top of page
312345.jpg

ตลาดหุ้นไปได้ไกลแค่ไหน...ขึ้นอยู่กับความคืบหน้ายา COVID-19


ปัจจัยบวกสั้นพอมี !

ทิศทางของตลาดหุ้นโลกยังคงปรับตัวขึ้นต่อได้ในแนวโน้มขาขึ้น สะท้อนออกมาจากการที่ในสัปดาห์ที่ผ่านมาดัชนี MSCI ACWI ของตลาดหุ้นโลกยังคงปรับตัวขึ้นต่อ 1.60% ซึ่งโดยส่วนใหญ่ได้รับปัจจัยหนุนจากความคืบหน้าของวัคซีน และยารักษาการติดเชื้อไวรัส COVID-19 หลังบริษัท Gilead ประกาศออกมาแล้วว่ายา Remdesivir อาจกลายเป็นยาที่สามารถรักษาไวรัสโควิดได้ แม้ว่าราคาของยาอาจสูงถึง 520 ดอลลาร์สหรัฐ/ขวด สำหรับผู้ที่มีประกันสังคมภายในสหรัฐ ส่วนผู้ที่ไม่มีประกันและผู้ซื้อรายอื่น ๆในประเทศที่พัฒนาแล้วนั้น ราคาเริ่มต้นจะอยู่ที่ 390 ดอลลาร์สหรัฐ/ขวด

ทั้งนี้บริษัท Gilead ได้รับอนุมัติจากทางสำนักงานอาหารและยาสหรัฐ (FDA) ให้เริ่มดำเนินการจำหน่ายยาได้แล้ว หลังมีข้อมูลทดสอบที่น่าพึงพอใจ และผู้ป่วยควรจะรับยารักษาวันละขวดเป็นเวลา 5 วันจึงจะได้ผลดีที่สุดตามการทดลอง

รวมทั้งผลการทดลองเบื้องต้นของวัคซีนต้านเชื้อไวรัส COVID-19 ในมนุษย์ของบริษัท Pfizer และ BioNtec ได้ผลค่อนข้างดี และน่าจะสามารถนำมาใช้ได้ภายในสิ้นปีนี้ โดยทางบริษัทเชื่อว่าจะสามารถผลิตวัคซีนได้เป็นจำนวนมากภายในปลายปีนี้

นอกจากนี้ทิศทางของตลาดหุ้นโลก ที่มีตลาดหุ้นสหรัฐเป็นตัวแทน หรือ Proxy ยังคงได้รับปัจจัยหนุนจากการอัดฉีดสภาพคล่องเข้ามาอย่างต่อเนื่องของธนาคารกลางสำคัญๆ ของโลก โดยเฉพาะธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด โดยที่ล่าสุดเฟดได้เปิดเผยรายงานการประชุมเดือน มิ.ย. 2563 โดยยังคงยืนยันว่าเฟดจำเป็นต้องผลักดันให้มีการใช้เครื่องมืออื่นๆ ที่มีความเป็นไปได้ และไม่ได้บ่งชี้ถึงการเปลี่ยนแปลงของนโยบายการเงินในระยะใกล้ นอกจากนี้สมาชิกส่วนใหญ่ของเฟดยังมองว่ามีโอกาสอย่างมากที่จะเกิดการแพร่ระบาดรอบสองของเชื้อไวรัส COVID-19 และยังระบุว่ามีความเสี่ยงที่มาตรการการคลังในการให้ความช่วยเหลือภาคครัวเรือน ภาคธุรกิจ และรัฐบาลท้องถิ่น อาจจะไม่เพียงพอ

จากประเด็นดังกล่าวส่งผลให้กระทรวงการคลังสหรัฐออกมาตรการร่วมกับเฟดในการที่จะขยายโครงการเงินกู้ฉุกเฉิน 11 โครงการที่จัดตั้งขึ้นโดยเฟดออกไปให้สามารถเข้าถึงความต้องการของตลาดเป็นวงกว้าง โดยที่ Jerome Powell ประธานเฟดระบุว่าเป้าหมายของโครงการเงินกู้ของเฟดนั้นคือการช่วยเหลือประชาชนราว 25 ล้านคนที่ตกงานในช่วงที่เชื้อไวรัส COVID-19 ระบาด ให้สามารถกลับมาทำงานได้อีกครั้ง พร้อมกับเรียกร้องให้สภา Congress เร่งพิจารณาความช่วยเหลือเพิ่มเติมให้กับภาคครัวเรือน, บริษัทเอกชน และรัฐต่างๆ เพื่อพยุงเศรษฐกิจให้รอดพ้นจากความเสียหายในระยะยาว

ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐยังฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องภายหลังการคลาย Lockdown โดยที่ตัวเลข ADP employment ของสหรัฐเพิ่มขึ้น 2.369 ล้านตำแหน่งในเดือน มิ.ย. 2563 ขณะที่ตัวเลข ISM Manufacturing PMI ดีดตัวขึ้นสู่ระดับ 52.6 ในเดือน มิ.ย. 2563 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือน เม.ย.ปีที่แล้ว และเพิ่มขึ้นจากระดับ 43.1 ในเดือน พ.ค. 2563 และสูงกว่าที่คาดการณ์ที่ระดับ 49.5 รวมถึงตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร หรือ Nonfarm Payrolls ในเดือน มิ.ย. 2563 ก็เพิ่มมากขึ้นถึง 4.8 ล้านตำแหน่ง ซึ่งดีกว่าที่ตลาดคาดไว้ที่ 2.7 ล้านตำแหน่ง

สอดคล้องกับตัวเลขอัตราการว่างงาน หรือ Unemployment Rate ในสหรัฐของเดือน มิ.ย. 2563 ที่ลดลงมาที่ 11.1% เทียบกับที่ตลาดคาดไว้ที่ 12.5% และจากระดับที่ 13.3% ในเดือน พ.ค. 2563 ซึ่งเป็นการลดลงเป็นเดือนที่สองติดต่อกัน

การระบาดรอบที่ 2 ยังจำกัดการดีดต่อ ! อย่างไรก็ตามยังคงต้องจับตามองการระบาดระลอก 2 ของเชื้อไวรัส COVID-19 ในสหรัฐด้วย ว่าจะต้องทำให้เกิดการปิดเมืองอีกรอบหรือไม่ หลังจากตัวเลขผู้ติดเชื้อรายวันของสหรัฐยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเกินระดับ 5 หมื่นรายต่อวันแล้ว ขณะที่ Anthony Fauci ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคระบาดของทำเนียบขาว ออกมากล่าวเตือนอย่างจริงจังว่าชาวอเมริกันจะติดเชื้อได้มากกว่า 100,000 คนต่อวันหากยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆเกิดขึ้น จากระดับปัจจุบันที่มีผู้ติดเชื้อกว่า 40,000 คนต่อวัน ซึ่งประเด็นดังกล่าวถือว่าเป็นประเด็นหลักที่จำกัดการปรับตัวขึ้น หรือ Potential Upside ของตลาดหุ้นสหรัฐ และตลาดหุ้นโลก สะท้อนผลสำรวจความเชื่อมั่นของนักลงทุนสหรัฐจาก AAII ที่ระบุว่าในสัปดาห์ที่ผ่านมา สัดส่วนนักลงทุนที่เชื่อว่าตลาดหุ้นสหรัฐในระยะ 6 เดือนข้างหน้ายังคงเป็นขาขึ้น หรือ Bullish ลดลง 1.99% เมื่อเทียบจากสัปดาห์ที่ผ่านมามาอยู่ที่ 22.15% ขณะที่สัดส่วนนักลงทุนที่เชื่อว่าตลาดหุ้นสหรัฐในระยะ 6 เดือนข้างหน้ากำลังกลับเป็นขาลง หรือ Bearish ที่แม้ว่าจะลดลง 3.01% เมื่อเทียบจากสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่ยังคงอยู่ที่ระดับสูงราว 45.89%

ในส่วนของกลยุทธ์ สำหรับการลงทุนระยะสั้น (ไม่เกิน 1 สัปดาห์) ตราบใดที่ SET ยังกลับไปยืนเหนือ 1,430 จุด (+/-) ไม่ได้ เน้น “ดีดขึ้นขาย” ในลักษณะ “Short Against” เพื่อรอกลับมาทยอยสะสมหุ้น CPALL, BJC, BEM, EGCO, BCH, GPSC, BTS, HMPRO, AOT และ ADVANC อีกครั้ง สำหรับการลงทุนระยะกลาง (1-3 เดือน) ในลักษณะ Long-Only แนะนำ “ลดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นมาอยู่ที่ระดับ 25% ของพอร์ต”

ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่ความเห็นส่วนตัวของผมนะครับ โปรดใช้วิจารณญาณ และศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนการตัดสินใจลงทุนด้วยครับ สำหรับการพูดคุยกันระหว่างสัปดาห์นอกจากทาง Facebook ที่ www.facebook.com/wealthhuntersclub และ e-mail ที่ moobin.stockmania@gmail.com แล้ว แฟนๆ ยังสามารถติดตามมุมมองเกี่ยวกับการลงทุนจาก “นายหมูบิน” ได้ในรายการ “เซียนเศรษฐกิจ” ทาง FM 97 ทุกวันอาทิตย์ เวลา 14.00-16.00 น.เช่นเดิมครับ


 

ภาพประกอบ : การวิเคราะห์ทิศทางตลาดหุ้นไทยในทางเทคนิครายสัปดาห์ (Weekly)

Source: Wealth Hunters Club

15 views
bottom of page