top of page
image.png

สัญญาณชัด...แนวโน้มของตลาดหุ้นโลกยังไปต่อ


สหรัฐยังเป็นผู้นำตลาดหุ้นโลก ! 

           

ตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวขึ้นสู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์อีกครั้ง หลังจากที่กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดตัวเลขการใช้จ่ายส่วนบุคคลของผู้บริโภคสหรัฐเดือน ก.ค. 67 เพิ่มขึ้น 0.5% สอดคล้องตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ และเพิ่มขึ้นจากระดับ 0.3% ในเดือน มิ.ย. 67 นอกจากนี้ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคลทั่วไป (Headline PCE) ซึ่งรวมหมวดอาหารและพลังงาน เดือน ก.ค. 67 ยังปรับตัวขึ้นเพียง 2.5% เมื่อเทียบรายปี ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 2.6% จากระดับ 2.5% ในเดือน มิ.ย. 67 ส่วนดัชนี PCE พื้นฐาน (Core PCE) ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงานเดือน ก.ค. 67 ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ให้ความสำคัญ ปรับตัวขึ้น 2.6% เมื่อเทียบรายปี ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 2.7% จากระดับ 2.6% ในเดือน มิ.ย. 67 ทั้งนี้ดัชนี PCE ถือเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่สามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมของผู้บริโภค และครอบคลุมราคาสินค้าและบริการในวงกว้างมากกว่าดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI)

           

ขณะที่เครื่องมือ FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า บรรดาเทรดเดอร์ส่วนใหญ่คาดว่า เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงเพียง 0.25% ในเดือน ก.ย. 67 แนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐยังคงอยู่ในทิศทางที่ดีขึ้นต่อเนื่อง หลังผลสำรวจของมหาวิทยาลัยมิชิแกนระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐเดือน ส.ค. 67ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 67.9 ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นเป็นครั้งแรก หลังจากร่วงลงติดต่อกัน 4 เดือน และสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 67.8 จากระดับ 66.4 ในเดือน ก.ค. 67 ขณะเดียวกันธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาแอตแลนตา เปิดเผยว่า แบบจำลองคาดการณ์ GDPNow ล่าสุดแสดงให้เห็นว่า เศรษฐกิจสหรัฐขยายตัว 2.5% ในไตรมาส 3 ปี 2567 ต่อเนื่องจากที่เศรษฐกิจสหรัฐขยายตัว 1.4% ในไตรมาส 1 และ 3.0% ในไตรมาส 2

           

นอกจากนี้ตลาดหุ้นโลกยังคงได้รับปัจจัยหนุนจากฝั่งของยุโรปและเอเชียด้วย โดยที่ในฝั่งยุโรป อัตราเงินเฟ้อของฝรั่งเศสชะลอตัวแตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือน ก.ค. 64 ทำให้มีความเป็นไปได้มากขึ้นที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก หลังจากที่เงินเฟ้อเยอรมนีและสเปนชะลอตัวเช่นเดียวกัน โดยที่ล่าสุดสำนักงานสถิติแห่งชาติของฝรั่งเศส (INSEE) เปิดเผยข้อมูลดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ปรับตัวขึ้น 2.2% ในเดือน ส.ค. 67 เมื่อเทียบเป็นรายปี หลังจากที่เพิ่มขึ้น 2.7% ในเดือน ก.ค. 67 ซึ่ง ข้อมูลดังกล่าวสนับสนุนความหวังที่ว่า ธนาคารกลางยุโรป (ECB) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกในเดือน ก.ย. 67 หลังจากที่เงินเฟ้อของเยอรมนีลดลงสู่ระดับ 2% ในเดือน ส.ค. 67 ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ที่ 2.3% ส่วนเงินเฟ้อของสเปนก็ลดลงมากเกินคาดเช่นกัน หลังจากที่ ECB มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยเมื่อเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2562 และตลาดคาดว่าการลดดอกเบี้ยครั้งต่อไปจะเกิดขึ้นในการประชุมวันที่ 12 ก.ย. 67 เนื่องจากการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยังคงซบเซาและแรงกดดันด้านค่าจ้างที่ลดลงช่วยสนับสนุนมุมมองที่ว่าเงินเฟ้อจะกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมาย 2% ในปีหน้า

