top of page
312345.jpg

คนไทยไม่มั่นใจ...120 วัน 'เปิดบ้าน'



Interview : คุณวิโรจน์ ลักขณาอดิศร

ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล


เปิดประเทศใน 120 วัน ถ้าตั้งใจทำจริงๆ เชื่อว่าทำได้ แต่ด้วยภาวะผู้นำ คนในรัฐบาลพูดกันคนละทางสองทาง ทำให้ความน่าเชื่อถือลดน้อยถอยลง ประชาชนขาดความมั่นใจครั้งแล้วครั้งเล่า โดยเฉพาะเรื่องวัคซีนที่ไม่เคลียร์คัทชัดเจน วัคซีนมากระท่อนกระแท่น เลื่อนฉีดเป็นว่าเล่นทั่วประเทศ หนำซ้ำ นายกฯ ยังมาชวนประชาชนให้เสี่ยงไปด้วยกันโดยไม่มีข้อมูลและแนวทางที่เชื่อถือได้ เป็นใครก็ไม่กล้าไปเสี่ยงด้วยเพราะจะมีแต่เจ๊งกับเจ๊ง


มีความคิดเห็นอย่างไรที่นายกรัฐมนตรี ประกาศจะเปิดประเทศในช่วง 4 เดือนจากนี้ หรือประมาณวันที่ 16 ตุลาคม 2564

โดยศักยภาพของโรงพยาบาล และหมอ คิดว่าสามารถฉีดวัคซีนให้ประชาชนได้มากพอใน 120 วัน หากนับวันที่ 16 มิถุนายนที่ผ่านมาจะไปครบเอาในวันที่ 14 ตุลาคม 2564 ซึ่งอัตราการฉีดถ้านับจากวันที่ประกาศ จะเหลือ 118-119 วัน เท่ากับจะต้องฉีดให้ได้วันละ 376,000 โดสเฉพาะเข็มแรก ซึ่งส่วนตัวยืนยันว่าอยู่ในศักยภาพที่บุคลากรทางการแพทย์จะทำได้ เพราะวันที่ 8 มิถุนายนเราฉีดเข็มแรกได้ที่ 420,000 โดส ส่วนวันที่ 7 มิถุนายน วันเปิดศักราชมาได้เกือบ 390,000 โดสเฉพาะเข็มแรก

แต่อย่างไรก็ตามส่วนตัวเข้าใจว่าน่าจะมีปัญหาเรื่องการกระจายสต็อกวัคซีน อาจจะมีความกระท่อนกระแท่นในการส่งมอบวัคซีนด้วย ทำให้หลังจากวันที่ 9 มิถุนายนเป็นต้นมาการฉีดก็กระท่อนกระแท่น วันที่ 14 มิถุนายนดีขึ้น แต่วันที่ 15-16 มิถุนายนจนถึงปัจจุบันก็ยังกระท่อนกระแท่นอยู่ ส่วนข้อมูลในวันที่ 17 มิถุนายนก็ยังฉีดเข็มแรกได้ที่ 130,000 โดสเท่านั้นเอง ทำให้เฉลี่ยเราฉีดเข็มแรกวันละประมาณ 220,000 โดส จากเป้าหมายที่เราต้องการฉีด 50 ล้านคนที่ฉีดเข็มแรก เราต้องฉีดให้ได้วันละประมาณ 370,000-380,000 โดส ก็ยังค่อนห่างไกล แต่ว่ายังไม่เกินศักยภาพ


คือต้องฉีดวัคซีนเข็มแรกให้ได้อย่างน้อยสัก 50 ล้านคน เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่

ใช่ ต้องครอบคลุม รัฐบาลจะต้องรายงานเปอร์เซ็นต์ของประชากรที่ได้รับวัคซีน คือไม่ใช่รายงานจำนวนโดส ส่วนตัวเคยอ่านรายงานปรากฏว่าเราฉีดไปกว่า 5 ล้านโดสแล้ว เป็นที่สามของอาเซียน ส่วนตัวบอกเลยว่ารายงานแบบนั้นไม่ได้ อย่างสิงคโปร์มีประชากร 5.7 ล้านคน สมมุติเราฉีด 6 ล้านคนแต่ไทยมีประชากร 67 ล้านคน อย่างนี้เราชนะสิงคโปร์แล้วหรือ คือต้องคิดเป็นสัดส่วน เราคิดเป็นจำนวนประชากรไม่ได้

