top of page
40_ดอกเบี้ยออนไลน์-603-x-230.jpg
image.png

โอกาส 'หยวนดิจิทัล' เติบใหญ่...'จีนพลัส' ผงาด!


ree

เชื่อ...จีนเตรียมพร้อมในทุกมิติ รับมือสงครามการค้ากับอเมริกาได้สบายๆ ทั้งรัฐบาลและประชาชนจีนร่วมมือเพื่อตั้งรับภัยคุกคามครั้งนี้กันแนบแน่นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เน้น...จีนทำ จีนใช้ พึ่งพาตัวเอง ไม่ยอมอยู่ใต้อำนาจต่างชาติเหมือนอดีตที่ผ่านมา อีกทั้งจีนไม่ได้ต่อสู้อย่างโดดเดี่ยว แต่มีพันธมิตรทั้งทางการเมือง การค้า ธุรกิจอยู่ทั่วโลก นำโดยพี่เบิ้มอย่างรัสเซีย งานนี้อเมริกาไม่ได้ต่อกรกับจีนประเทศเดียว แต่ต้องสู้กับ “จีนพลัส” ที่มีทั้งรัสเซีย เอเชียกลาง กลุ่ม BRICS และอีกกว่า 50 ประเทศที่ถูกอเมริกาแซงชั่น และจะยิ่งเป็นโอกาสให้จีนขยายขอบเขตและบทบาทของหยวนดิจิทัลให้เติบโต มีศักยภาพมากขึ้นอย่างรวดเร็ว สำหรับไทยต้องเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นแรงจูงใจและโอกาสในการปรับโครงสร้างการผลิต สร้างจุดเด่นจุดแข็งให้แบรนด์สินค้าไทยยกระดับสู่เวทีโลก ควบคู่กับการเปิดตลาดการค้าใหม่ๆ ทดแทนตลาดเก่าที่มีปัญหาอย่างอเมริกา


Interview : คุณไพจิตร วิบูลย์ธนสาร รองประธานและเลขาธิการหอการค้าไทยในจีน

 

จีนเจอเรื่องภาษีของ โดนัลด์ ทรัมป์ รอบนี้ จะเป็นอย่างไรบ้าง

           

ถ้าเรามองสัญญาณที่ชัดเจนของจีน ภาพที่ออกมาคือช่วงการประชุม 2 สภาเมื่อช่วงเดือนที่ผ่านมา คิดว่าจีนมีนโยบายและมาตรการหลายๆ ส่วนที่สะท้อนว่าเขามีการเตรียมการที่จะเผชิญหน้ากับสงครามการค้าครั้งนี้ไว้ค่อนข้างมาก 

           

อันแรกคือเพิ่มเม็ดเงิน เพิ่มรายได้ให้กับประชาชน เพิ่มเงินบำนาญ เพิ่มสวัสดิการ เพิ่มอะไรต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านสาธารณสุขให้กับภาคประชาชน 

           

อันที่สองที่สำคัญ คือเขาเดินหน้าแคมเปญที่เรียกว่าเก่าแลกใหม่ โครงการนี้เคยดำเนินการเมื่อปีที่แล้ว ตอนนั้นใช้เงินไป 1.5 แสนล้านหยวน ในการที่จะให้ภาคประชาชนเอาสินค้าไปเปลี่ยน ไปเปลี่ยนรถ ไปเปลี่ยนเครื่องใช้ไฟฟ้า ของตกแต่งบ้าน มาเป็นของใหม่ โดยรัฐบาลให้เงินอุดหนุน เห็นว่าประสบความสำเร็จมาก เพิ่มกำลังซื้อให้กับภาคประชาชน แล้วก็นำไปสู่ภาคการผลิตและการจ้างงาน เพื่อไม่ให้หยุดชะงัก ในการประชุม 2 สภา เขาก็เลยบอกว่าปีที่แล้วแคมเปญนี้ดี ประสบความสำเร็จ ประสิทธิภาพดี เลยขยายโครงการเพิ่มอีกเท่าตัว อัดเม็ดเงินเข้าไป 3 แสนล้านหยวน พร้อมกับขยายเม็ดเงินอุดหนุน ส่วนนี้จะดีตรงที่ว่าจะลดแรงกดดันจีนเองที่โดนต่างชาติหรือบ้านเราเองก็มีการพูดว่าโดนอย่างนี้ คือจีนไม่อยากขายของขาดทุน เขาจึงเอาของเหล่านี้ตัดให้กับประชาชน ยิ่งเป็นอะไรที่สอดรับกับนโยบาย เช่นสิ่งแวดล้อม พลังงานสีเขียว เขาก็ให้การอุดหนุนในระดับที่สูงขึ้น 