           

ปัจจัยหนุนตลาดหุ้นเอเชียและไทยเพิ่มขึ้นมาก ! ในส่วนของเอเชียได้รับปัจจัยหนุนจากการที่เศรษฐกิจญี่ปุ่นเริ่มปรากฏสัญญาณบวก เมื่อผลสำรวจภาคเอกชนชี้ว่าภาคการผลิตเดือน ส.ค. 67หดตัวในอัตราที่ชะลอลง โดยได้รับแรงหนุนจากการฟื้นตัวของผลผลิตและคำสั่งซื้อใหม่ โดยที่ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตขั้นสุดท้ายของญี่ปุ่นเดือน ส.ค. 67 จาก au Jibun Bank ปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ 49.8 เพิ่มขึ้นจาก 49.1 ในเดือน ก.ค. 67 และสูงกว่าตัวเลขเบื้องต้นที่ 49.5 แม้ดัชนียังคงต่ำกว่าระดับ 50 ติดต่อกันเป็นเดือนที่สอง แต่ก็สะท้อนให้เห็นถึงสัญญาณการฟื้นตัว ทั้งนี้ดัชนี PMI ที่ระดับสูงกว่า 50 บ่งชี้ว่ากิจกรรมทางธุรกิจอยู่ในภาวะขยายตัว ส่วนดัชนีที่ต่ำกว่า 50 บ่งชี้ว่าอยู่ในภาวะหดตัว โดยที่ดัชนีผลผลิตในเดือน ส.ค. 67 ขยายตัวแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือน พ.ค. 65 โดยได้รับแรงหนุนจากคำสั่งซื้อใหม่ที่เพิ่มขึ้น และการผลิตสินค้ารุ่นใหม่เป็นจำนวนมาก

           

อย่างไรก็ดีแม้การส่งออกที่อ่อนแอจะสร้างความกังวลต่อผู้กำหนดนโยบาย แต่การฟื้นตัวของการบริโภคภายในประเทศถือเป็นปัจจัยบวกที่ช่วยพยุงเศรษฐกิจ และสนับสนุนการคาดการณ์ว่าธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) จะยังคงเดินหน้าขึ้นอัตราดอกเบี้ย แม้จะยุติโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่ดำเนินมาเป็นเวลา 10 ปีแล้วก็ตาม

           

ในฝั่งของจีน ล่าสุดดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตของจีนกลับมาขยายตัวอีกครั้งในเดือน ส.ค. 67 โดยความแข็งแกร่งของยอดสั่งซื้อใหม่เป็นปัจจัยหนุนการผลิต ทั้งนี้ดัชนี PMI ภาคการผลิตของจีนเดือน ส.ค. 67 ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 50.4 จากระดับ 49.8 ในเดือน ก.ค. 67 และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์ในโพลสำรวจของสำนักข่าวรอยเตอร์คาดการณ์ไว้ที่ระดับ 50.0 อย่างไรก็ดีสิ่งที่น่าจับตานักเศรษฐศาสตร์ของไฉซิน อินไซต์ กรุ๊ป ระบุว่าแม้ดัชนี PMI ภาคการผลิตที่สำรวจโดยไฉซินจะมีการขยายตัวในเดือน ส.ค. 67 แต่ก็เป็นการขยายตัวในรอบจำกัดเท่านั้น และเมื่อพิจารณาถึงเป้าหมายการเติบโตรายปีที่รัฐบาลจีนคาดหวังไว้นั้น คาดว่าจีนจะยังคงเผชิญกับความท้าทายและความยากลำบากในการบรรลุเป้าหมายดังกล่าวในช่วงหลายเดือนข้างหน้านี้

           

