top of page
347550.jpg

ปัจจัยในภูมิภาคและในประเทศ หนุนตลาดหุ้นไทยระยะสั้น


จีนกลับมานำตลาดหุ้นเอเชีย ! 

           

ตลาดหุ้นเอเชียกลับมาทำผลงานที่โดดเด่น หรือ Outperform ตลาดหุ้นโลกอีกครั้งในสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยโฟกัสของตลาดหุ้นเอเชียในระยะสั้นอยู่ที่จีน หลังรัฐบาลจีนประกาศมาตรการขนานใหญ่หวังกระตุ้นตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่กำลังซบเซา โดยผ่อนคลายกฎระเบียบด้านการจำนอง และสนับสนุนให้รัฐบาลท้องถิ่นซื้อบ้านที่ขายไม่ออกจากบรรดาบริษัทสร้างบ้าน ขณะที่ทางด้านธนาคารกลางจีน(PBOC) ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้าชั้นดี (LPR) ประเภท 1 ปีไว้ที่ระดับ 3.45% และคงอัตราดอกเบี้ย LPR ประเภท 5 ปีไว้ที่ระดับ 3.95% ทั้งนี้อัตราดอกเบี้ย LPR ประเภท 1 ปีของจีนเป็นอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงในการกำหนดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ระยะสั้น ส่วนอัตราดอกเบี้ย LPR ประเภท 5 ปีเป็นอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงในการกำหนดอัตราดอกเบี้ยระยะยาว เช่น อัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนอง โดยการประกาศคงอัตราดอกเบี้ย LPR มีขึ้นหลังจากที่ธนาคารกลางจีนมีมติคงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ระยะกลาง (MLF) ระยะ 1 ปีซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของจีนไว้ที่ระดับ 2.50% เมื่อวันที่ 15 พ.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นสัญญาณว่าธนาคารกลางจีนมีความตั้งใจจะพยุงเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวโดยไม่สร้างแรงกดดันต่อสกุลเงินหยวน ขณะที่ฟื้นฟูภาคอสังหาริมทรัพย์ รัฐบาลจีนประกาศมาตรการใหม่เพื่อสนับสนุนให้รัฐวิสาหกิจใหม่เข้าซื้ออสังหาริมทรัพย์ค้างสต็อก โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อช่วยให้บรรดาบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์มีเงินทุนไปต่อยอดในสร้างอสังหาริมทรัพย์ให้แล้วเสร็จ ทั้งนี้ มาตรการใหม่ดังกล่าวมีมูลค่าสูงถึง 3 แสนล้านหยวน หรือประมาณ 4.225 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ผ่านการผ่อนคลายกฎระเบียบด้านการจำนอง และสนับสนุนให้รัฐบาลท้องถิ่นซื้อบ้านที่ขายไม่ออกจากบรรดาบริษัทสร้างบ้านเพื่อเปลี่ยนเป็นที่อยู่อาศัยในราคาที่จับต้องได้

           

ขณะที่มาตรการดังกล่าวรวมถึงการที่ธนาคารกลางจีน (PBOC) ได้ยกเลิกอัตราดอกเบี้ยจำนองขั้นต่ำทั่วประเทศ พร้อมปรับลดสัดส่วนเงินดาวน์ลงสู่ระดับ 15% สำหรับผู้ที่ซื้อบ้านหลังแรกและ 25% สำหรับบ้านหลังที่ 2 โดยสัดส่วนเงินดาวน์ก่อนหน้านี้อยู่ที่ 20% และ 30% ตามลำดับ ซึ่งความเคลื่อนไหวดังกล่าวนับเป็นการดำเนินมาตรการครั้งใหญ่ที่สุดเพื่อกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ซบเซาของจีน โดยทางการจีนตระหนักถึงความเร่งด่วนของปัญหาที่เกิดขึ้น หลังจากมีรายงานว่าราคาบ้านในจีนเดือน เม.ย. 67 ปรับตัวลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 10 ปี เมื่อเทียบรายเดือน แม้ว่าก่อนหน้านี้จะมีการออกนโยบายเพื่อช่วยเหลือภาคส่วนดังกล่าวอย่างต่อเนื่องก็ตาม โดยราคาบ้านใหม่ในจีนเดือน เม.ย. 67 ลดลง 0.6% เมื่อเทียบเป็นรายเดือน ซึ่งเป็นการปรับตัวลงรวดเร็วที่สุดในรอบกว่า 9 ปี หรือนับตั้งแต่เดือน พ.ย. 57 และย่ำแย่กว่าในเดือน มี.ค. 67 ที่ปรับตัวลง 0.3%

           