           

ถัดมาที่เชื่อมโยงกับปีที่แล้วจะเป็นเรื่องของการลงทุนของภาครัฐ เมื่อปลายปีที่แล้วเราจะได้ยินข่าวการขายพันธบัตรรัฐบาล 1 ล้านล้านหยวน เอา 5 แสนล้านหยวนใช้ไตรมาสสุดท้ายปีที่แล้ว แล้วเอาอีกครึ่งหนึ่งมาใช้ในไตรมาสแรกของปีนี้ เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องของการพัฒนาเศรษฐกิจการลงทุน ขณะเดียวกัน ในการประชุม 2 สภามีการบอกว่าจะเดินหน้ามาตรการนี้ต่อ จะขายพันธบัตรพิเศษต่อ โดยขยายสัดส่วนการขาดดุลงบประมาณไปเป็น 4% ตรงนี้ก็จะเพิ่มเม็ดเงินในระบบอีกส่วนหนึ่ง 

           

รวมทั้งที่เห็นภาพชัดเจนในช่วงเดือนสองเดือนที่ผ่านมาก็คือการพบปะกับภาคเอกชนทั้งของจีนและต่างชาติ ซึ่งมีเจ้าสัวทั้งหลายมาพบปะเป็นจำนวนมาก ทั้งนี้ นานๆ เราจะเห็น สี จิ้นผิง พบกับผู้บริหารระดับสูงของจีน ไม่เท่านั้น จีนยังสร้างเวทีพิเศษขึ้น เพิ่มจากบางส่วนที่มีอยู่แล้ว เป็นงานประจำปี ให้ผู้นำผู้บริหารระดับสูงของจีน พบปะกับผู้บริหารระดับสูงของบริษัทข้ามชาติ องค์การระหว่างประเทศ เพื่อตอกย้ำว่าจีนจะให้ความสำคัญกับภาคเอกชน จะให้ความยุติธรรม สร้างเวทีทางด้านการแข่งขันให้กับธุรกิจต่างชาติในจีน ตรงนี้เป็นสัญญาณเชิงบวกที่คิดว่าจีนเดินหน้าดำเนินการในช่วงที่ผ่านมา

 

ประชุม 2 สภา มีสภาประชาชนกับของอะไร

           

สภาประชาชนกับสภาที่ปรึกษาทางการเมือง คล้ายๆ กับสภาผู้แทนราษฎรกับวุฒิสภาบ้านเรา ก็จะมีทุกปีช่วงเดือนกุมภาพันธ์และมีนาคม หรืออาจจะเมษายน 

 

ทำไมจีนถึงเลือกที่จะตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษี จนกระทั่งล่าสุดขึ้นไป 125% แทนที่จะโทร.ไปหาทรัมป์เพื่อขอเจรจา

           

จีนวันนี้เขามีความพร้อม สี จิ้นผิง ท่านพูดว่าจีนเป็นเหมือนกับทะเลใหญ่หรือมหาสมุทร ไม่ใช่สระน้ำเล็กๆ ดังนั้น เศรษฐกิจจีนสามารถต่อสู้กับคลื่นลมได้ ต่อสู้กับความท้าทายภายนอกที่จะเกิดขึ้นได้ แต่ที่สำคัญยิ่งกว่านั้น จริงๆ แล้วจีนกำลังต่อสู้เพื่อยึดมั่นในหลักการ เช่นหลักการของการค้าเสรีโลก เรื่องความยุติธรรม เท่าเทียมกัน ไม่ปล่อยให้ประเทศใดประเทศหนึ่งใช้อำนาจสิทธิ์ขาดในการคิดจะขึ้นภาษีใคร จะแซงชั่นเศรษฐกิจใคร ก็ทำได้ง่ายๆ จีนมองว่าการทำแบบนี้ไม่ใช่มิติของการพัฒนา แต่เป็นการเอารัดเอาเปรียบ ข่มเหงประเทศที่เล็กกว่า 

