็นการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของ GDP หลังจากมีเม็ดเงินของโครงการดิจิทัลวอลเล็ตที่จะแจกเป็นเงินสด ให้กับกลุ่มเปราะบางก่อน 14.5 ล้านคน ซึ่งเริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 25 ก.ย. 67 นี้ ซึ่งมีเม็ดเงินสูงถึง 1.45 แสนล้านบาท นับเป็นวงเงินใหญ่สุดเท่าที่เคยมีมา

           

นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยหนุนจากการลงทุนในกองทุนรวมวายุภักษ์ 1 ที่จะเริ่มดำเนินการในวันที่ 1 ต.ค. 67 นี้ ซึ่งจะช่วยให้ตลาดทุนไทยกลับมามีเสถียรภาพ เพิ่มความเชื่อมั่นและสร้างความมั่นใจให้แก่นักลงทุน ขณะเดียวกัน ยังมีเม็ดเงินจากงบประมาณปี 2568 ที่จะเริ่มต้นในวันที่ 1 ต.ค. 67 ด้วยเช่นกัน ซึ่งถือเป็นเม็ดเงินใหม่ที่จะเข้ามาช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้

           

ในส่วนของกลยุทธ์ สำหรับการลงทุนระยะสั้น (ไม่เกิน 1 สัปดาห์) ตราบใดที่ SET ยังคงแกว่งตัวเหนือกว่า 1,370 จุดได้ เน้น “อ่อนตัวซื้อลงทุน” สำหรับการลงทุนระยะกลาง (1-3 เดือน) ในลักษณะ Long-Only แนะนำ “เพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้นไปที่ระดับ 75% ของพอร์ต”  

           

ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่ความเห็นส่วนตัวของผมนะครับ โปรดใช้วิจารณญาณ และศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนการตัดสินใจลงทุนด้วยครับ สำหรับการพูดคุยกันระหว่างสัปดาห์นอกจากทาง Facebook ที่ www.facebook.com/hippowealththailand และ e-mail ที่ hippowealththailand@gmail.com แล้ว แฟนๆ ยังสามารถติดตามมุมมองเกี่ยวกับการลงทุนจาก “นายหมูบิน” ได้ในรายการ  “เซียนเศรษฐกิจ” ทาง FM 97.00 ทุกวันอาทิตย์ เวลา 14.00-16.00 น. เช่นเดิมครับ

                               

ภาพประกอบ : การวิเคราะห์ทิศทางตลาดหุ้นไทยในทางเทคนิครายวัน (Daily)

Source: TQ

Comments


bottom of page