เอเชียกลับมาน่าสนใจระยะสั้น !
ชัดเจนว่าแนวโน้มในระยะกลาง 1-3 เดือนของตลาดหุ้นสหรัฐที่เป็นตัวแทน หรือ Proxy ของตลาดหุ้นโลกยังคงเป็นขาขึ้น หลังจากที่ล่าสุดดัชนี CBOE Volatility Index หรือ VIX Index ซึ่งเป็นมาตรวัดความวิตกของนักลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐ ร่วงลงต่ำกว่าระดับ 20 บ่งชี้ว่านักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยของสหรัฐ ขณะที่ล่าสุดธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาแอตแลนตา เปิดเผยแบบจำลองคาดการณ์ GDPNow ล่าสุดแสดงให้เห็นว่า เศรษฐกิจสหรัฐจะขยายตัว 2.5% ในไตรมาส 3 ปี 2567 ต่อเนื่องจากที่ขยายตัว 1.4% ในไตรมาส 1 และ 3.0% ในไตรมาส 2 และล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่านักลงทุนให้น้ำหนัก 73% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 5.00-5.25% ในการประชุมวันที่ 18 ก.ย. 67 หลังจากให้น้ำหนัก 62% เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งหากเฟดลดอัตราดอกเบี้ยตามคาดในเดือนนี้ ก็จะเป็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกของเฟดในรอบกว่า 4 ปี หรือนับตั้งแต่ปี 2563 ซึ่งขณะนั้นเฟดได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงใกล้ 0% เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ท่ามกลางการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
อย่างไรก็ดีโอกาสที่ตลาดหุ้นสหรัฐที่ปรับตัวขึ้นมามากก่อนหน้านี้จะพักตัวลงสั้นๆ หรือปรับตัวขึ้นน้อยกว่าตลาดหุ้นเอเชียและไทยในระยะต่อไปมีค่อนข้างมาก โดยเฉพาะเมื่อมีแรงกดดันจากปัจจัยทางการเมืองที่ล่าสุดในการแข่งขันชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ ผลสำรวจผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งที่จัดทำโดยหนังสือพิมพ์เดอะนิวยอร์กไทมส์และวิทยาลัยเซียนาพบว่า โดนัลด์ ทรัมป์ มีคะแนนนำ 1% โดยมีคะแนน 48% เมื่อเทียบกับ กมลา แฮร์ริส ที่ 47% รวมทั้งการที่ล่าสุด นางเจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีคลังสหรัฐ ออกมาระบุแล้วว่าจะวางมือจากการทำหน้าที่รัฐมนตรีคลัง หลังจากประธานาธิบดีโจ ไบเดน สิ้นสุดวาระการดำรงตำแหน่งในเดือน ม.ค.ปีหน้า
นอกจากนี้ในฝั่งของตลาดหุ้นยุโรป ก็อาจไม่สามารถเป็นเป้าหมายของเงินทุนที่จะไหลออกจากสหรัฐ หลังการลดดอกเบี้ยของเฟดได้ หลังจากที่ล่าสุดมอร์แกน สแตนลีย์คาดการณ์ว่า สกุลเงินยูโรจะอ่อนค่าลงจนเทียบเท่ากับสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า เนื่องจากธนาคารกลางยุโรป (ECB) เร่งการผ่อนคลายนโยบายการเงิน เพื่อรับมือกับภาวะชะลอตัวทางเศรษฐกิจ โดยคาดการณ์ว่า ยูโรจะร่วงลงแตะระดับ 1.02 ดอลลาร์ภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งเป็นการอ่อนค่าลงประมาณ 7% จากระดับปัจจุบัน โดยการคาดการณ์ดังกล่าวพิจารณาจากมุมมองที่ว่า ECB จะเดินหน้าปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุม 3 ครั้งหน้า รวมถึงความเป็นไปได้ที่จะมีการลดอัตราดอกเบี้ยลงมากถึง 0.50% ซึ่งการคาดการณ์ดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่ามอร์แกน สแตนลีย์ มีมุมมองด้านลบต่อสกุลเงินยูโรมากที่สุด โดยเฉพาะหลังจากที่สำนักงานสถิติเยอรมนีเปิดเผยตัวเลขประมาณการ เงินเฟ้อเดือน ส.