           

ฉะนั้นในฐานะที่มีขนาดใหญ่เป็นเบอร์ 2 ถูกทำแบบนี้ ดังนั้น จีนก็ยอมรับไม่ได้ ซึ่งในมิติทางการเมือง ถ้า สี จิ้นผิง ต่อสายถึงทรัมป์ เหมือนกับยอมทรัมป์ ซึ่ง สี จิ้นผิง เคยต่อสายหาทรัมป์ โดยมารยาทเช่นโทร.ไปแสดงความยินดีในโอกาสที่ขึ้นรับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ อันนี้ไม่มีปัญหา แต่การโทร.ไปเพื่อจะขอไม่ให้สหรัฐอเมริกาเก็บอากรนำเข้ามันจะเป็นการเสียศักดิ์ศรี หรืออาจจะเลยไปถึงขนาดเสียหน้า ซึ่งตรงนี้ในมิติของวัฒนธรรมจีนเขายอมรับไม่ได้ เขามีชาวโลกที่จับตามองเขาอยู่หลายพันล้านคน เฉพาะจีนเองก็ 1.4 พันล้านคนแล้ว ซึ่งหาก สี จิ้นผิง โทร.หาทีเดียว เผลอๆ ภาพลักษณ์จะเสีย ท้ายที่สุดอาจจะต้องลงจากตำแหน่งเลย คนจีนเองจะมองว่าเราไม่มีผู้นำที่แข็งแกร่งที่จะยืนหยัดต่อความไม่ถูกต้อง 


จีนเจอภาษีไป 145% จากสหรัฐอเมริกา จะรับมือไหวหรือไม่

           

คือจีนเขาก็เตรียมการ เขาเห็นสัญญาณมาพอสมควร และถ้าเรามองประวัติศาสตร์จีนเขาเคยลำบากกว่านี้มาก หากวันนี้เราไปจีนจะเห็นว่าจีนเขาพัฒนาไปไกลมาก ชีวิตความเป็นอยู่ของคนจีนดีมาก เขาเคยอดตายปีละเป็นล้านคนก็มี และเขาเคยตกอยู่ในอาณัติการปกครองของต่างชาติ ดังนั้น เขารู้ซึ้งดีว่าสภาพแบบนั้นเป็นอย่างไร เขาพูดเสมอว่าเขาจะไม่ยอม พรรคคอมมิวนิสต์เขาจะไม่ยอมให้คนของเขาต้องไปตกอยู่ในสภาพเดิม ดังนั้น เขาจึงต่อสู้ทุกวิถีทาง 

           

ที่สำคัญคือ ถ้าเรามองจริงๆ แล้ว สิ่งที่โลกมีความเข้าใจต่อสภาพความพร้อมของจีนอาจจะคลาดเคลื่อน คือเขามีความพร้อมอย่างมาก สภาพตลาดภายในเขาใหญ่ ธุรกิจที่อยู่ในจีนไม่ว่าจะเป็นของจีนหรือต่างชาติ ส่วนใหญ่ได้ประโยชน์จากภาคการผลิตก็ดี ที่เข้มแข็ง ที่มีประสิทธิภาพ จากสภาพตลาดในประเทศที่มันใหญ่ ดังนั้น ถึงแม้ธุรกิจจีนจะไปบุกตลาดโลก แต่เขายังคงพึ่งพารายได้จากตลาดภายในประเทศเป็นหลัก คิดเป็นมูลค่าประมาณ 70% เท่ากับว่ารายได้จากภายนอกแค่ 25% หรือ 1 ใน 4 เอง และก็ไม่ใช่ทั้งหมดที่มาจากสหรัฐอเมริกา ดังนั้น ผลกระทบที่จะเกิดในส่วนนี้ก็อาจจะไม่มากอย่างที่หลายคนคาด 

           