นอกจากนี้ในภาคการท่องเที่ยวจีนปรับตัวดีขึ้นชัดเจน จากยอดนักเดินทางเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้ราคาหุ้นของบริษัท ทริปดอตคอม กรุ๊ป บริษัทด้านการจองที่พักออนไลน์รายใหญ่จากจีน พุ่งแตะระดับสูงเป็นประวัติการณ์ในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง หลังปรับขึ้นติดต่อกันวันที่ 5 และปรับขึ้นแล้ว 58% ในปีนี้ หลังจากที่ผ่านมาประชาชนค่อนข้างระมัดระวังการใช้จ่ายเนื่องจากปัญหาในภาคอสังหาริมทรัพย์ การสูญเสียงาน และการปรับลดค่าจ้าง แต่ปัจจุบันเราได้เห็นพัฒนาการในสองด้าน ไม่เพียงแค่ในแง่ปริมาณนักเดินทางที่จะเพิ่มขึ้นเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการใช้จ่ายของนักเดินทางที่เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน โดยสำนักข่าวบลูมเบิร์กคำนวณข้อมูลจากกระทรวงวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวจีนพบว่า นักท่องเที่ยวเดินทางเพิ่มขึ้น 28.2% ในช่วงหยุดยาววันแรงงานที่ผ่านมา เมื่อเทียบกับระดับก่อนเกิดโรคโควิด-19 ระบาดในปี 2562 และระบุว่า การท่องเที่ยวจีนมีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยยอดการเดินทางระหว่างประเทศทั้งขาเข้าและขาออกมีแนวโน้มแข็งแกร่งขึ้น หลังจีนเปิดเผยในเดือน ม.ค. 67 ว่าได้ผ่อนคลายข้อกำหนดวีซ่าสำหรับ 11 ประเทศนับตั้งแต่เดือน ก.ค. 66 และนักท่องเที่ยวต่างชาติกลับมามองจีนในฐานะจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวอีกครั้ง

           

ซึ่งเบื้องต้นในทางเทคนิค ตราบใดที่ดัชนีดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตตลาดหุ้นจีน ไม่ปรับตัวลงไปต่ำกว่า 3,000 จุดอีก ทิศทางของตลาดหุ้นจีนและเอเชียยังคงเป็นขาขึ้น

           

แนวโน้มตลาดหุ้นและเศรษฐกิจไทยผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว ! ในส่วนของตลาดหุ้นไทยแนวโน้มดูดีขึ้นกว่าเดิมมาก หลังจากมีความเป็นไปได้ที่เศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทยได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว หลังจากที่ล่าสุดสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) รายงานตัวเลขเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 1 ปี 2567 เติบโต 1.5% สูงกว่าที่ตลาดคาดว่าจะเติบโตราว 0.7-0.8% เนื่องจากการบริโภคภาคเอกชนขยายตัวดี รวมทั้งการส่งออกและการท่องเที่ยวที่ยังเติบโตได้ดี แม้ว่าสภาพัฒน์จะปรับคาดการณ์ GDP ในปี 2567 ลงเหลือเติบโต 2-3% หรือช่วงกลางของคาดการณ์ที่ 2.5% จากเดิมที่เคยคาดว่าจะเติบโต 2.2-3.2% เพราะการลงทุนภาครัฐในไตรมาสที่ 1 ที่ลดลงถึง 27.7% ซึ่งเป็นการลดลงต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 4 มีปัจจัยหลักมาจากความล่าช้าในการประกาศใช้ พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 ซึ่งหลังจากนี้จะไม่เกิดสถานการณ์นี้อีก ขณะที่การลงทุนภาคเอกชน ขยายตัวได้ 4.6% ซึ่งเป็นการขยายตัวทั้งด้านการก่อสร้าง และด้านเครื่องมือเครื่องจักร และการบริโภคภาคเอกชน ขยายตัว 6.9% ต่อเนื่องจาก 7.4% ในไตรมาส 4 ปี 2566 ปัจจัยสำคัญมาจากการปรับตัวดีขึ้นของภาคบริการด้านการท่องเที่ยว และความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่อยู่ในระดับสูงในรอบ 18 ไตรมาส

           

โดยปัจจัยหนุนเพิ่มเติมของตลาดหุ้นไทยคือการที่สำนักงบประมาณ มีการจัดทำกรอบงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 เพิ่มเติม จำนวน 1.22 แสนล้านบาท จาก 3.48 ล้านล้านบาท เพื่อใช้ในโครงการดิจิทัลวอลเล็ตของรัฐบาล ซึ่งจะมีการจัดทำร่าง พ.ร.บ.งบประมาณเพิ่มเติมเสนอต่อรัฐสภาต่อไป โดยที่ในประเด็นของโครงการดิจิทัลวอลเล็ตของรัฐบาล สภาพัฒน์ประมาณการเศรษฐกิจไทยในปี 2567 โดยรวมโครงการดิจิทัลวอลเล็ตที่คาดว่าจะเริ่มได้ไตรมาส 4 ปี 2567 ซึ่งเชื่อว่าการใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงคงไม่ได้ออกมาทั้ง 5 แสนล้านบาทในคราวเดียว แต่เป็นการทยอยใช้ ดังนั้นสภาพัฒน์ประเมินว่ามาตรการดังกล่าวอาจช่วยเสริมเศรษฐกิจไทยในปีนี้ให้เติบโตได้เพิ่มขึ้นราว 0.25%

