top of page
312345.jpg

ตลาดหุ้นสหรัฐยังกำหนดทิศทางหุ้นโลก


ยังคงรักษา Momentum ได้ !

ในภาพใหญ่ของตลาดหุ้นโลกยังคงรักษา Momentum ขาขึ้นได้อย่างต่อเนื่องในช่วงหลังปีใหม่ หลังจากที่ว่าที่อดีตประธานาธิบดี Donald Trump ยอมลงนามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 9 แสนล้านดอลลาร์ ประกอบด้วยเงินสวัสดิการให้กับประชาชนคนละ 600 ดอลลาร์, เงินช่วยเหลือผู้ว่างงาน ให้สัปดาห์ละ 300 ดอลลาร์ ต่อไปจนถึง 14 มีนาคม 2564, เงินอุดหนุนจ่ายค่าเช่าและที่พักอาศัยให้กับผู้ที่อาศัยอยู่ในที่พักที่รัฐบาลเป็นเจ้าของ และเงินช่วยเหลือธุรกิจและสวัสดิการของประชาชนที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 โดยช่วยทั้งธุรกิจเล็ก และใหญ่

นอกจากนี้ Donald Trump ยังได้ลงนามในร่างงบประมาณวงเงิน 1.4 ล้านล้านดอลลาร์ เพื่อให้หน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐสามารถเปิดดำเนินการต่อไปจนถึงวันที่ 30 ก.ย. 64 ด้วย ดังนั้นปัญหาเรื่อง Government Shutdown ของสหรัฐที่เคยเป็นปัจจัยกดดันตลาดหุ้นโลกในช่วงครึ่งปีหลัง 2563 ก็จะไม่เกิดขึ้นในปี 2564 นี้

ในส่วนของความคืบหน้าที่ดีขึ้นจากปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ดูเหมือนจะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยหนุนที่สำคัญของตลาดหุ้นโลกด้วย หลังจากที่ล่าสุดสำนักข่าว Bloomberg ได้รายงานว่าขณะนี้กระบวนการฉีดวัคซีนครั้งใหญ่ที่สุดในโลกได้เริ่มขึ้นแล้ว โดยประชาชนใน 9 ประเทศทั่วโลกได้รับการฉีดวัคซีนต้านไวรัส COVID-19 คิดเป็นจำนวนมากกว่า 4.4 ล้านโดส ทั้งนี้สหรัฐจะเป็นประเทศที่ได้รับการฉีดวัคซีน COVID-19 มากที่สุดในโลก โดยที่ในขณะนี้รัฐบาลสหรัฐได้ฉีดวัคซีนให้แก่ประชาชนจำนวน 1.94 ล้านโดส หลังจากที่เริ่มมีการฉีดวัคซีนให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ในวันที่ 14 ธ.ค.2563

นอกจากนี้อังกฤษได้กลายเป็นประเทศแรกของโลกที่อนุมัติการใช้วัคซีนต้าน COVID-19 ของบริษัท Astrazeneca ที่พัฒนาร่วมกับมหาวิทยาลัย Oxford แล้ว ทั้งนี้อังกฤษได้สั่งซื้อวัคซีนถึง 100 ล้านโดส ซึ่งเพียงพอสำหรับฉีดวัคซีนถึง 50 ล้านคน