ประการต่อมา พอเขามองอย่างนั้น เขาก็พยายามจะเบ่งขนาดตลาดภายในประเทศ อย่างเรื่องโครงการเก่าแลกใหม่ การเพิ่มเม็ดเงินให้กับภาคประชาชน เพื่อที่จะให้ตลาดการค้าปลีกในจีนใหญ่ขึ้น พอภาคบริการในประเทศใหญ่ขึ้น ก็จะดูดซับอุปทานส่วนเกิน เขาตั้งเป้าไว้คือปีที่แล้วสัดส่วนภาคการบริโภคของจีนภายในประเทศต่อจีดีพีอยู่ประมาณแค่ 40% และจะขยับขึ้นไปเป็น 60% ในปีนี้ ด้วยการปรับนโยบายที่เดิมพึ่งพาภาคการส่งออก หันมาพึ่งพาภาคการบริโภคในประเทศ ตรงนี้คือเขาเตรียมพร้อม เตรียมรับมือสิ่งต่างๆ เหล่านี้ได้ค่อนข้างดี ทั้งนี้ เขาอยากให้ภาคการผลิตเขาขยายตัวอย่างต่อเนื่อง จะได้ไม่กระทบกับเรื่องการว่างงานของเขา ที่เขาพยายามแก้ปัญหาเหมือนกัน

 

ในส่วนสินค้าที่สหรัฐอเมริกาจะขายให้กับจีน ต้องเสียภาษีขาเข้า 125% คนจีนจะซื้อไหวหรือ

           

ตัวเลขที่ขึ้นเปอร์เซ็นต์กันในช่วงหลังมองว่าไม่มีความหมาย มีประสิทธิภาพน้อยลงมาก เพราะถ้าจากการคำนวณคิดว่าพอเกินประมาณ 54% ขึ้นไป โอกาสที่ 2 ประเทศจะค้าขายกันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย คือมันไม่มีธุรกิจอะไร ไม่มีสินค้าอะไรที่ทำกำไรได้มาร์จิ้นที่ใหญ่ได้ขนาดนั้น แต่ที่เรายังเห็นยังขยับไปที่ระดับ 120-145% อะไรต่างๆ เหตุผลก็คือว่าต่างฝ่ายต่างรักษาฐานะ รักษาหน้าของตัวเอง คุณขึ้นผมก็ขึ้น แต่การประกาศของโฆษกรัฐบาลจีนล่าสุดนี้บอกว่าจากนี้ไปจีนจะไม่ประกาศตอบโต้อัตราการเพิ่มของอากรเท่าสหรัฐอเมริกาทำไป อีกต่อไป เหตุผลก็คือว่า ไม่มีประโยชน์อีกต่อไป ก็ปล่อยให้สหรัฐอเมริกาอยากจะกำหนดอัตราการนำเข้าใหม่ แล้วเป็นตัวตลกของสายตาชาวโลก ก็ทำไป ทำนองนั้น

           

ที่สำคัญคือ สินค้าของสหรัฐอเมริกาจะมี 2 ตัวหลักที่อยากให้จีนทดสอบ อยากให้จีนซื้อ อันแรกคือพลังงาน พวกก๊าซธรรมชาติ พวกน้ำมันอะไรต่างๆ ซึ่งตอนหลังจีนเขาก็มีแหล่งวัตถุดิบเหล่านี้ แร่ธรรมชาติเหล่านี้มาทดแทนได้อยู่แล้ว ยิ่งตอนหลัง รัสเซียมีก๊าซมีน้ำมันราคาถูกให้ เรื่องต่อมาที่สำคัญคือตัวสินค้าเกษตรและอาหาร พวกถั่วเหลือง ข้าวโพดที่สมัยก่อน ปศุสัตว์ของจีนที่เติบใหญ่มาก็เพราะได้แหล่งวัตถุดิบจากสหรัฐอเมริกา แต่พอเวลาผ่านไปจีนก็เริ่มรู้แล้วว่าพอซื้อจากสหรัฐอเมริกาก็เริ่มมีการขยับราคา เริ่มมีการกดดัน และเห็นสัญญาณจากสงครามการค้าตอนสมัยทรัมป์ครั้งแรก จีนก็เริ่มกระจายแหล่งซัพพลายแหล่งนำเข้าจากต่างประเทศโดยเฉพาะที่อเมริกาใต้ อาร์เจนตินา บราซิล ชิลี เปรู หรือแม้กระทั่งอาเซียน สมัยก่อนถั่วเหลืองนำเข้ากันที 30 ล้านตัน ตอนหลังปีล่าสุดเหลืออยู่แค่ 20 ล้านตัน ส่วนข้าวโพด 4-5 ล้านตัน ปัจจุบันเหลือแค่ 2 ล้านตัน ฉะนั้น เขาก็ลดระดับการพึ่งพาแหล่งซัพพลายของสหรัฐอเมริกามาโดยลำดับ 