             

ในส่วนของตลาดหุ้นไทยในระยะสั้น อาจได้รับปัจจัยหนุนจากการที่สมาคม บลจ. และ ก.ล.ต.กำลังทำข้อสรุปเกี่ยวกับรูปแบบกองทุน LTF ที่จะนำกลับมาอีก และการเก็งกำไรหุ้นที่คาดว่าจะเข้าคำนวณดัชนี MSCI Rebalance มีผล 31 พ.ค. 67 นี้ โดยที่ในกลุ่ม Global Standard ไม่มีหุ้นเข้า ส่วนหุ้นออก ได้แก่ BTS, LH และ MTC ส่วนในกลุ่ม Global Small Cap มีหุ้นเข้า ได้แก่ BTS, JTS, LH, MTC และหุ้นออก ได้แก่ BLAND, DITTO, FORTH, KSL, MAJOR, PSL, RS, SGP, SPCG, WHAUP

             

อย่างไรก็ดีความเสี่ยงในระยะสั้นที่ต้องติดตามคือภาระหนี้สินครัวเรือนและภาคธุรกิจที่ยังอยู่ระดับสูง ซึ่งทางธนาคารพาณิชย์หรือภาคการเงิน อาจต้องพิจารณามาตรการต่างๆ เข้ามาเสริม ที่ทำให้ SMEs เข้าถึงแหล่งทุนเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันสินเชื่อครัวเรือนยังมีปัญหา โดยเฉพาะรถยนต์ และเริ่มมีปัญหาภาคที่อยู่อาศัย รวมทั้งแรงกดดันจากหุ้นในกลุ่มโรงกลั่นหลังค่าการกลั่น GRM ในตลาดสิงคโปร์ลดลงถึง 29% WoW เหลือ 2.4 เหรียญ/บาร์เรล เนื่องจาก Spread ของน้ำมันเบนซินและน้ำมันดีเซลลดลง โดย Spread ของน้ำมันเบนซินลดลง 7% WoW เหลือ 12.2 เหรียญ/บาร์เรล หลังจากที่จีนประกาศโควตาการส่งออกระลอกสอง 14 ล้านตัน สำหรับเชื้อเพลิงเพื่อการขนส่ง ซึ่งสูงกว่าระลอกสองของปีที่แล้วที่ 9 ล้านตัน ส่วน Spread ของน้ำมันดีเซลก็ลดลง 3% WoW เหลือ 13.3 เหรียญ/บาร์เรล

           

ขณะที่ในเชิงเทคนิคของตลาดหุ้นไทย การฟื้นตัวต่อเนื่องของดัชนี SET ตั้งแต่บริเวณ 1,345 จุดวันที่ 13 ธ.ค. 66 จะมีแนวต้านสำคัญอยู่ที่บริเวณ Fib Node 0.382 และ 0.618 หรือ 1,447 และ 1,497 จุดตามลำดับ ซึ่งตราบใดที่ SET ยังคงไม่สามารถขยับตัวขึ้นมายืนเหนือบริเวณดังกล่าวได้ การดีดตัวขึ้นมาในรอบนี้ยังคงมองเป็นแค่การ Technical Rebound เท่านั้น

           

ในส่วนของกลยุทธ์ สำหรับการลงทุนระยะสั้น (ไม่เกิน 1 สัปดาห์) กรณี SET ยังคงแกว่งตัวต่ำกว่า 1,497 จุด เน้น “Wait and See” สำหรับการลงทุนระยะกลาง (1-3 เดือน) ในลักษณะ Long-Only แนะนำ “คงสัดส่วนการลงทุนในหุ้นที่ระดับ 50% ของพอร์ต”

           

ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่ความเห็นส่วนตัวของผมนะครับ โปรดใช้วิจารณญาณ และศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนการตัดสินใจลงทุนด้วยครับ สำหรับการพูดคุยกันระหว่างสัปดาห์นอกจากทาง Facebook ที่ www.facebook.com/hippowealththailand และ e-mail ที่ hippowealththailand@gmail.com แล้ว แฟนๆ ยังสามารถติดตามมุมมองเกี่ยวกับการลงทุนจาก “นายหมูบิน” ได้ในรายการ ”เซียนเศรษฐกิจ” ทาง FM 97 ทุกวันอาทิตย์ เวลา 14.00-16.00 น. เช่นเดิมครับ


ภาพประกอบ : การวิเคราะห์ทิศทางตลาดหุ้นไทยในทางเทคนิครายวัน (Daily)

Source: TradingView

2 views
bottom of page