ขณะที่รัฐบาลสิงคโปร์เริ่มฉีดวัคซีนต้านไวรัส COVID-19 ของบริษัท Pfizer ให้กับประชาชนแล้ว ซึ่งถือเป็นหนึ่งในประเทศแรกๆ ในเอเชียที่เริ่มฉีดวัคซีนต้านโรค COVID-19 ทั้งนี้ในส่วนของสำนักวิจัยอย่าง Morgan Stanley ประเมินว่าหากวัคซีนต้าน COVID-19 สามารถใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และการระบาดของ COVID-19 ไม่ได้รุนแรงในช่วงฤดูหนาว รวมถึงพรรค Democrat ชนะการเลือกตั้ง ส.ว.ใหม่ในเขตจอร์เจีย จะส่งผลให้ตลาดหุ้นทั่วโลกในช่วงปี 2564 เกิด Bull Case ได้ ขณะที่ผลสำรวจความเชื่อมั่นของนักลงทุนสหรัฐจาก AAII ที่ระบุว่าในสัปดาห์ที่ผ่านมา สัดส่วนนักลงทุนที่เชื่อว่าตลาดหุ้นสหรัฐในระยะ 6 เดือนข้างหน้ายังคงเป็นขาขึ้น หรือ Bullish เพิ่มขึ้น 2.59% เมื่อเทียบจากสัปดาห์ที่ผ่านมา มาอยู่ที่ 46.08% ขณะที่สัดส่วนนักลงทุนที่เชื่อว่าตลาดหุ้นสหรัฐในระยะ 6 เดือนข้างหน้ากำลังกลับเป็นขาลง หรือ Bearish ที่ลดลง 4.81% เมื่อเทียบจากสัปดาห์ที่ผ่านมา มาอยู่ที่ 26.80%

ปัจจัยที่ต้องระวังคือ COVID-19 กลายพันธุ์ ! ทั้งนี้แม้ว่าในเบื้องต้นตลาดหุ้นโลก และตลาดหุ้นภูมิภาค จะได้ปัจจัยหนุนในด้านสภาพคล่องจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด มีมติคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ระดับ 0.00-0.25% พร้อมระบุว่าจะยังคงใช้เครื่องมือทุกอย่างในการสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจเพื่อให้มีการจ้างงานเต็มศักยภาพ และเงินเฟ้อปรับตัวขึ้นเหนือระดับเป้าหมาย 2% นอกจากนี้จะยังคงเดินหน้าซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) วงเงินรวม 1.2 แสนล้านดอลลาร์/เดือนต่อไป โดยจะซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐวงเงิน 8 หมื่นล้านดอลลาร์/เดือน และซื้อตราสารหนี้ที่มีสินเชื่อที่อยู่อาศัยเป็นหลักประกันการจำนอง (MBS) ในวงเงิน 4 หมื่นล้านดอลลาร์/เดือน

นอกจากนี้เฟดได้ปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP Growth ของสหรัฐในปี 2563 ขึ้น จากที่เคยมองว่าจะหดตัว 3.7% ปรับขึ้นมาเป็นติดลบเพียง 2.4% เท่านั้น ขณะที่คาดการณ์ GDP Growth ในปี 2564 ถูกปรับเพิ่มขึ้นเป็นขยายตัว 4.2% จากเดิมที่มองว่าจะโต 4% เฟดยังปรับลดอัตราการว่างงานของปีนี้ลงมาอยู่ที่ 6.7% จากที่เคยมองไว้ที่ 7.6% และในปีหน้าอัตราการว่างงานจะลดเหลือเพียง 5.0%

แต่ประเด็นที่ “นายหมูบิน” มองว่าจะกดดันกรอบการขยับขึ้นของตลาดหุ้นโลกอยู่พอสมควรคือ การเกิดขึ้นของ COVID-19 สายพันธุ์ใหม่จากอังกฤษ ซึ่งล่าสุดไต้หวันประกาศปิดประเทศ แบนต่างชาติเดินทางเข้า ซึ่งประกาศคำสั่งห้ามเดินทางดังกล่าว จะมีผลบังคับใช้ราว 1 เดือน หลังจากพบชาวไต้หวันรายหนึ่ง ซึ่งเดินทางกลับจากอังกฤษเมื่อวันอาทิตย์ที่ 3 มกราคม ได้ติดเชื้อไวรัส COVID-19 สายพันธุ์ใหม่ ซึ่งมีการแพร่ระบาดรวดเร็วกว่าเดิมถึง 70% ขณะที่จีนยืนยันตรวจพบผู้ติดเชื้อไวรัสกลายพันธุ์จากอังกฤษแล้ว วันเดียวหลังจากไต้หวันสั่งปิดประเทศไป ส่วนสหรัฐได้รับรายงานว่าตรวจพบไวรัสสายพันธุ์ใหม่นี้อย่างเป็นทางการแล้วเช่นกัน

