top of page
312345.jpg

ยังให้น้ำหนักกับปัจจัยเสี่ยงที่จะมาระยะต่อไป...เล่นเรื่องวัคซีนเป็นหลัก !



ทิศทางของตลาดหุ้นโลกยังคงปรับตัวขึ้นต่อได้นะครับ

ในสัปดาห์ที่ผ่านมาดัชนี MSCI ACWI ของตลาดหุ้นโลกปรับตัวขึ้น 1.11% โดยตลาดหุ้นที่ปรับตัวได้ดีกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหุ้นโลก หรือ Outperform ได้แก่ตลาดหุ้น Asia ex Japan และจีนที่ปรับตัวขึ้นราว 2.80% และ 4.34% ตามลำดับ

ขณะที่ตลาดหุ้นที่ปรับตัวได้ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหุ้นโลก หรือ Underperform ได้แก่ตลาดหุ้นยุโรป สหรัฐ ไทย และญี่ปุ่น ที่ปรับตัวขึ้น 0.41%, 0.62%, 0.87% และ 0.39% ตามลำดับ

ทั้งนี้ตลาดหุ้นทั่วโลกในสัปดาห์ที่ผ่านมาได้รับปัจจัยหนุนจากข่าวความคืบหน้าของวัคซีน COVID-19 และคาดว่าจะมีข่าวปัจจัยหนุนในเรื่องของวัคซีนเป็นระยะๆ โดยที่ล่าสุดผลทดสอบวัคซีน COVID-19 Oxford-AstraZeneca พบว่าสามารถทำให้เกิดระบบภูมิคุ้มกันแบบคู่ (Dual Immune Action) สร้างทั้งแอนติบอดี และเม็ดเลือดขาวที่สามารถต่อสู้กับไวรัส COVID-19 ได้ และอาจเริ่มผลิตมาใช้ได้เร็วที่สุดคือภายในเดือน ก.ย. 2563 นี้เลย ขณะที่ทางด้านองค์การอนามัยโลก หรือ WHO ระบุว่าปัจจุบันกำลังมีวัคซีน COVID-19 กว่า 160 ตัวทั่วโลกที่กำลังทำการศึกษาวิจัย และทดลองอยู่ ซึ่งวัคซีนของ Oxford-AstraZeneca ก็อยู่ในระดับต้นๆ ของกลุ่มที่น่าจะผลิตได้สำเร็จเป็นกลุ่มแรกๆ

นอกจากนี้บริษัท Moderna กำลังเตรียมทดลองวัคซีนเฟส 3 เป็นการทดลองกับมนุษย์กลุ่มขนาดใหญ่เป็นจำนวนกว่า 30,000 คนภายในปลายเดือนนี้ ขณะที่ในด้านของเศรษฐกิจ ตลาดหุ้นโลก โดยเฉพาะจีน และเอเชียได้รับปัจจัยหนุนจากการที่ธนาคารกลางจีน (PBoC) อัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเพิ่มอีก 1 แสนล้านหยวน หรือกว่า 1.4 หมื่นล้านดอลลาร์ เพื่อเสริมสภาพคล่องในระบบ และฟื้นฟูเศรษฐกิจจากผลกระทบของวิกฤต COVID-19 ขณะที่ในฝั่งของยุโรป มีปัจจัยบวกเข้ามาจากการที่ผู้นำสหภาพยุโรป (EU) มีมติเห็นชอบแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจจากผลกระทบของ COVID-19 ที่มีมูลค่าสูงถึงกว่า 7.5 แสนล้านยูโร หรือเกือบ 8.6 แสนล้านดอลลาร์ โดยแบ่งออกเป็นเงินอุดหนุนให้เปล่า 3.9 แสนล้านยูโร และเงินกู้อีก 3.6 แสนล้านยูโร

ในเชิงของจิตวิทยา ตลาดหุ้นโลกได้รับปัจจัยหนุนเล็กๆ จากการที่ Warrant Buffet ได้กลับเข้าซื้อหุ้น Bank of America ซึ่งดันให้ Berkshire ขึ้นไปถือหุ้นที่ราว 11.3% จากเดิมที่ถือ 7.7% โดยก่อนหน้านี้ Warrant Buffet ได้ขายหุ้นออกไปหนักๆ โดยได้ให้เหตุผลว่าไม่รู้ว่าโลกเดิมที่เราเคยรู้จักนั้นจะกลับมาเมื่อไหร่

สหรัฐกลับมาส่งออกปัจจัยเสี่ยง ! “นายหมูบิน” ยังคงมองว่าการฟื้นตัวในระยะต่อไปของตลาดหุ้นโลกยังคงคาดหวังอะไรมากไม่ได้ หลังจากที่ความขัดแย้งระหว่างจีนและสหรัฐกลับมาเป็นประเด็นอีกครั้ง จากการที่สหรัฐมีคำสั่งให้ทางจีนปิดสถานกงสุลที่ Houston โดยรัฐบาลสหรัฐให้เวลาจีน 3 วันในการปิดสถานกงสุลใน 4 เมืองที่มีประชากรหนาแน่นที่สุดของสหรัฐ ซึ่งถือเป็นการเพิ่มความตึงเครียดอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ขณะที่ Wang Wenbin โฆษกกระทรวงการต่างของจีนกล่าวว่า "จีนวางแผนที่จะตอบโต้อย่างรุนแรง" หากสหรัฐไม่ยอมเพิกถอนมาตรการใหม่ล่าสุดนี้ ขณะที่ในด้านเศรษฐกิจ นักลงทุนเริ่มกลับมาตั้งคำถามกับแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐอีกครั้ง หลังจากที่ตัวเลข Initial jobless claims เพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 4 เดือน จำนวน 1.4 ล้านรายในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งสูงกว่าที่คาดการณ์ที่ระดับ 1.3 ล้านราย โดยตัวเลข Initial jobless claims ยังคงมีจำนวนมากกว่า 1 ล้านรายติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ 18 ทำให้ปัจจุบันนักลงทุนเริ่มมีความสงสัยว่าตลาดหุ้นสหรัฐได้ผ่านจดต่ำสุดไปแล้วจริงๆ หรือยัง