นอกจากการฉีดต้องครอบคลุมแล้ว เราต้องให้ความสำคัญกับคุณภาพของวัคซีนด้วย คำว่าคุณภาพคือประสิทธิภาพในการป้องกันการแพร่ระบาด ไม่ใช่แค่ประสิทธิภาพป้องกันการป่วยหนักหรือป้องกันการเสียชีวิต คือถ้าจะเปิดประเทศเปิดเศรษฐกิจ วัคซีนที่ใช้ต้องมีประสิทธิภาพในการป้องกันการแพร่ระบาดด้วย ถ้าป้องกันป่วยหนัก แต่ปรากฏว่า ยังติดกันงอมแงมแบบที่ชิลี หรือตุรกี ก็ยังจะเปิดประเทศไม่ได้

ดังนั้น จึงอยากเรียกร้องว่า รัฐบาลควรจะต้องรายงาน อย่างรายงานผู้ติดเชื้อรายใหม่ประมาณ 2,000-3,000 ราย ควรต้องรายงานหรือไม่ว่าตรวจไปกี่ราย และจาก 2,000-3,000 ราย มีผู้ติดเชื้อที่ได้รับวัคซีนเข็มแรกไปแล้วกี่ราย ยังไม่ได้รับวัคซีนกี่ราย หรือรับ 2 เข็มไปแล้วกี่ราย และแยกยี่ห้อวัคซีนให้ด้วย จากแอสตราเซเนกาเท่าไหร่ จากซิโนแวกเท่าไหร่ เพราะจะเป็นตัวเลขที่ประเมินประสิทธิภาพของวัคซีนด้วย ไม่เช่นนั้นเราจะไม่รู้อะไรเลย


จากที่นายกรัฐมนตรีประกาศ 120 วันเปิดประเทศ จะทำได้หรือไม่

ผ่านมาไม่กี่วัน ความกังวลมันก็มี จริงๆ ความกังวลส่วนตัวไม่ได้เกิดขึ้นทันที แต่ความกังวลส่วนตัวเกิดจากวันรุ่งขึ้น พอนายกรัฐมนตรีบอก 120 วันนับจากวันที่ 16 มิถุนายน พอข้ามคืน ทางรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุขบอก 120 วันเป็นการสร้างสรรค์กำลังใจ ทางรองนายกรัฐมนตรี สุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ ก็มาบอกว่า 120 วันนับจากวันที่ 1 กรกฎาคม และต่อมาอีกวันหนึ่งโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีก็มาบอกว่า 120 วันไม่ใช่เคานต์ดาวน์ เป็นเพียงแค่หลักการและเตรียมความพร้อมพื้นที่ ทำให้ไม่สะท้อนภาวะผู้นำของนายกรัฐมนตรีเลย แล้วทำให้ความมั่นใจของประชาชน ลดน้อยถอยลง แต่ส่วนตัวยืนยันว่าศักยภาพในการฉีดถ้าวัคซีนมีพอ ระดับต่อวัน 400,000-500,000 โดสทำได้ เพียงแต่ว่าวันนี้เดาว่าปัญหาน่าจะมาจากระบบฐานข้อมูลที่ไม่ได้เชื่อมโยงกัน และเรื่องการส่งมอบวัคซีนยังกระท่อนกระแท่น ซึ่งวันนี้ส่วนตัวเรียกร้องให้เปิดเผยตัวเลขขั้นต่ำ ส่วนตัวเข้าใจว่าวัคซีนเป็นชีววัตถุ ซึ่งอาจจะเอาเป๊ะๆ ไม่ได้ แต่อย่างน้อยการรายงานประมาณการตัวเลขขั้นต่ำที่จะส่งมอบในแต่ละสัปดาห์ มันไม่ได้เกินวิสัยที่จะรายงาน

ที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีบอกให้ประชาชนร่วมเสี่ยงไปด้วยกัน คือถ้าเราลงทุน มีกองทุนชี้ชวนให้เราไปลงทุน จะต้องมีหนังสือชี้ชวน บอกว่าเราจะมีความเสี่ยงอะไรบ้าง แล้วจึงจะพร้อมเต็มใจที่จะเสี่ยง พร้อมที่จะลงทุน แต่นี่ปรากฏว่าบอกอะไรก็ไม่บอก ถามอะไรก็บอกว่า เดี๋ยวทยอยมา แล้วใครจะไปเต็มใจเสี่ยงกับคุณ และการเสี่ยงครั้งนี้เป็นการเสี่ยงแบบเอาชีวิตเข้าไปเสี่ยง เอาชีวิตคนที่เขารักไปเสี่ยง เอาปากท้อง เอาความที่จะสิ้นเนื้อประดาตัวไปเสี่ยง คือไม่มีหนังสือชี้ชวน ไม่มีรายละเอียด ไม่มีข้อมูลอะไรมาบอก แล้วใครจะไปเสี่ยงกับท่าน

