top of page
456218.jpg

ส่งออกเหนื่อยหนัก ภาษีทรัมป์-บาทแข็ง




ความวัวเรื่องภาษีทรัมป์ยังไม่ทันหาย ความควายเรื่องเงินบาทแข็งค่าก็เข้ามาเพิ่ม ผู้ส่งออกเหนื่อยหนัก ยิ่งใกล้สิ้นสุดช่วงผ่อนผัน 90 วันยิ่งเครียด ผู้ส่งออกไทยไม่กล้าขนของลงเรือ ผู้นำเข้าทางอเมริกาก็ให้ชะลอการส่งออกไว้ก่อน สุดท้ายผู้ส่งออกอยู่ในภาวะเงินหายรายได้หด แบกสต๊อก แบกค่าใช้จ่ายที่มีต้นทุนสูง หวั่นปัญหาบานปลายระยะยาว ถ้าไทยได้ส่วนลดภาษีน้อยกว่าคู่แข่ง จะทำให้เสียเปรียบคู่แข่งทันทีหลังจากที่ไทยเสียแชมป์ส่งออกข้าวและอีกหลายๆ สินค้าในรอบหลายปีที่ผ่านมา เร่งรัฐบาลต้องเข้ามาแก้ปัญหาโดยด่วน โดยเฉพาะการเจรจากับอเมริกาเพื่อให้ไทยโดนกำแพงภาษีน้อยที่สุด ที่สำคัญคือต้องน้อยกว่าหรือเท่ากับคู่แข่งในอาเซียน รวมทั้งภาครัฐต้องวางแผนระยะยาวในการรักษาความมั่นคงด้านการส่งออกของไทย ตลอดจนพัฒนาศักยภาพในการผลิต และศักยภาพการแข่งขันในภาวะที่ผู้บริโภคทั้งไทยและต่างชาติต่างรัดเข็มขัด ประหยัดการใช้จ่าย

 

Interview : คุณกัณญภัค ตันติพิพัฒน์พงศ์ ที่ปรึกษาสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) 


ตอนนี้นอกจากเรื่องเก่าภาษีทรัมป์ยังไม่จบ ก็มีเรื่องใหม่มา เรื่องใหม่คือค่าเงินบาทที่แข็งถึง 32-33 บาท

      

ใช่ค่ะ ก็เหนื่อยสำหรับผู้ส่งออก จริงๆ ตลาดอเมริกาก็ยังเป็นตลาดคู่ค้าสำคัญของเรา ทำให้กลายเป็นว่าภาวะเศรษฐกิจที่กระทบกันทุกวันนี้ส่งผลให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างที่เราก็ไม่คาดการณ์มาก่อนเลย ช่วงนี้ต้องบอกว่าเป็นช่วงที่เหนื่อย แล้วยิ่งสินค้าที่มีมูลค่าของในประเทศสูงอย่างสินค้าเกษตร อาหาร ที่เราส่งออกเยอะก็เลยทำให้ส่งผลกระทบในเรื่องของต้นทุนด้วย

 

ค่าเงินบาทที่แข็งทำให้ของเราขายยากขึ้นไหม ขายแพงขึ้นไหม

      

จริงๆ ช่วงนี้เรื่องของการขายอาจจะมีเรื่องของระยะเวลาที่ไม่ได้ขายทันที แต่ต้องมองว่าสิ่งที่เรารับออร์เดอร์มาแล้ว สิ่งที่เราส่งไปแล้ว ส่งออกวันนี้ผลกระทบคือรายได้ในรูปของเงินบาทลดน้อยลง ในขณะที่เราก็เห็นว่าต้นทุนของไทยเราก็สูง ของขายใหม่ถ้ามองไปในอนาคตยากแน่นอน เพราะมองว่าต้นทุนของเราควรจะขายราคาที่เท่าไหร่ พอเราต้องกดในราคาดอลลาร์ที่สูงขึ้น ผู้ซื้อเองเขาก็ไม่สบายใจเพราะส่งผลกระทบในเรื่องของค่าภาษีอีก บางประเทศที่เราไม่มีผลกระทบเรื่องภาษีคงไม่เท่าไหร่ แต่ของที่ไปสหรัฐ ถ้าเราขายราคาแพงขึ้นก็โดนภาษีมากขึ้น ก็เลยกลายเป็นว่าอีกหน่อยเราจะไม่รู้ว่าลูกค้าจะยอมซื้อของเราอีกมากน้อยแค่ไหนเหมือนกัน