           

ในมุมกลับกัน สหรัฐอเมริกาก็ไม่สามารถที่จะไปหาผู้ซื้อรายใหญ่ที่จะมาทดแทนจีนได้ง่ายๆ ก็ต้องไปรวมเบี้ยหัวแตก เพราะจีนซื้อทีซื้อเยอะ รายอื่นอาจจะซื้อแค่ทีละ 2 ล้านตัน 1 ล้านตัน ขณะที่จีนซื้อที 20-30 ล้านตัน ดังนั้น ต้นทุนต่อหน่วยหรือค่าใช้จ่ายต่อหน่วยก็จะเป็นประเด็นหนึ่ง ที่ต่อไปเกษตรกรหรือผู้ประกอบการฝั่งสหรัฐอเมริกาจะต้องแบกรับในอนาคต

 

เหมือนสหรัฐอเมริกาต้องการโดดเดี่ยวจีน จากที่รายอื่นๆ หรือประเทศอื่นๆ สหรัฐอเมริกาเขายืดระยะเวลามาตรการภาษีตอบโต้ออกไป

           

คิดว่ามีอยู่หลายนัยยะที่เกิดขึ้น คือหลังจากที่ทรัมป์ประกาศขึ้นแบบหน้ากระดานเรียงหนึ่ง ส่วนจีนก็มีการตอบโต้กัน มันมีกระแสการเทขายพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐเกิดขึ้นที่ค่อนข้างรุนแรง จนกระทั่งทีมงานเศรษฐกิจของทรัมป์มองว่า ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไปจะกระทบกับปัญหาความน่าเชื่อถือและอาจจะรวมไปถึงเงินเหรียญสหรัฐในเวทีโลก ดังนั้น ต้องเปลี่ยนเกม ก็เหมือนการถูกบีบให้ต้องเปิดไพ่ใบใหม่เร็วกว่ากำหนด จริงๆ คิดว่าทรัมป์ยังไม่อยากรีบประกาศเลื่อน 90 วันหรอก ยังภาคภูมิใจกับการที่เห็นผู้นำประเทศนั้นประเทศนี้วิ่งมาจูบก้นเขา มาขอร้องเขา แต่พอสถานการณ์มันไหลไปเป็นแบบนั้น เขาจึงจำเป็นต้องเปลี่ยนเกม พอเปลี่ยนเกม เขาก็ต้องรักษาหน้า มองไปแล้วใครดีที่จะต้องเป็นแพะ ก็จีนน่ะแหละ เขาเป็นเบอร์ 2 มาบี้ผม คุณตอบโต้ทางการค้าผม ผมก็เลยขึ้นภาษีต่อ แล้วก็ไม่เลื่อนการพิจารณา 90 วันให้กับจีน 

           

ถามว่าถ้าจีนกับสหรัฐอเมริกาไม่ค้ากัน จีนก็ไม่ได้ถูกโดดเดี่ยว จีนยังคงค้าขายกับประเทศต่างๆ ได้ทั่วโลก เพียงแต่จีนกับสหรัฐอเมริกาจะยังมีโอกาสค้าขายหรือขยายผลทางด้านเศรษฐกิจมิติอื่นได้ค่อนข้างน้อย ถ้ามันเกิดเหตุการณ์อย่างนั้น จีนจะอยู่ได้หรือไม่ ซึ่งจีนเขาก็เคยปิดประเทศ เขาอดตายปีละเป็นล้านคน เขาไม่ต้องรอรับความช่วยเหลือจากประเทศอื่น เขาก็ยังคงอยู่ได้ และพอมาถึงวันนี้เขาพัฒนาไปถึงจุดที่ทุกอย่างเขาค่อนข้างพร้อมสรรพภายในประเทศของเขาแล้ว เขากลายเป็นฐานการผลิต โรงงานผลิตของโลกที่มีประสิทธิภาพ มีความเร็วสูงที่สุดในโลก เทคโนโลยีก็ไม่แพ้ผู้นำโลก ถ้าถามผม เขาอยู่ได้สบายมาก และตอนนี้มีหลายประเทศที่วิ่งเข้าไปหาจีน แม้แต่กระทั่งยุโรป พอสหรัฐอเมริการู้เข้า ก็เริ่มพูดกดดันข่มขู่ประเทศในยุโรป 