ค. 67 ของเยอรมนีลดลงแตะระดับต่ำสุดในรอบกว่า 3 ปี อาจเป็นสัญญาณให้ธนาคารกลางยุโรป (ECB) พิจารณาลดดอกเบี้ย ขณะที่ตลาดหุ้นเอเชียจะได้รับปัจจัยหนุนจากแนวโน้มของเศรษฐกิจจีนที่ฟื้นตัวขึ้น หลังจากที่สำนักงานศุลกากรจีน (GAC) รายงานตัวเลขส่งออกพุ่งขึ้น 8.7% ในเดือน ส.ค. 67 เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งแข็งแกร่งกว่าที่นักวิเคราะห์ในโพลสำรวจของสำนักข่าวรอยเตอร์คาดการณ์ว่าอาจจะเพิ่มขึ้น 6.5% และดีกว่าในเดือน ก.ค. 67 ที่ปรับตัวขึ้น 7% โดยที่ยอดส่งออกจากจีนไปยังประเทศคู่ค้ารายใหญ่ ซึ่งได้แก่สหรัฐ, สหภาพยุโรป (EU) และประเทศในกลุ่มอาเซียน ต่างก็ปรับตัวขึ้นในเดือน ส.ค. 67 โดยยอดส่งออกไปยัง EU ปรับตัวขึ้นมากที่สุด โดยพุ่งขึ้น 13% แม้ว่าความตึงเครียดทางการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐ และ EU จะทวีความรุนแรงมากขึ้น และนำไปสู่การที่จีนถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าและสินค้าประเภทอื่นๆ เพิ่มขึ้น
ตลาดหุ้นไทยมีปัจจัยหนุนเฉพาะตัวที่แรงมาก ! อย่างไรก็ดีความเสี่ยงในภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีน ที่ล่าสุด นายบิล วินเทอร์ส ซีอีโอของธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด ระบุว่าภาคอสังหาริมทรัพย์จีนยังอยู่ในช่วงขาลง และยังไม่แตะจุดต่ำสุด แม้ว่าจะผ่านพ้นช่วงเวลาแห่งความผันผวนในปีที่ผ่านมา จะทำให้เม็ดเงินที่ไหลเข้ามาในตลาดหุ้นภูมิภาค จะยังไม่ไหลกลับเข้าที่จีนโดยตรงทั้งหมด ซึ่งจะทำให้ตลาดหุ้นไทยที่มีปัจจัยหนุนเฉพาะตัวที่แข็งแกร่งเป็นเป้าหมายของเงินทุนไหลเข้าในระยะสั้นๆ นี้ โดยเฉพาะเม็ดเงินลงทุนที่จะเข้ามาจากกองทุนวายุภักษ์ 1 เกือบ 1.5 แสนล้านบาท ที่จะเปิดให้นักลงทุนรายย่อยจองซื้อหน่วยลงทุนประเภท ก. รอบใหม่ได้เป็นกลุ่มแรกในวันที่ 16-20 ก.ย. 67 นี้ วงเงินรวมเบื้องต้น 3.5 หมื่นล้านบาท ในราคาเสนอขายหน่วยละ 10 บาท โดยสามารถจองซื้อขั้นต่ำ 1 หมื่นบาท และเพิ่มขึ้นได้ครั้งละ 1,000 บาท จัดสรรในรูปแบบ Small Lot First ซึ่งจะประกาศผลการจัดสรรในวันที่ 25 ก.ย. 67 โดยมีการกำหนดอัตราผลตอบแทนขั้นต่ำ 3% ต่อปี และขั้นสูงไม่เกิน 9% ต่อปี คงที่ตลอดระยะเวลาการถือลงทุน 10 ปี ส่วนที่เหลือราว 1.0-1.2 แสนล้านบาท จะเสนอขายให้กับนักลงทุนประเภทสถาบันในช่วงวันที่ 18-20 ก.ย. 67
นอกจากนี้คาดว่ากองทุนวายุภักษ์ 1 จะเริ่มนำเงินเม็ดเงินระดมทุนใหม่เข้าลงทุนในตลาดหุ้นไทยได้ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 67 และจะนำหน่วยลงทุนเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์วันที่ 7 ต.ค. 67 ซึ่งกองทุนวายุภักษ์ 1 จะเน้นลงทุนในหุ้นบริษัทที่มีปัจจัยพื้นฐานดี มีความมั่นคงในระยะยาว ดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน และมีการกำกับดูแลกิจการที่ดี อาทิ บริษัทใน SET100 ที่ได้รับคะแนน SET ESG Ratings ระดับ A ขึ้นไป หรือบริษัทนอก SET100 ที่ได้รับคะแนน SET ESG Ratings ที่สูงกว่า เป็นต้น รวมทั้งอาจพิจารณาลงทุนในกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ และทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ที่มีอัตราผลตอบแทนดีหรือมีแนวโน้มเติบโตสูง มีสภาพคล่องและมีการกำกับดูแลกิจการที่ดี ซึ่งถ้าเอาตามแผนที่ระบุดังกล่าวคาดว่าจะหนุนให้ตลาดหุ้นไทยยังคงอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นระยะสั้นๆ จนถึงสิ้นปีนี้ได้แน่นอน