 

เรื่องกำแพงภาษีที่เลื่อนออกไป 90 วัน ผู้ส่งออกทำอะไรกันใน 90 วันนี้

      

จริงๆ แล้ว 90 วันตอนนี้ก็ยังมีความไม่ชัดเจนว่า 90 วันหมายถึงนับถึงวันที่สินค้าส่งออกจากประเทศไทยหรือว่านับ 90 วันที่สินค้าต้องถึงประเทศสหรัฐ ซึ่งถ้าบอกว่านับ 90 วันสินค้าถึงสหรัฐ ก็ใกล้กำหนดเวลา เพราะมีเรื่องของเรือที่เดินทางไปด้วย แล้วยิ่งช่วงหลังมีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องการหาระวางเรือด้วย เรือดีเลย์เป็นประจำเลย ยิ่งทำให้การส่งมอบ ยิ่งไม่แน่นอน แต่วันนี้ก็มีลูกค้าขอชะลอการส่งไปเลย เพราะถ้าเข้าไปแล้วการเจรจาเรื่องภาษียังมีความไม่ชัดเจน กำหนดการของเรือที่จะถึงในประเทศปลายทางสหรัฐยังไม่ชัดเจน ก็มีความเสี่ยงที่จะเจออัตราภาษีสูง ผู้นำเข้าที่สหรัฐหลายรายก็บอกว่าให้รอไปก่อน รอดูผลการเจรจาอย่างอเมริกากับอังกฤษสำเร็จไปแล้วที่ 10% ส่วนของไทยถึงแม้เราจะมีเรื่องของดุลการค้าค่อนข้างสูงเป็นอันดับประมาณ 1 ใน 10 หรือ 1 ใน 12 ถือว่าค่อนข้างสูง แต่จริงๆ แล้วก็ต้องบอกว่าเรายังรอดูท่าทีอยู่เหมือนกันเพราะสหรัฐอเมริกาก็ยังไม่ได้เริ่มการเจรจากับประเทศไทย ก็ยังรอดูท่าทีกันว่ากับประเทศใหญ่ๆ คู่ค้าสำคัญของสหรัฐอเมริกาเจรจาไปถึงไหนแล้ว แต่วันนี้ 10% ก็ต้องบอกว่ายังถือว่ายังดีกว่าถ้าเราจะโดนเต็มที่ 36% ถ้าสหรัฐอเมริกาบอกเรียก 10% เท่ากันทุกประเทศเลยยังดีกว่า คืออาจไม่ดีในเรื่องของต้นทุน ผู้นำเข้าเองอาจจะต่อรองราคาเรา ลูกค้าก็ต่อรองราคาเรา ผู้บริโภคก็โดนภาษีที่สูงขึ้นแฝงอยู่ในราคาขายหรือที่ตัวเองไม่รู้ทำไมต้องซื้อของแพงขึ้น แต่ที่ 10% ในฐานะของผู้ผลิตผู้ส่งออกเรามองว่าเรายังแข่งขันบนพื้นฐานเดียวกัน ฟิลิปปินส์ก็โดน 10% ไทยก็โดน 10% อินโดนีเซียเพื่อนบ้านทุกประเทศของเราทั้งคู่ค้าคู่แข่งโดนเท่ากันหมด เราก็จะยังพอสู้กันได้ แต่ถ้าแตกต่างกันเมื่อไหร่เราคงยิ่งเหนื่อย

 

เมื่อลูกค้าคือผู้ซื้อที่อเมริกาขอให้ไทยหยุดหรือชะลอการส่งออกไว้ก่อน อย่าเพิ่งส่งเข้าไป จะส่งผลกระทบต่อผู้ส่งออกไทยไหม ต้องหยุดการผลิต หยุดเครื่องจักร หรือหยุดจ้างคนไหม

      