 

มองว่าการที่สหรัฐอเมริกาบอกใครค้ากับจีน ฉันจะขึ้นภาษี จะไม่คบด้วย นี่คือพาล

           

ถ้าเป็นอย่างนั้นแสดงว่าทรัมป์ละเมิดกฎเกณฑ์การค้าโลกไปอีกระดับหนึ่งเลย คือตอนนี้คุณไม่มีกฎเกณฑ์อะไรแล้ว และยิ่งซัพพลายเชนของโลกมันเชื่อมโยงซับซ้อนแบบนี้ เท่ากับว่าทรัมป์กำลังบีบให้ทุกๆ ประเทศต้องเลือกข้าง ซึ่งถ้าถามผม เชื่อว่าวันนี้หลายๆ ประเทศในโลกส่วนใหญ่อยากอยู่ฟากการค้าเสรี ไม่ได้บอกว่าเขาเลือกจีน แต่เพราะจีนตอนนี้ทั้งที่เขาเป็นสังคมนิยม เขากลับแสดงจุดยืนของการสนับสนุนผลักดันเรื่องของเศรษฐกิจและการค้าเสรี ฉะนั้น ผมมองว่าประเทศส่วนใหญ่ก็จะไม่ทิ้งจีนด้วยเหตุผลนี้ 

 

จีนได้สร้างระบบการเงินคือหยวนดิจิทัล หรือ e-CNY เพื่อมาคานอำนาจระบบสวิฟต์ที่สหรัฐอเมริกาเป็นโต้โผใหญ่อยู่ รวมทั้งก่อนหน้านี้มีกลุ่ม BRICS ขึ้นมา แล้วทรัมป์ก็เคยขู่เรื่องนี้ ตรงนี้จีนจะยังเดินหน้าไปไหวหรือไม่ แล้วประเทศอื่นๆ ก็อาจจะไม่กล้าเข้าร่วมระบบหยวนดิจิทัล หรืออยู่กลุ่ม BRICS อาจจะขอถอนตัวก่อนเพราะกลัว

           

จริงๆ แล้วหยวนดิจิทัลเป็นสิ่งที่จีนพัฒนาขึ้นเพื่อให้สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงของโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านเทคโนโลยี ทำให้เกิดความสะดวก ประหยัดต้นทุนค่าใช้จ่าย แต่ก่อนจะโอนเงินกัน เราต้องใช้เวลา ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการโอน เสียค่าหัวคิวในการเปลี่ยนเงินจากสกุลหนึ่งข้ามไปอีกสกุลหนึ่ง แต่กรณีของหยวนดิจิทัล จีนพยายามสร้างระบบที่มีประสิทธิภาพ ที่มีต้นทุนค่าใช้จ่ายที่ต่ำหรือไม่มีค่าใช้จ่าย แล้วจะนำไปสู่ความไม่เสียเปรียบของประเทศเล็กในการทำธุรกรรมการค้าระหว่างประเทศ และสามารถจำกัดตรวจสอบได้ มันเป็นเรื่องที่ดี คือโลกควรพัฒนาไปในแบบนี้

           

ส่วนเจตนาลึกๆ คือต้องการไปต่อสู้กับระบบสวิฟต์ หรือจะทำให้เงินหยวนขยับไปสู่การเป็นสกุลเงินสากลของโลกในระยะยาว ตรงนั้นมันก็ขึ้นอยู่กับสภาพตลาด คือถ้าค้าขายกับจีน ค้าขายกับกลุ่มเหล่านี้ ต่อไปก็เอาหยวนดิจิทัลเข้ามาใช้ มันดี มันประหยัดเงิน สามารถโอนเงินกันได้ ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียม โอนปุ๊บได้ปั๊บ ดีสำหรับผู้ประกอบการรายย่อยหรือภาคประชาชนอย่างมาก 

           