ทั้งนี้การที่แนวโน้มของตลาดแรงงานที่กลับทิศ ทำให้นักลงทุนกลับมาให้ความสนใจกับตัวเลข Non-Farm Payroll มากยิ่งขึ้น โดยจะมีการประกาศออกมาในช่วงต้นเดือน ส.ค. 2563 นอกจากนี้ในส่วนของสหรัฐ ยังคงมีปัจจัยที่น่ากังวลอีก จากการที่โครงการช่วยเหลือคนว่างงานจะหมดอายุลงในวันที่ 31 ก.ค.นี้ จึงทำให้รัฐบาลสหรัฐต้องหามาตรการช่วยเหลืออื่นมารองรับหลังจากนั้น ซึ่งจนถึงตอนนี้มีหลายฝ่ายคาดการณ์ว่าเป็นไปได้ยากที่รัฐบาลสหรัฐจะมีมาตรการชุดใหม่ออกมาได้ภายใน 2 อาทิตย์ หลังจากที่ล่าสุดสภาคองเกรสเริ่มมีความกังวลถึงการอนุมัติ Package กระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมจากรัฐบาล โดยสมาชิกฝ่าย Republicans ได้ต่อต้านในเรื่องที่จะขยายระยะเวลาของสวัสดิการว่างงานที่จะจ่ายเงินจำนวน 600 ดอลลาร์สหรัฐ/สัปดาห์ให้กับผู้ที่ได้รับการยืนยันว่าว่างงาน โดยให้เหตุผลว่าผลประโยชน์ที่สูงเช่นนี้ทำให้ผู้คนไม่อยากทำงาน และไม่ยอมกลับไปทำงาน ขณะที่สมาชิกฝ่าย Democrats กล่าวว่ามีอีกหลายครอบครัวที่จะเผชิญกับความยากลำบากหากไม่มีสวัสดิการดังกล่าว

เมื่อรวมเข้ากับปัจจัยเรื่องความไม่แน่นอนทางการเมืองของสหรัฐที่อาจจะเกิดขึ้นจากผลการเลือกตั้งปลายปีนี้ หลังจากที่ล่าสุดจากการติดตามโดยนิตยสาร The Economist พบว่าโอกาสที่ Joe Biden จะชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐเพิ่มขึ้นสูงถึง 93% ต่อ 7% ส่งผลให้ผลสำรวจความเชื่อมั่นของนักลงทุนสหรัฐจาก AAII ในสัปดาห์ที่ผ่านมา พบว่าสัดส่วนนักลงทุนที่เชื่อว่าตลาดหุ้นสหรัฐในระยะ 6 เดือนข้างหน้ายังคงเป็นขาขึ้น หรือ Bullish ลดลง 4.74% เมื่อเทียบจากสัปดาห์ที่ผ่านมา มาอยู่ที่ 26.06% ขณะที่สัดส่วนนักลงทุนที่เชื่อว่าตลาดหุ้นสหรัฐในระยะ 6 เดือนข้างหน้ากำลังกลับเป็นขาลง หรือ Bearish ที่เพิ่มขึ้น 1.43% เมื่อเทียบจากสัปดาห์ที่ผ่านมา มาอยู่ที่ 46.83%

ในส่วนของกลยุทธ์ สำหรับการลงทุนระยะสั้น (ไม่เกิน 1 สัปดาห์) ตราบใดที่ SET ยังกลับไปยืนเหนือ 1,430 จุด (+/-) ไม่ได้ เน้น “ดีดขึ้นขาย” ในลักษณะ “Short Against” เพื่อรอกลับมาทยอยสะสมหุ้น CPALL, BJC, BEM, EGCO, BCH, GPSC, BTS, HMPRO, AOT และ ADVANC อีกครั้ง สำหรับการลงทุนระยะกลาง (1-3 เดือน) ในลักษณะ Long-Only แนะนำ “ลดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นมาอยู่ที่ระดับ 25% ของพอร์ต”

ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่ความเห็นส่วนตัวของผมนะครับ โปรดใช้วิจารณญาณ และศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนการตัดสินใจลงทุนด้วยครับ สำหรับการพูดคุยกันระหว่างสัปดาห์นอกจากทาง Facebook ที่ www.facebook.com/wealthhuntersclub และ e-mail ที่ moobin.stockmania@gmail.com แล้ว แฟนๆ ยังสามารถติดตามมุมมองเกี่ยวกับการลงทุนจาก “นายหมูบิน” ได้ในรายการ ”เซียนเศรษฐกิจ” ทาง FM 97 ทุกวันอาทิตย์ เวลา 14.00-16.00 น. เช่นเดิมครับ

 

ภาพประกอบ : การวิเคราะห์ทิศทางตลาดหุ้นไทยในทางเทคนิครายสัปดาห์ (Weekly)

Source: Wealth Hunters Club

16 views
bottom of page