ก็อาจจะยังไม่ถึงกับต้องหยุด หรือเลิกจ้างคน แต่ก็กลายเป็นว่าต้นทุนการผลิตจะสูงขึ้น เพราะในวงจรธุรกิจปกติพวกเราขายเป็นลักษณะค่อนข้างจะเหมือนเงินสด คือส่งของไปก็ได้เงินเลย แต่พอทันทีที่เราต้องชะลอกการส่งก็กลายเป็นว่าต้นทุนเราสูงขึ้นเพราะเราจะต้องมีภาระในการแบกสินค้า คือวนกลับมาว่ามีเรื่องของภาษี ความเสียหายเรื่องของดอกเบี้ย เพราะฉะนั้นผู้นำเข้า ผู้ส่งออก ผู้ผลิต ก็ต้องคอยเฝ้าระวังวงจรและกระแสเงินสดของตัวเองด้วย เพราะถ้าเกิดเอาไปเก็บเป็นสินค้าแบบสำเร็จรูปเยอะเกินไป ถ้าเราหมุนไม่ไหวก็จะเกิดภาระของเรื่องดอกเบี้ยเพิ่มเข้ามาอีก ก็จะกลายเป็นต้นทุนสูงขึ้นไปอีก

 

ก็โดนเกือบทุกดอก ทุกด้านเลย

      

ใช่ บาทก็แข็ง ลูกค้าชะลอการส่งมอบ แล้วยังโดนภาษีอีก ถึงแม้วันนี้จะน้อยคือแค่ 10% แต่ก็ยังถือว่าต้นทุนแพงขึ้น ถ้าเกิดการต่อรองราคาขึ้นมาก็ไม่ใช่จังหวะที่ดีเลยช่วงนี้

 

ตอนนี้คิดว่าทางการควรจะเข้ามาดูแลช่วยเหลือผู้ส่งออกอย่างไรบ้าง

      

เรื่องของการเจรจายังไงก็ต้องเจรจา แต่ถ้าดูจากแนวโน้มปัจจุบันอันนี้เป็นความเห็นส่วนตัว ไม่ใช่เป็นของสมาคม คือเมื่อสหรัฐอเมริกาเจรจากับอังกฤษออกมาที่ 10% แล้ว เรามองว่าถ้าเรายังรักษาความเป็นมิตรกับสหรัฐอเมริกา ถ้าเราเดินทางสายกลาง เป็นมิตรกับทางคู่ค้าทุกๆ ประเทศ แล้วเราสามารถรักษาอัตราภาษีอยู่ที่ 10% ได้ ให้เหมือนกับที่ประเทศอังกฤษได้ไปแล้ว มองว่ายังพอบริหารจัดการได้

      

แต่อย่างไรก็ตามต้องยอมรับว่า เราก็ไม่ได้มีแต้มต่อใครทั้งคู่แข่งในประเทศอาเซียนหรือคู่แข่งในบางประเทศ สิ่งหนึ่งที่เรากังวลคือต้นทุนค่าแรงถูกกว่าไหม หรือว่าศักยภาพในการผลิตของเราโดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหาร เกษตร ของเราสู้ได้ไหม เพราะมีการพูดกันมากว่าจะต้องเปิดตลาดอะไรให้สหรัฐบ้างหรือเปล่า ถ้ามีการเปิดตลาดในบางสินค้าให้ทางสหรัฐ แล้วทางผู้ผลิต ทางเกษตรกร เราจะถูกกระทบไหม

      

คือจริงๆ เราคงต้องมองระยะยาวแล้ว อย่าคิดว่าระยะสั้นเป็นเรื่องของภาษี แต่เราต้องคิด ต้องมองระยะยาวว่าเราจะรักษาความมั่นคงในเรื่องของการผลิตของไทยต่อไปได้อย่างไร ศักยภาพในการผลิต ศักยภาพในการแข่งขันของเราเป็นอย่างไร อย่างประเทศไทยเสียตำแหน่งผู้ส่งออกข้าวไปแล้ว เสียตำแหน่งผู้ส่งออกหลายๆ อย่าง อันนั้นเป็นเพราะคู่แข่งของเรามีประสิทธิภาพดีกว่า เขาเสนอราคาได้ถูกกว่าหรือไม่ แต่ถ้าเราจะรักษาเรื่องของความมั่นคงบางครั้งไม่ต้องถูกที่สุด แต่ว่าทำยังไงให้พวกเราผู้ผลิตต้องสามารถที่จะอยู่ได้ เกษตรกรต้องอยู่ได้ เราอยากจะฝากภาครัฐให้ดูในเรื่องการเพิ่มประสิทธิภาพให้กับสายการผลิตของเราได้ยังไง