ทั้งนี้ 120 วันที่จะเปิดเศรษฐกิจ หลายคนก็เอาเงินก้อนสุดท้ายมาลงทุน หลายคนต้องไปกู้มา แล้วถ้าเกิดไปกู้มา เอาเงินก้อนสุดท้ายมาปรับปรุงร้าน มาลงทุนเพิ่ม แล้วปรากฏว่าไม่เป็นไปตามแผน ก็จะลำบากกัน ก็จะเจ๊งกัน คือถ้า 4 เดือนทำไม่ได้แล้วยืดออกไป แต่เงินก้อนสุดท้ายเขาลงทุนไปแล้ว


ในแง่การเมือง จำเป็นหรือไม่ที่นายกรัฐมนตรีต้องมาประกาศเรื่องนี้

คิดว่าการฉีดวัคซีนตั้งแต่วันที่ 7 มิถุนายนคือคำว่ามีฉีดของประชาชน ไม่ได้หมายความว่า มีฉีดวันเดียวโดสเดียว ก็เรียกว่ามีฉีดนะ คำว่ามีฉีดของประชาชน คิดว่าจะต้องฉีดได้อย่างต่อเนื่อง วันนัดหมายที่ปรากฏในหมอพร้อมเป็นวันไหน ถ้าไปตามวันเวลานัดต้องได้ฉีด ไม่ควรต้องมากระวนกระวายใจมาคอยเช็กว่าจะได้ฉีดหรือไม่ ต้องรอตรวจสอบรายชื่อว่าตัวเองจะได้ฉีดหรือเปล่า แพทย์พยาบาลก็ไม่คาดคิดว่าต้องมานั่งอัปเดตรายชื่อประจำวัน แล้วต้องมานั่งบอกประชาชนว่า ไม่ต้องยึดวันนัดหมอพร้อม คือมันเป็นการฉีดที่กระท่อนกระแท่นแล้วสร้างปัญหาหน้างาน ที่คนหน้างานต้องตามล้างตามเช็ด อย่างนี้ไม่เรียกว่ามีฉีด

แล้วส่วนตัวคิดว่า การปล่อยให้สถานการณ์เป็นแบบนี้ จริงๆ มันบ่มเพาะปัญหามาก่อนวันที่ 7 มิถุนายนแล้ว และปัญหาดินพอกหางหมูก็เกิดขึ้นมาเรื่อยๆ จนมาระเบิดที่กรุงเทพฯ ที่โรงพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุขอย่างเลิดสิน และโรงพยาบาลเอกชนต่างๆ ในกรุงเทพฯ มีการเทประชาชน ซึ่งทางผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครบอกเฉพาะหมอพร้อมวันที่ 15-20 มิถุนายน 140,000 คน และไทยร่วมใจอีก 170,000 คน รวมแล้วประมาณ 310,000 คนในกรุงเทพฯ นี่เหล่านี้ยังไม่นับปัญหาต่างจังหวัด อย่างนครปฐม สระบุรีที่วันนี้ได้ขึ้นบัญชีแต่ยังกำหนดวันฉีดไม่ได้

