top of page
327304.jpg

ไม่มีอะไรยืนยันการปรับตัวขึ้นจริงจัง บนความคาดหวังกับวัคซีน !


ตลาดหุ้นทั่วโลกในสัปดาห์ที่ผ่านมาปรับตัวเพิ่มขึ้นตามความคาดหวังจากความเชื่อมั่นในเรื่องวัคซีนต้านไวรัส COVID-19 ที่มีโอกาสที่จะทำได้จริง หลังจากประธานาธิบดีปูตินของรัสเซียบอกว่าสถาบันกามาเลยาในกรุงมอสโก ได้ทดสอบวัคซีนโควิดผ่านครบถ้วนทุกขั้นตอน รวมถึงมีการจดทะเบียนวัคซีนต้านไวรัส COVID-19 โดยมั่นใจว่าวัคซีนดังกล่าวมีประสิทธิภาพมาก และลูกสาวคนหนึ่งของปูตินเองก็ได้รับวัคซีนนี้แล้ว แม้ว่าจุดอ่อนของวัคซีนนี้จะอยู่ที่ผ่านการทดลองกับมนุษย์ไม่ถึง 2 เดือน และยังไม่ได้ทดสอบในวงกว้าง ซึ่งยังไม่สามารถตอบได้ว่าจะมีผลข้างเคียงอะไรหรือไม่ ขณะที่องค์การอนามัยโลก หรือ WHO เตรียมติดต่อรัสเซียเพื่อตรวจสอบข้อมูลความปลอดภัยของวัคซีน สอดคล้องกับผลการทดลองวัคซีนระยะที่ 3 ของบริษัท Moderna, AstraZeneca, Pfizer-BioNtech, Sinovac คาดจะเริ่มทยอยประกาศในเดือน ต.ค. 63 เป็นต้นไป

ล่าสุดมีรายงานว่ารัฐบาลสหรัฐได้บรรลุข้อตกลงกับ Moderna เพื่อซื้อวัคซีนต้านไวรัสปริมาณ 100 ล้านโดส โดย Moderna เปิดเผยว่าวัคซีน mRNA-1273 เป็นหนึ่งในวัคซีนต้านโควิดเพียงไม่กี่ตัวที่เข้าสู่การทดลองขั้นสุดท้ายแล้ว และการทดลองดังกล่าวจะแล้วเสร็จภายในเดือน ก.ย. 63 ซึ่งความคืบหน้าดังกล่าวถือว่าดีกว่าที่นักลงทุนในตลาดประเมินกันไว้ เพราะก่อนหน้านี้ Goldman Sachs คาดว่าวัคซีนไม่น่าจะสามารถผลิตออกมาทันใช้ก่อนเดือน พ.ย. 63

ขณะที่ในเชิงของเศรษฐกิจมีปัจจัยหนุนเพิ่มเติมจากการที่ตัวเลข Initial Jobless Claim ของสหรัฐออกมาที่ 0.96 ล้านคน ดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้จะเพิ่ม 1.1 ล้านคนในอาทิตย์ที่ผ่านมา...ตัวเลขนี้มีทิศทางที่ดีขึ้นมาก โดยปัจจุบันมีการจ้างงานแล้วประมาณ 9 ล้านตำแหน่ง ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา คิดเป็น 43% ของการสูญเสียงาน 21 ล้านตำแหน่งเมื่อช่วงเดือน มี.ค.-เม.ย. 63

รวมทั้งการที่ล่าสุดประธานาธิบดี Donald Trump ได้ใช้อำนาจพิเศษ เซ็นคำสั่งต่อเวลาการแจกเงินพิเศษช่วยเหลือคนตกงาน หลังทางสภาคองเกรสไม่สามารถตกลงกันได้ ทั้งนี้การลงนามในคำสั่งพิเศษของฝ่ายบริหาร ดังกล่าว ได้ขยายระยะเวลาในการให้ผลประโยชน์แก่ผู้ว่างงานไปจนถึงช่วงสิ้นปีนี้ที่อัตรา 400 ดอลลาร์ต่อสัปดาห์ จนกว่าสถานการณ์จะดีขึ้น แต่ 25% จากวงเงินนี้หรือ 100 เหรียญสหรัฐต่อคนจะต้องมาจากงบประมาณของแต่ละรัฐด้วย ซึ่งเป็นตัวเลขที่ลดลงจากระดับ 600 ดอลลาร์ตามที่สภาคองเกรสได้อนุมัติไปเมื่อปลายเดือน มี.ค. 63 ที่ผ่านมา

นอกจากนี้ประธานาธิบดี Donald Trump ได้มอบอำนาจให้แก่กระทรวงการคลังสหรัฐให้เลื่อนการจ่ายภาษีเงินเดือนของชาวอเมริกันที่มีรายได้น้อยกว่า 100,000 เหรียญสหรัฐต่อปี ไปจากกำหนดวันที่ 1 ก.ย. 63 ไปจนถึง 31 ธ.ค. 63 ซึ่งจากปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้ผลสำรวจความเชื่อมั่นของนักลงทุนสหรัฐจาก AAII ในสัปดาห์ที่ผ่านมา พบว่าสัดส่วนนักลงทุนที่เชื่อว่าตลาดหุ้นสหรัฐในระยะ 6 เดือนข้างหน้ายังคงเป็นขาขึ้น หรือ Bullish เพิ่มขึ้น 6.75% เมื่อเทียบจากสัปดาห์ที่ผ่านมา มาอยู่ที่ 30.04% ขณะที่สัดส่วนนักลงทุนที่เชื่อว่าตลาดหุ้นสหรัฐในระยะ 6 เดือนข้างหน้ากำลังกลับเป็นขาลง หรือ Bearish ที่ลดลง 5.48% เมื่อเทียบจากสัปดาห์ที่ผ่านมา มาอยู่ที่ 42.12%