 

ในธุรกิจอาหารคิดว่าภาษีเพิ่มขึ้น 10% ไหวไหม รับได้ไหม

      

เราไม่ได้มองดูว่าอัตราภาษีอยู่ที่เท่าไหร่ เรามองดูว่าอัตราภาษีเทียบเท่ากับคู่แข่งเราหรือเปล่า อันนี้ในภาคธุรกิจอาหาร อย่างเช่นในหมวดข้าวเราต้องสู้กับเวียดนาม สู้กับอินเดีย พวกผลไม้อาจจะสู้กับฟิลิปปินส์ สู้กับอินโดนีเซีย มีสินค้าหลายๆ ตัวที่เราสู้กับประเทศในกลุ่มอาเซียนด้วยกัน ก่อนหน้าที่จะมีการปรับอัตราภาษีลงมาเหลือ 10% ฟิลิปปินส์โดน 18% เวียดนามโดน 40% กว่า เพราะเขาได้ดุลการค้าจากสหรัฐอเมริกามากมาย แล้วอินโดนีเซียโดน 34% แต่เราโดน 36% ข้อแตกต่างภาษีตัวนี้ก็จะส่งผลให้เราแข่งได้หรือแข่งไม่ได้

      

จะเห็นเลยว่าเวียดนามตกใจมากเลยที่ตัวเองโดน 40% ประธานาธิบดีเวียดนามประกาศวันแรกทันทีที่รู้ผลเลยว่ายินดีลดอัตราภาษีให้สหรัฐเหลือ 0% หมด ก็เป็นการเจรจา เพราะยังไงทางผู้ส่งออก ประเทศที่อาศัยการส่งออกก็ต้องหาทางให้ส่งออกได้ อย่างเวียดนาม ถ้าเวียดนามโดนกว่า 40% เขาก็จะมีความรู้สึกว่าเขาเสียเปรียบในการแข่งขันกับประเทศไทย ส่วนประเทศไทยโดน 36% ก็จะเสียเปรียบฟิลิปปินส์ในสินค้าบางกลุ่ม

      

แต่ถ้าทุกคนโดนเท่ากันหมดที่ 10% ก็จะมีความรู้สึกว่าก็ไม่ได้เสียเปรียบใคร แต่โอกาสขยายตลาดอาจจะยากเพราะผู้บริโภคอาจจะมองว่าของแพงขึ้น จะเก็บเงินเอาไว้ อย่างล่าสุดมีข่าวบอกว่าช่วงนี้ถือว่าเป็นช่วงจะเข้าซัมเมอร์ของทางด้านยุโรป อเมริกา คือสหรัฐ พวกค่าใช้จ่ายเฟอร์นิเจอร์และที่เกี่ยวกับการตกแต่งบ้านยอดตกหมดเลย ยอดขายตก เป็นเพราะเขาบอกว่าของแพงขึ้น ภาษีแพงขึ้นก็แฝงในราคาขาย เศรษฐกิจในลักษณะนี้เขาก็กลัวว่าจะเกิดเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ยก็ยังสูงอยู่ กลายเป็นว่าตอนนี้ผู้บริโภคใช้จ่ายเงินน้อยลง อันนี้ไม่ดี ก็จะกระทบในเรื่องของการขายของเราไปด้วย

 

ของไทยส่งออกผลไม้สำเร็จรูปไปอเมริกา ปีหนึ่งสักเท่าไหร่

      

มูลค่าผลไม้แปรรูปส่งออกของไทยค่อนข้างสูง ปีหนึ่งก็ได้ถึงประมาณเกือบ 40,000 ล้านบาท รวมถึงสินค้าหลายๆ รายการ ถ้ามีปัญหาเราก็กระเทือน

 

เพราะฉะนั้นคงต้องพยายามรักษาตลาดนี้ไว้ได้ใช่ไหม

      

ต้องฝากเรียนกลับไปที่ทางกระทรวงพาณิชย์ คณะรัฐบาล ต้องรีบช่วยทางผู้ส่งออก ต้องเข้าไปดูท่าทีของการเจรจาว่าจะเริ่มเจรจากันได้เมื่อไหร่ จะสามารถลดภาษีลงมาได้มากที่สุดเท่าไหร่กัน

 

Comments


bottom of page