การปล่อยให้สถานการณ์เป็นแบบนี้ ก็ยิ่งทำให้ความเชื่อมั่นของประชาชนต่อรัฐบาล ลดน้อยถอยลง ก็เลยต้องออกมาประกาศความเชื่อมั่น คือที่ผ่านมาท่านออกมาหลายคน จริงๆ แล้วภายในของท่านได้มีการสื่อสารกันหรือไม่ พอประกาศไปว่านับตั้งแต่วันนี้ 16 มิถุนายน ปรากฏว่าทางรองนายกรัฐมนตรีบอกนับวันที่ 1 กรกฎาคม โฆษกมาบอกว่าเป็นแค่หลักการ เป็นตัวเลขเตือนความพร้อม และทางรัฐมนตรีช่วยบอกเป็นขวัญกำลังใจ ก็ยิ่งไปกันใหญ่ การบริหารจัดการมันไม่มีเอกภาพ ประมาณว่าจะไม่ทำก็ไม่ได้ ปล่อยให้สถานการณ์มันเละตุ้มเป๊ะอย่างนี้ ประชาชนก็ยิ่งไปกันใหญ่ ครั้นจะประกาศก็ไม่มั่นใจว่าระบบต่างๆ ฐานข้อมูลต่างๆ ได้รับการปรับปรุงให้เชื่อมโยงกันแล้วหรือยัง การติดตามส่งมอบวัคซีนจะได้หรือไม่ คือตัวเลขมันน่าตกใจมาก 60 กว่าล้านโดสที่เราเคยรับรู้มาตลอดว่ามิถุนายน 6 ล้านโดส กรกฎาคมถึงพฤศจิกายนเดือนละ 10 ล้านโดส และเดือนธันวาคมอีก 5 ล้านโดส รวมเป็น 60 ล้านโดสในปี 2564 ที่แอสตราเซเนกาต้องส่งให้เรา ปรากฏมีข่าวว่าหมายถึงศักยภาพในการฉีด คนก็ตกใจ เพราะคิดว่าตัวเลขที่ผ่านมาเป็นตัวเลขการส่งมอบ แล้วถ้าเกิดเป็นศักยภาพในการฉีดทำไมต้องแยกยี่ห้อด้วยหรือว่าซิโนแวกเท่าไหร่ แอสตราเซเนกาเท่าไหร่ แล้วมันยิ่งมีปัญหาที่ประชาชนตั้งข้อสังเกตเอง อ้าวแล้วสั่งซื้อซิโนแวกมาต่อเนื่องทำไม ทั้งที่ซิโนแวกถูกนำเสนอว่าเป็นวัคซีนแก้ขัดเฉพาะหน้า แต่วัคซีนหลักคือแอสตราเซเนกา ซึ่งลองมานับดูปรากฏว่าจากการส่งมอบวัคซีนของแอสตราเซเนกาวันนี้ยังเหลืออีกกว่า 2 ล้านโดสที่ยังไม่ส่งมอบ คือวีคสามส่ง 240,000 โดส วีคสี่ส่งอีก 2,580,000 โดส ซึ่งตอนนี้ส่งมาแล้ว 240,000 โดส และอีก 1,800,000 โดส และ 1,580,000 โดส ซึ่งก็ยังขาดอีกกว่า 2,000,000 โดส ปรากฏว่ามีการสั่งซิโนแวกเข้ามาทำแทนเพิ่มเติม ประชาชนก็สงสัยว่าซิโนแวกเป็นวัคซีนหลักหรือแอสตราเซเนกาเป็นวัคซีนหลักกันแน่

ถ้าซิโนแวกเป็นวัคซีนหลัก ควรมีประสิทธิภาพในการป้องกันการแพร่ระบาด ไม่ใช่ก้มหน้าก้มตาฉีด เข็มนึง 500-600 บาท ถ้ามันป้องกันการแพร่ระบาดไม่ได้ มันไม่สูญเปล่าหรือ


120 วันนานไปไหม

คิดว่ามันอยู่ในศักยภาพที่ทำได้ถ้าตั้งใจทำ คือเป็นตัวเลขที่ท้าทาย เป็นไปได้ถ้าตั้งใจทำ แต่ถ้ายังทำกันแบบนี้ บริหารงานแบบขาดเอกภาพกันแบบนี้ ระบบฐานข้อมูลก็ยังไม่รู้ว่าปรับปรุงเชื่อมโยงกันหรือยัง การสื่อสารกับประชาชนยังเป็นแบบนี้ อัตราการฉีดยังสาละวันเตี้ยลงแบบนี้ กระท่อนกระแท่นแบบนี้ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ยังแก้ปัญหากันไม่ตก ก็ต้องติดตามกันต่อไป ว่าจะแก้กันได้หรือเปล่า แต่ตอนนี้ส่วนตัวยืนยันแม้ว่าตอนนี้เราจะฉีดได้ต่ำกว่าเป้า แต่อัตราการฉีดวันละ 370,000-380,000 โดสยังอยู่ในวิสัยที่เราทำได้ แต่ถ้าเราปล่อยให้สถานการณ์แบบนี้ไหลไปเรื่อยๆ แล้วเกิดปัญหาดินพอกหางหมู สุดท้ายอัตราการฉีดทดแทนก็จะสูงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งถ้ามันเกินกว่าศักยภาพเมื่อไหร่ก็จะเป็นปัญหา ส่วนตัวจะคอยติดตามและรายงานผ่านเฟซบุ๊กและทวิตเตอร์ส่วนตัวอย่างต่อเนื่องทุกวัน

20 views
bottom of page