ดังนั้น ถ้าถามว่าสหรัฐอเมริกาจะไปกดดันกลุ่ม BRICS และกลุ่มอื่นๆ แล้วบอกว่าต่อไปอย่าไปใช้ระบบอะไรที่มาทดแทน หรือมาต่อสู้หรือมาทาบชั้นสหรัฐอเมริกา ผมว่าไม่สามารถไปหยุดประเทศเหล่านั้นได้ เพราะเราก็เห็นหยวนดิจิทัลกระจายไปในอาเซียน ไปตะวันออกกลาง เข้าไปกลุ่มประเทศเอเชียกลาง รัสเซีย และกลุ่ม BRICS พวกนี้มันมีแนวโน้มของกลุ่มที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ในระยะยาว ความนิยมการใช้หยวนดิจิทัลก็จะเพิ่มขึ้นไปโดยปริยาย เพราะขนาดเศรษฐกิจก็จะใหญ่ขึ้น เสถียรภาพของสกุลเงินก็ดีขึ้น อยู่ในตะกร้าเงินโลก ถูกใช้ในการซื้อขายพันธบัตรระหว่างประเทศ อะไรต่างๆ เหล่านี้ หรือสามารถใช้ทำธุรกรรมข้ามประเทศด้วยความสะดวกคล่องตัวและมีค่าใช้จ่ายต่ำ 

 

สุดท้ายกลุ่ม BRICS จะไปรอดหรือไม่

             

BRICS ขยายตัวอย่างต่อเนื่องและมีอัตราเร่งที่สูงขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในช่วง 2-3 ปีหลังนี้ ตอนนี้มีกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาจำนวนมากที่ยื่นสมัครขอเข้าเป็นสมาชิก แต่ว่าสมาชิกก่อตั้งเขาก็ขอเวลา ขอคัดกรองก่อน ตอนนี้คุณยังไม่ต้องเป็นสมาชิกเต็มรูป คุณเข้ามาอยู่ในฐานะเหมือนกับผู้สังเกตการณ์สักปีสองปีก่อน ทำนองนั้น คุณก็ค่อยเตรียมตัว แล้วหลังจากนั้นก็ค่อยๆ ขยายวง

             

เราสังเกตเวทีประชุมของ BRICS ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา จากเดิมเล็กๆ เดี๋ยวนี้ขยายใหญ่ แล้วก็มีประเด็นที่เกี่ยวโยงกับเศรษฐกิจหรือการพัฒนาความร่วมมือระดับประเทศที่เพิ่มมากขึ้น ถามว่าสหรัฐอเมริกาจะหยุดได้หรือไม่ มองว่าไม่มีปัญญาจะหยุด หรือไปหยุด รัสเซียเขาก็หัวเราะเอา คือคุณจะเอาอะไรมาหยุดผม มีสิทธิ์อะไรมาหยุดผม เงินของผมที่อยู่ประเทศของคุณ คุณก็ยึดเอาไว้ แล้วคุณก็ใช้กลไกที่คุณมีอยู่มาบีบบังคับผม ดังนั้น ตรงนี้เขาก็ต้องหาทางออก ซึ่งโลกเราโดนสหรัฐอเมริกาแซงชั่นไปประมาณ 50 ประเทศ ที่เขาเดือดร้อนจากการกำกับควบคุมการเงินระหว่างประเทศแบบนี้ ดังนั้น ประเทศเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เข้าคิว อยากเข้าระบบ BRICS อยากเป็นสมาชิก BRICS เพื่อที่จะมีทางออก ไม่อย่างนั้นเขาจะไม่เติบโต บ้านเขาจะค้าขายหรือทำธุรกิจอะไรในระดับระหว่างประเทศไม่ได้เลย 

 

จีนจะถูกฆ่าตาย ก่อนจะเป็นเบอร์หนึ่งของโลกหรือไม่

           

ก็อาจจะมีโอกาส แต่ด้วยวิธีการไหน อันนี้ก็แล้วแต่ ถามว่าโอกาสมันมากหรือน้อย มองว่าน้อยมาก วันนี้จีนมีความพร้อม มีศักยภาพ ต้องบอกว่าทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจ สังคม การเมือง การทหาร ในบ้านเรา เวลาเกิดวิกฤต เราไม่เคยพูดถึงความรักชาติ เราไม่เคยพูดถึงมาร่วมแรงร่วมใจกันว่าถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องซื้อของไทย ใช้บริการของไทย แต่ที่จีนตอนนี้เขาแนบแน่นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เขารู้ว่าไอ้นี่มันเป็นภัยคุกคามใหญ่ ถ้าไม่ร่วมมือกันก็อาจจะไปตกอยู่ในสภาวะที่ถูกต่างชาติครอบคลุมเหมือนในอดีต 