นอกจากนี้ตลาดหุ้นไทยยังมีปัจจัยหนุนจากนโยบายใหม่ของรัฐบาลด้วย โดยเฉพาะการที่กระทรวงการคลัง เตรียมออกมาตรการลดหย่อนภาษีนิติบุคคล 1.5 เท่า แลกกับการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาทต่อวัน เพื่อบรรเทาผลกระทบผู้ประกอบการ ซึ่งกระทรวงแรงงานจะให้เริ่มพร้อมกันทั่วประเทศ 1 ต.ค. 67 นี้ พร้อมลดเงินนำส่งสำหรับนายจ้าง 1% ตั้งแต่เดือน ต.ค. 67 ถึงเดือน ก.ย. 68 รวม 12 เดือน ขณะที่การลงทุนและการใช้จ่ายภาครัฐจะเริ่มเดินเครื่องได้อย่างเต็มที่แล้ว หลังจากที่ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 วงเงิน 3.75 ล้านล้านบาท วุฒิสภาลงมติให้ความเห็นชอบแล้ว โดยที่ล่าสุดน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เตรียมปรับโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต เป็นในรูปแบบของเงินสด หลังพบว่าเรื่องของระบบต้องใช้เวลานาน แต่เศรษฐกิจของประเทศรอไม่ได้ จึงต้องมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบให้กับประชาชนก่อน
ในส่วนของการลงทุน คณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดใหม่ เตรียมประกาศผลักดันนโยบายรถไฟฟ้าไม่เกิน 20 บาทตลอดสายให้ครบทุกสายภายในเดือน ก.ย. 68 หลังจากนำร่องกับรถไฟชานเมืองสายสีแดง และ MRT สายสีม่วง ตั้งแต่เดือน ต.ค. 66 ทำให้ทั้ง 2 สาย มีผู้โดยสารรวมเพิ่มขึ้นถึง 26.39% และจากแผนที่คาดว่ารายได้จะกลับมาเท่าก่อนใช้มาตรการในเดือน พ.ค. 69 (ภายในระยะ 2 ปี 7 เดือนหลังจากเริ่มนโยบาย) หากปริมาณผู้โดยสารเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จะทำให้รายได้กลับมาเท่าเดิมเร็วขึ้นภายในปี 2568 รวมทั้งยืนยันที่จะเดินหน้าโครงการ Landbridge ซึ่งเป็นโครงการเรือธงของรัฐบาล โดยภาครัฐรับผิดชอบค่าเวนคืน ส่วนเอกชนเป็นผู้ลงทุน ซึ่งหากขาดทุนก็เป็นความเสี่ยงของเอกชน
จากการโรดโชว์พบว่าเอกชนหลายรายให้ความสนใจโครงการนี้ จึงเชื่อว่าเมื่อ พ.ร.บ. SEC ได้รับความเห็นชอบ และเปิดประมูล จะมีเอกชนจะเข้าประมูลหลายรายแน่นอน ซึ่งผู้เสนอผลตอบแทนรัฐสูงสุดจะเป็นผู้ชนะ และเชื่อว่าโครงการนี้จะได้รับผลตอบแทนที่ดี เบื้องต้นคาด พ.ร.บ. SEC จะเริ่มประกาศใช้ในช่วงปี 2568 และจะดำเนินการก่อสร้างระยะที่ 1 ภายในปลายปี 2573 ต่อไป และกระทรวงคมนาคมมีแผนลงทุนโครงการจำนวนมาก เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่ง เช่น รถไฟทางคู่ รถไฟความเร็วสูง
ในส่วนของกลยุทธ์ สำหรับการลงทุนระยะสั้น (ไม่เกิน 1 สัปดาห์) ตราบใดที่ SET ยังคงแกว่งตัวเหนือกว่า 1,370 จุดได้ เน้น “อ่อนตัวซื้อลงทุน” สำหรับการลงทุนระยะกลาง (1-3 เดือน) ในลักษณะ Long-Only แนะนำ “เพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้นไปที่ระดับ 75% ของพอร์ต”
ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่ความเห็นส่วนตัวของผมนะครับ โปรดใช้วิจารณญาณ และศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนการตัดสินใจลงทุนด้วยครับ สำหรับการพูดคุยกันระหว่างสัปดาห์นอกจากทาง Facebook ที่ www.facebook.com/hippowealththailand และ e-mail ที่ hippowealththailand@gmail.com แล้ว แฟนๆ ยังสามารถติดตามมุมมองเกี่ยวกับการลงทุนจาก “นายหมูบิน” ได้ในรายการ ”เซียนเศรษฐกิจ” ทาง FM 97.00 ทุกวันอาทิตย์ เวลา 14.00-16.00 น. เช่นเดิมครับ
ภาพประกอบ : การวิเคราะห์ทิศทางตลาดหุ้นไทยในทางเทคนิครายวัน (Daily)
Source: TQ
Comments