ในส่วนของไทย แนวโน้มทางเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวเริ่มมีความชัดเจนขึ้นในหลายๆ ส่วน โดยในส่วนของการลงทุน กระทรวงพาณิชย์ ได้เปิดเผยว่าในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2567 ได้อนุญาตให้คนต่างชาติเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทยตาม พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 จำนวน 460 ราย เงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 90,987 ล้านบาท จ้างงานคนไทย 2,149 คน โดยชาวต่างชาติที่เข้ามาลงทุนมากที่สุด ได้แก่ญี่ปุ่น 117 ราย คิดเป็น 25% ของจำนวนธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 47,879 ล้านบาท รองลงมาคือสิงคโปร์ 71 ราย คิดเป็น 15% ของจำนวนธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 7,486 ล้านบาท ตามมาด้วยสหรัฐอเมริกา 70 ราย คิดเป็น 15% ของจำนวนธุรกิจต่างชาติ เงินลงทุน 3,470 ล้านบาท และจีน 51 ราย คิดเป็น 11% ของจำนวนธุรกิจต่างชาติ เงินลงทุน 7,120 ล้านบาท โดยในส่วนของตลาดหุ้นไทย บริษัทจดทะเบียนรายงานผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกของปี 2567 เติบโต 9.7% และยอดขายเติบโต 36% ซึ่งเป็นสิ่งที่สะท้อนศักยภาพของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยที่ยังสามารถทำผลการดำเนินงานเติบโตได้สูง

           

ในด้านแนวโน้มของกระแสเงินทุน (Fund Flow) จากต่างชาติ เริ่มมีความชัดเจนมากขึ้นของการลดดอกเบี้ยสหรัฐ ตลาดหุ้นกลุ่มประเทศเกิดใหม่ (Emerging Market) จะเป็นกลุ่มที่ได้รับประโยชน์ และมี Fund Flow ไหลเข้ามาในประเทศเหล่านี้มาก ซึ่งตลาดหุ้นไทยถือเป็นหนึ่งในตลาดหุ้นที่จะได้รับอานิสงส์ดังกล่าว ต่อเนื่องจากที่ในเวลานี้บรรดานักลงทุนทั่วโลกกำลังเพิ่มการลงทุนในอินโดนีเซียและมาเลเซีย เพราะคาดว่าตลาดทั้งสองแห่งนี้จะได้รับประโยชน์มากกว่าตลาดของประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆ เมื่อธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เริ่มผ่อนคลายนโยบายการเงิน นอกจากนี้ การลงทุนของต่างประเทศที่ยังอยู่ในระดับต่ำและมูลค่าที่สมเหตุสมผลนั้น จะดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศเข้าสู่อินโดนีเซียและมาเลเซียมากขึ้น ทั้งนี้ข้อมูลล่าสุดที่รวบรวมโดยบลูมเบิร์กระบุว่า อินโดนีเซีย, มาเลเซีย และฟิลิปปินส์เป็นเพียงประเทศในเอเชียที่มีเงินลงทุนจากต่างประเทศไหลเข้าสุทธิสู่ตลาดหุ้นในเดือน ส.ค. 67

           

ในส่วนของกลยุทธ์สำหรับการลงทุนระยะสั้น (ไม่เกิน 1 สัปดาห์) กรณี SET ยังคงแกว่งตัวต่ำกว่า 1,400 จุด เน้น “Wait and See” สำหรับการลงทุนระยะกลาง (1-3 เดือน) ในลักษณะ Long-Only แนะนำ “คงสัดส่วนการลงทุนในหุ้นที่ระดับ 50% ของพอร์ต”   

           

ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่ความเห็นส่วนตัวของผมนะครับ โปรดใช้วิจารณญาณ และศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนการตัดสินใจลงทุนด้วยครับ สำหรับการพูดคุยกันระหว่างสัปดาห์นอกจากทาง Facebook ที่ www.facebook.com/hippowealththailand และ e-mail ที่ hippowealththailand@gmail.com แล้ว แฟนๆ ยังสามารถติดตามมุมมองเกี่ยวกับการลงทุนจาก “นายหมูบิน” ได้ในรายการ “เซียนเศรษฐกิจ” ทาง FM 97.00 ทุกวันอาทิตย์ เวลา 14.00-16.00 น. เช่นเดิมครับ

                     

ภาพประกอบ : การวิเคราะห์ทิศทางตลาดหุ้นไทยในทางเทคนิครายวัน (Daily)

Source: TQ

4 views

Comments


bottom of page