           

มิติอื่นๆ ที่สำคัญ มองว่าจีนไม่ได้โดดเดี่ยว พี่เบิ้มใหญ่ที่จับมืออย่างปูติน รัสเซีย มันกลายเป็นว่าสหรัฐอเมริกาไม่ได้ต่อสู้กับจีนประเทศเดียว แต่กำลังต่อสู้กับจีนพลัส จีนบวกๆ กับรัสเซีย เอเชียกลาง และประเทศอื่นๆ 

           

ดังนั้น ถามผมว่าจีนจะถูกฆ่าไหม มองว่ามีโอกาส แต่เป็นโอกาสที่น้อยมาก 

 

ไทยเราต้องทำอย่างไร

           

หัวใจสำคัญคือต้องเอาวิกฤตนี้ให้เป็นแรงจูงใจ ให้เป็นพลังในการขับเคลื่อนในการที่เราจะต้องคิดวางแผนพัฒนาในเชิงยุทธศาสตร์ของเราครั้งใหญ่ เช่นเราอาจต้องคิดและทำเรื่องของการปรับโครงสร้างภาคการผลิตของเราอย่างจริงจัง อะไรที่เราเก่งเราจะต้องพัฒนาและยกระดับ เอาสิ่งต่างๆ เหล่านี้ขึ้นเวทีระหว่างประเทศ หรือสินค้าอะไรมีอนาคต เราจะพัฒนาให้มันเติบใหญ่ได้หรือไม่ ตรงนี้คือภาพใหญ่

           

ขณะเดียวกัน มิติเรื่องการนำเข้า ถ้าเราปลุกกระแสการรักชาติ เราจะได้ลดการพึ่งพาสินค้าจากต่างประเทศ เวลาเกิดอะไรขึ้นเราจะได้ไม่ค่อยเดือดร้อน มันทำให้ตลาดภายในประเทศใหญ่ บทบาทตลาดในประเทศที่ใหญ่มันทำให้เราลดผลกระทบจากภายนอกได้ในระดับหนึ่ง ซัพพลายจากต่างประเทศที่เราเคยพึ่งพา ต้องพึ่งพาประเทศใดประเทศหนึ่ง ก็อาจจะทำให้เราอยู่บนพื้นฐานของความเสี่ยง เพราะประเทศผู้ส่งออกเขาอาจมาบีบเราเหมือนอย่างกรณีสหรัฐอเมริกาเป็นต้น 

           

เรื่องการกระจายตลาดก็เป็นส่วนหนึ่ง อย่างกรณีสหรัฐอเมริกาตอนนี้ ทำไมเราจึงรู้สึกว่าเศรษฐกิจเราแกว่งตัวแรงมาก เพราะเราพึ่งพาการส่งออกไปยังตลาดสหรัฐอเมริกาถึง 20% ของการส่งออกทั้งหมด พอเขาจะขึ้นภาษีคุณ การส่งออกของเราจากจำนวน 100% อาจจะหายไปครึ่งหนึ่ง แน่นอนก็จะทำให้เศรษฐกิจภายในเราเสียหายค่อนข้างมาก แล้วลักษณะแบบนี้เราเตรียมตัวสำหรับการกระจายเรื่องของความเสี่ยงเหล่านี้ไปยังตลาดใหม่ๆ ไปยังตลาดอื่นไหม เพราะปีนี้เป็นปีที่ตลาดกำลังพัฒนาของโลกมีขนาดเศรษฐกิจรวมกันแล้วใหญ่เกินกว่าของประเทศพัฒนาแล้ว แสดงว่าเราต้องหันไปบุกตลาดเหล่านี้ นอกเหนือจากนั้น เราอาจจะต้องจับมือกับประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนหรืออาเซียนพลัสในภูมิภาคแถบนี้ เพื่อเราจะได้มีพลัง มีอำนาจในการต่อรอง อย่างน้อยทำให้ภูมิภาคเหล่านี้เป็นทางเลือกทางออกสำหรับผู้ประกอบการไทย เราก็จะสามารถแข่งขันในเวทีโลกได้อย่างระยะยาวและยั่งยืน 


 
 
 

Comments


bottom of page