ตลาดหุ้นทั่วโลกในสัปดาห์ที่ผ่านมายังคงปรับตัวลดลงตามความกังวลต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ รวมถึงสหรัฐได้มีการยกเลิกสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน และยุติการยกเว้นภาษีเงินได้จากการเดินเรือระหว่างประเทศที่เคยทำไว้กับฮ่องกง ขณะที่สหรัฐยกระดับมาตรการกีดกัน Huawei ของจีน โดยพุ่งเป้าไปที่การปิดช่องทางไม่ให้ Huawei เข้าถึงชิปและเทคโนโลยีต่างๆ โดยสหรัฐยังขึ้นบัญชีดำบริษัทในเครือ Huawei เพิ่มอีก 38 แห่ง ส่งผลให้ยอดรวมบริษัทในเครือ Huawei ที่ถูกขึ้นบัญชีดำอยู่ที่ 152 แห่ง ส่งผลให้ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐและจีนมีความตึงเครียดยิ่งขึ้น หลังจากที่สหรัฐและจีนได้เลื่อนการเจรจาในวันเสาร์ที่ 15 ส.ค. ที่ผ่านมา
นอกจากนี้ตัวเลขผู้ติดเชื้อรายวันในยุโรปมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น รวมถึงเกาหลีใต้กลับมามีการระบาดอีกครั้ง ซึ่งธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด เปิดเผยรายงานการประชุมประจำวันที่ 28-29 ก.ค. 63 โดยระบุว่า แนวโน้มเศรษฐกิจของสหรัฐยังคงเผชิญกับความไม่แน่นอนที่สูงมาก และคาดว่าทิศทางเศรษฐกิจในวันข้างหน้าจะขึ้นอยู่กับความสามารถในการควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 อีกทั้งขึ้นอยู่กับว่าการกลับมาเปิดเศรษฐกิจอีกครั้งนั้น จะสามารถทำได้เป็นวงกว้างและมีเสถียรภาพมากเพียงใด ด้านกรรมการ FOMC ยังกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจกำลังเผชิญกับความเสี่ยงมากมาย ซึ่งรวมถึงความเป็นไปได้ที่จะเกิดการแพร่ระบาดระลอกใหม่ของไวรัส COVID-19 ขณะที่เฟดยังเน้นย้ำว่ามาตรการเศรษฐกิจฉบับใหม่มีความจำเป็นต่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ตามสภาคองเกรสและทำเนียบขาวยังคงไม่สามารถตกลงกันได้เกี่ยวกับการออกมาตรการเยียวยาเศรษฐกิจรอบใหม่ หลังจากพรรค Democrat เรียกร้องการให้เงินทุนสนับสนุนการส่งบัตรเลือกตั้งทางไปรษณีย์จำนวน 3.5 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นข้อเสนอที่ประธานาธิบดี Donald Trump ไม่เห็นด้วย เนื่องจากเขามองว่าการส่งบัตรลงคะแนนทางไปรษณีย์จะนำไปสู่การฉ้อโกงในการเลือกตั้ง
ดังนั้นแม้ว่าจะมีปัจจัยบวกเข้ามาความคืบหน้าในการทดลองวัคซีนต้าน COVID-19 ที่ยังเป็นไปได้ด้วยดี โดยล่าสุด Novavax ประกาศเริ่มต้นการทดสอบทางคลินิกเฟส 2b ในแอฟริกาใต้ เพื่อประเมินประสิทธิภาพของวัคซีนต้านไวรัส COVID-19 ขณะที่แบงก์ชาติจีนได้อัดฉีดเงิน 7 แสนล้านหยวน (ประมาณ 1.009 แสนล้านดอลลาร์) เข้าสู่ระบบการเงินผ่านทางโครงการเงินกู้ระยะกลาง (MLF) เพื่อรักษาสภาพคล่องในตลาด แต่ “นายหมูบิน” ยังคงมองว่าทิศทางของตลาดหุ้นโลกยังคงมีแนวโน้มพักตัวต่อเนื่องในระยะสั้นๆ นี้ สอดคล้องกับทิศทางของดัชนี VIX Index ซึ่งเป็นดัชนีที่สะท้อนความผันผวนของนักลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐ, ยุโรปและฮ่องกงที่ในสัปดาห์ที่ผ่านมาเปลี่ยนแปลง +2.67%, +5.92% และ +2.26% เมื่อเทียบจากสัปดาห์ที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นถึงความกลัวของนักลงทุนที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ผลสำรวจความเชื่อมั่นของนักลงทุนสหรัฐจาก AAII ที่ระบุว่าในสัปดาห์ที่ผ่านมา สัดส่วนนักลงทุนที่เชื่อว่าตลาดหุ้นสหรัฐในระยะ 6 เดือนข้างหน้ายังคงเป็นขาขึ้น หรือ Bullish เพิ่มขึ้น 0.35% เมื่อเทียบจากสัปดาห์ที่ผ่านมา มาอยู่ที่ 30.39% ขณะที่สัดส่วนนักลงทุนที่เชื่อว่าตลาดหุ้นสหรัฐในระยะ 6 เดือนข้างหน้ากำลังกลับเป็นขาลง หรือ Bearish ที่เพิ่มขึ้น 0.28% เมื่อเทียบจากสัปดาห์ที่ผ่านมา มาอยู่ที่ 42.40%