ความขัดแย้งสหรัฐ-จีนกดดันการดีดตัวขึ้น ! อย่างไรก็ตามยังคงมีความเสี่ยงหลักที่น่าจับตามองอย่างการเจรจาเกี่ยวกับการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหม่ของสหรัฐที่ยังไม่มีความคืบหน้า โดยพรรคเดโมแครต Democrats เสนอให้มีการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงินมากกว่า 3 ล้านล้านดอลลาร์ ขณะที่ทำเนียบขาวต้องการให้มีวงเงินเพียง 1 ล้านล้านดอลลาร์

รวมทั้งปัจจัยเสี่ยงจากการเมืองระหว่างประเทศที่เพิ่มขึ้นอีก หลังจากทางกระทรวงต่างประเทศของจีนประกาศคว่ำบาตรนักการเมืองสหรัฐ 11 นาย ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่โจมตีจีนมาโดยตลอดและแสดงการต่อต้านกฎหมายความมั่นคงในฮ่องกงของจีนอย่างชัดเจน เพื่อเป็นการตอบโต้จากจีนหลังจากที่อาทิตย์ก่อน รัฐบาลสหรัฐได้ประกาศคว่ำบาตรเจ้าหน้าที่ของจีนและฮ่องกงจำนวน 11 ราย ขณะที่การเจรจาข้อตกลงการค้าเฟสที่ 1 (Trade Talk) ของทั้งสหรัฐและจีนได้โดนเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด ซึ่งทางสำนักงานผู้แทนการค้าของสหรัฐก็ไม่ได้มีคำอธิบายว่าทำไมถึงต้องเลื่อนออกไป

ทั้งนี้ในครั้งนี้เป็นการที่ประธานาธิบดี Donald Trump ได้สร้างความขัดแย้งกับจีนเพิ่มเติม หลังจากก่อนหน้านี้ได้ออกคำสั่งแบน TikTok และให้บริษัทแม่ของ TikTok หรือบริษัท ByteDance ขายสินทรัพย์ในสหรัฐออกทั้งหมดภายในเวลา 90 วัน

นอกจากนี้ในฝั่งของยุโรป ตลาดหุ้นยุโรปยังคงถูกกดดันอย่างหนัก จากการประกาศมาตรการจำกัดการเดินทางเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดรอบใหม่ของโรค COVID-19 โดยรัฐบาลอังกฤษ ที่กำหนดให้ทุกคนที่เดินทางมาจากประเทศฝรั่งเศสต้องกักตัวเป็นเวลา 14 วัน เนื่องจากจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัส COVID-19 ในฝรั่งเศสมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น

นอกจากนี้รัฐบาลอังกฤษยังได้รวมเนเธอร์แลนด์, มอลตา และอีก 3 ประเทศ อยู่ในรายชื่อประเทศที่ผู้เดินทางจะต้องกักตัวเมื่อเข้ามายังอังกฤษด้วย หลังจากที่ก่อนหน้านี้อังกฤษได้นำมาตรการดังกล่าวมาใช้กับสเปน และเบลเยียมไปแล้ว ส่วนทางฝั่งรัฐบาลฝรั่งเศสก็ได้ออกมาเตือนว่าพวกเขาอาจจำเป็นต้องปรับใช้มาตรการในทำนองเดียวกัน โดยการกระทำเหล่านี้เพื่อควบคุมไม่ให้มีการแพร่ระบาดเพิ่มขึ้นอย่างรุนแรงอีกครั้ง

ดังนั้นในทางเทคนิคระยะสั้นสำหรับตลาดหุ้นไทย ตราบใดก็ตามที่ SET ยังคงไม่สามารถกลับไปปิด เพื่อสร้างฐานในกรอบ 1,400-1,450 จุดได้ การดีดตัวขึ้นช่วงสั้นยังคงมองว่าเป็นเพียงแค่การ Technical Rebound เท่านั้น และยังคงไม่สามารถยืนยันการปรับตัวขึ้นต่ออย่างจริงจังได้

ในส่วนของกลยุทธ์ สำหรับการลงทุนระยะสั้น (ไม่เกิน 1 สัปดาห์) ตราบใดที่ SET ยังกลับไปยืนเหนือ 1,370 จุด (+/-) ไม่ได้ เน้น “ดีดขึ้นขาย” ในลักษณะ “Short Against” เพื่อรอกลับมาทยอยสะสมหุ้น CPALL, BJC, BEM, EGCO, BCH, GPSC, BTS, HMPRO, ADVANC และ ADVANC อีกครั้ง สำหรับการลงทุนระยะกลาง (1-3 เดือน) ในลักษณะ Long-Only แนะนำ “คงสัดส่วนการลงทุนในหุ้นมาอยู่ที่ระดับ 25% ของพอร์ต”

ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่ความเห็นส่วนตัวของผมนะครับ โปรดใช้วิจารณญาณ และศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนการตัดสินใจลงทุนด้วยครับ สำหรับการพูดคุยกันระหว่างสัปดาห์นอกจากทาง Facebook ที่ www.facebook.com/wealthhuntersclub และ e-mail ที่ moobin.stockmania@gmail.com แล้ว แฟนๆยังสามารถติดตามมุมมองเกี่ยวกับการลงทุนจาก “นายหมูบิน” ได้ในรายการ ”เซียนเศรษฐกิจ” ทาง FM 97 ทุกวันอาทิตย์ เวลา 14.00-16.00 น. เช่นเดิมครับ


ภาพประกอบ : การวิเคราะห์ทิศทางตลาดหุ้นไทยในทางเทคนิครายสัปดาห์ (weekly)

Source: Wealth Hunters Club

18 views
bottom of page