รายงานนี้สร้างความกังวลให้กับว่าที่ประธานาธิบดี Joe Biden เป็นอย่างมาก และได้มีการส่งสัญญาณที่จะเร่งแจกจ่ายวัคซีนให้เร็วที่สุดทันทีที่เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีอย่างเป็นทางการในวันที่ 20 ม.ค. 64 โดยตอนนี้ทางอังกฤษเองก็ยังไม่สามารถควบคุมการระบาดไว้ได้ ถึงแม้ว่าจะเปลี่ยนมาใช้มาตรการ Lockdown ระดับ 4 แล้ว จนทาง Boris Johnson นายกรัฐมนตรีของอังกฤษอาจมีแผนต้องปรับความเข้มข้นของการ Lockdown ขึ้นเป็นระดับ 5 ในบางพื้นที่ ในส่วนของตลาดหุ้นไทยในเชิงของเทคนิค การที่ Indicator อย่าง MACD ของดัชนี Accumulated Foreign Fund Flow ยังมีสัญญาณ Negative Convergence ต่อเนื่อง หลังจากที่ไทยพบกับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 รอบใหม่ สะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มการไหลออกของเม็ดเงินจากนักลงทุนต่างชาติในตลาดหุ้นไทยจะยังคงมีอยู่ในระยะสั้นต่อไป

นอกจากนี้ตราบใดที่ SET ยังคงไม่สามารถทะลุผ่าน 1,500 จุดไปได้ ในระยะสั้น SET ยังคงอยู่ในทิศทางของการแกว่งตัวลง โดยมีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 รอบใหม่เป็นปัจจัยกดดันสำคัญ และมีบริเวณ 1,400-1,350 จุดเป็นกรอบแนวรับที่ SET จำเป็นต้องสร้างฐานต่อไป

ในส่วนของกลยุทธ์ สำหรับการลงทุนระยะสั้น (ไม่เกิน 1 สัปดาห์) ตราบใดที่ SET ยังกลับไปยืนเหนือ 1,500 จุด (+/-) ไม่ได้ เน้น “ดีดขึ้นขาย” ในลักษณะ “Short Against” เพื่อรอกลับมาทยอยสะสมในหุ้น CPALL, BJC, BEM, CRC, AOT, GPSC, PTTGC, WHA และ BDMS อีกครั้ง สำหรับการลงทุนระยะกลาง (1-3 เดือน) ในลักษณะ Long-Only แนะนำ “คงสัดส่วนการลงทุนในหุ้นมาอยู่ที่ระดับ 25% ของพอร์ต”

ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่ความเห็นส่วนตัวของผมนะครับ โปรดใช้วิจารณญาณ และศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนการตัดสินใจลงทุนด้วยครับ สำหรับการพูดคุยกันระหว่างสัปดาห์นอกจากทาง Facebook ที่ www.facebook.com/wealthhuntersclub และ e-mail ที่ moobin.stockmania@gmail.com แล้ว แฟนๆ ยังสามารถติดตามมุมมองเกี่ยวกับการลงทุนจาก “นายหมูบิน” ได้ในรายการ “เซียนเศรษฐกิจ” ทุกวันอาทิตย์ เวลา 14.00-16.00 น. ทาง FM 97 เช่นเดิมครับ

 

ภาพประกอบ : การวิเคราะห์ทิศทางตลาดหุ้นไทยในทางเทคนิครายวัน (Daily)

Source: Wealth Hunters Club

17 views
bottom of page