ในประเทศมีแต่ปัจจัยลบ ! ในทางเทคนิคระยะสั้น “นายหมูบิน” ยังคงยืนยันมุมมองเดิมว่าสำหรับตลาดหุ้นไทย ตราบใดก็ตามที่ SET ยังคงไม่สามารถกลับไปปิด เพื่อสร้างฐานในกรอบ 1,400-1,450 จุดได้ การดีดตัวขึ้นช่วงสั้นยังคงมองว่าเป็นเพียงแค่การ Technical Rebound เท่านั้น และยังคงไม่สามารถยืนยันการปรับตัวขึ้นต่ออย่างจริงจังได้
ขณะที่ในเชิงพื้นฐานตลาดหุ้นไทยยังคงมีแนวโน้มที่จะถูกกดดันจากปัจจัยภายในประเทศ หลังจากมีข่าวพบผู้ติดเชื้อ COVID-19 ภายในประเทศไทยหลังพ้นการกักตัว 14 วัน และยังมีปัจจัยถ่วงจากการที่ ศบค.ชุดเล็ก มีมติให้ขยายระยะเวลาบังคับใช้ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน เพื่อควบคุมสถานการณ์ COVID-19 ภายในประเทศไทยต่อไปอีก 1 เดือน คือตลอดทั้งเดือน ก.ย. 63
ขณะที่ประเด็นเสถียรภาพของรัฐบาล และการชุมนุม ยังคงเป็นปัจจัยลบที่คอยกดดันตลาดหุ้นไทยอยู่ แม้ช่วงสั้นน่าจะยังไม่มีอะไรรุนแรง แต่ยังคงต้องระมัดระวังประเด็นทางการการเมืองอย่างต่อเนื่อง บนสถานการณ์ที่เศรษฐกิจไทยถดถอยรุนแรง หลังจากที่ตัวเลข GDP ไทยไตรมาส 2 ถดถอย -12.2%YoY ซึ่งถือว่าแย่สุดในรอบ 22 ปีหลังช่วงวิกฤตการเงินต้มยำกุ้งปี 1998
ขณะเดียวกันสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ยังได้ปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจไทยลงมาอยู่ในช่วง -7.3 ถึง -7.8% (จากเดิมอยู่ในช่วง -5 ถึง -6%) โดยประเด็นสำคัญคือนักท่องเที่ยวที่เข้ามาในไทยในช่วงที่เหลือของปีนั้นน้อยมาก รวมทั้งผลกระทบจากปัญหาภัยแล้ง และการถดถอยของเศรษฐกิจในประเทศต่างๆ ทั่วโลก ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อปริมาณการค้าโลก
ในส่วนของกลยุทธ์ สำหรับการลงทุนระยะสั้น (ไม่เกิน 1 สัปดาห์) ตราบใดที่ SET ยังกลับไปยืนเหนือ 1,370 จุด (+/-) ไม่ได้ เน้น “ดีดขึ้นขาย” ในลักษณะ “Short Against” เพื่อรอกลับมาทยอยสะสมหุ้น CPALL, BJC, BEM, EGCO, BCH, GPSC, BTS, HMPRO, ADVANC และ ADVANC อีกครั้ง สำหรับการลงทุนระยะกลาง (1-3 เดือน) ในลักษณะ Long-Only แนะนำ “คงสัดส่วนการลงทุนในหุ้นมาอยู่ที่ระดับ 25% ของพอร์ต”
ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่ความเห็นส่วนตัวของผมนะครับ โปรดใช้วิจารณญาณ และศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนการตัดสินใจลงทุนด้วยครับ สำหรับการพูดคุยกันระหว่างสัปดาห์นอกจากทาง Facebook ที่ www.facebook.com/wealthhuntersclub และ e-mail ที่ moobin.stockmania@gmail.com แล้ว แฟนๆ ยังสามารถติดตามมุมมองเกี่ยวกับการลงทุนจาก “นายหมูบิน” ได้ในรายการ “เซียนเศรษฐกิจ” ทาง FM 97.00 ทุกวันอาทิตย์ เวลา 14.00-16.00 น. เช่นเดิมครับ
ภาพประกอบ : การวิเคราะห์ทิศทางตลาดหุ้นไทยในทางเทคนิครายสัปดาห์ (weekly)
Source: Wealth Hunters Club
Comments