SME ไทยฝากรัฐบาลใหม่ 5 เรื่องเร่งด่วน
- Dokbia Online

- Sep 29
- 1 min read

SME ไทยฝากรัฐบาลใหม่ 5 เรื่องเร่งด่วน >> ออกมาตรการเศรษฐกิจที่เน้นความยั่งยืนเพื่อกระตุ้นการผลิตและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน มีมาตรการไกล่เกลี่ยหนี้ของผู้ประกอบการทั้งในระบบและนอกระบบควบคู่การพัฒนาฟื้นฟูผู้ประกอบการ เพิ่มศักยภาพแรงงานในด้านการศึกษา ฝีมือ และนวัตกรรมใหม่ๆ ปรับปรุงโครงสร้างภาครัฐให้มีความโปร่งใสและเอื้อต่อการทำธุรกิจของผู้ประกอบการ นักลงทุนทั้งไทยและต่างชาติ รวมถึงกำกับดูแลกวาดล้างทุนเทาทุกรูปแบบ กำหนดแนวทางยุทธศาสตร์ในการสร้างความยั่งยืนให้กับประเทศทั้งด้านธุรกิจ สิ่งแวดล้อม ความรับผิดชอบต่อสังคม และหลักธรรมาภิบาล ย้ำ...ปัญหาของธุรกิจเอสเอ็มอีไทยขณะนี้เปรียบเหมือนระเบิดเวลาลูกใหญ่ที่พร้อมระเบิดท่ามกลางปัญหารอบด้าน รัฐบาลชุดใหม่ต้องเร่งตัดสายชนวนแห่งปัญหาก่อนที่จะเกิดการระเบิดครั้งใหญ่และลุกลามไปยังทุกภาคส่วน
Interview : คุณแสงชัย ธีรกุลวานิช ประธานยุทธศาสตร์ สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย
ตอนนี้เราได้รัฐบาลและ ครม.ใหม่ ความหวังของภาคเอกชน ภาคธุรกิจใน 3-4 เดือนข้างหน้าก่อนสิ้นปี 68 เป็นอย่างไรบ้าง
ต้องยินดีเพราะท่านนายกรัฐมนตรีก็ได้คัดสรรทีมครม.เศรษฐกิจมา โฉมหน้าเป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการ ภาคประชาชนน่าจะมีความพึงพอใจ แล้วมีความหวังกับการที่จะได้รัฐบาลเข้ามาขับเคลื่อนในช่วงเปลี่ยนผ่านตรงนี้ไปอย่างราบรื่นไม่สะดุดติดขัด
ส่วนมาตรการที่ผู้ประกอบการ SME และภาคประชาชนมีความคาดหวังไว้ในเรื่องเศรษฐกิจก็แบ่งออกมาเป็นได้ 4-5 ประเด็น
ประเด็นแรกคือภารกิจในเรื่องของการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจต้องมีมาตรการในการที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจที่เน้นความยั่งยืน ช่วยให้การทำมาค้าขายของผู้ประกอบการมีสภาวะที่ตื่นตัวมากขึ้น มีการกระจายรายได้สู่ท้องถิ่นเพิ่มมากขึ้น ควบคู่ไปกับเรื่องของการลดต้นทุน เพราะวันนี้ผู้ประกอบการ SME จำนวนมากนอกจากจะประสบกับปัญหาเรื่องการกระตุ้นเศรษฐกิจแล้วยังมีปัญหาเรื่องต้นทุน ซึ่งวัตถุดิบ ปัจจัยการผลิตต่างๆ พลังงานขนส่ง ล้วนเป็นต้นทุนสำคัญของการประกอบกิจการ ก็มีความคาดหวังว่ารัฐบาลชุดใหม่จะสามารถเข้ามาขับเคลื่อน ไม่ว่าจะเป็นโครงการคนละครึ่งหรือท่องเที่ยวไทย มาตรการต่างๆ ที่จะตอบโจทย์ในแต่ละกลุ่มเซกเมนต์ แล้วทำให้ผู้ประกอบการ SME มีต้นทุนที่เหมาะสม มีต้นทุนต่ำในการที่จะประกอบอาชีพ
ที่ผ่านมาเราเห็นสัญญาณที่ค่อนข้างน่าเป็นห่วง ถ้าเราสังเกตเห็น GDP ในแต่ละไตรมาสตลอดระยะเวลา 7-8 ไตรมาสที่ผ่านมา ประเทศไทยมีอันตราการเติบโตขยายตัวของ GDP ต่ำมาก เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศในอาเซียนต่ำมาก เรารั้งเกือบท้าย เป็นสัญญาณที่น่าเป็นห่วง คือ GDP แต่ละไตรมาสของเราไต่อยู่ประมาณไม่เกิน 3 หรือ 3 นิดๆ เราไม่เคยแตะเลข 4 เลข 5 ในแต่ไตรมาส
เรากังวลใจว่าในสถานการณ์เช่นนี้จะส่งผลให้ขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยของเศรษฐกิจไทยลดลง เรายังกังวลว่า IMD (สถาบันชั้นนำจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันของแต่ละประเทศ) ก็ยังจัดอันดับของประเทศไทยจากอันดับที่ 25 ลดลงเหลืออันดับที่ 30 แต่ยังไม่สำคัญเท่ากับ real sector เศรษฐกิจจริงๆ ที่เศรษฐกิจฐานรากมีปัญหา แล้วมาผสมผสานกับกับดักชิ้นโตที่ประเทศไทยกำลังเผชิญอยู่ คือกับดักหนี้ จากการสำรวจของสสว. เราพบว่า SME มีสภาวะของการเข้าถึงแหล่งทุนในระบบลดลง ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา SME ทั้งขนาดย่อย ขนาดย่อม และขนาดกลาง มีอัตราการเข้าถึงสินเชื่อในระบบลดลง และ SME จำนวนมากที่มีสินเชื่ออยู่ในระบบอยู่แล้ว ต้องหันไปพึ่งสินเชื่อที่เป็นนอกระบบ
สิ่งสำคัญคือไตรมาส 2 ปี ของ 68 สำรวจพบว่า SME ที่ใช้สินเชื่อแบบไฮบริดคือทั้งในระบบและนอกระบบมีสัดส่วนสูงถึง 46% หมายความว่าสินเชื่อในระบบก็ใช้ด้วย สินเชื่อนอกระบบก็ต้องใช้ เพราะเขาไม่สามารถที่จะเข้าถึงแหล่งทุนในระบบเพิ่มได้อีก เนื่องจากเราจะสังเกตเห็นว่า SME มีรายได้ลด เพราะฉะนั้นผลประกอบการในเรื่องของกำไรก็ลดลง ขณะเดียวกันภาระหนี้เรื่องของดอกเบี้ยก็ยังเป็นสิ่งที่ต้องช่วยกันสร้างความเป็นธรรมในการที่จะคิดอัตราดอกเบี้ยให้กับผู้ประกอบการอย่างมีแต้มต่อ การใช้กลไกธนาคารรัฐเพื่อช่วยในการที่จะสนับสนุนการเข้าถึงสินเชื่อของ SME เพิ่มขึ้น อย่างเช่นการช่วยค้ำประกันสินเชื่อของ บสย. ก็เป็นสิ่งที่ดี แล้ววันนี้ความท้าทายอยู่ตรงที่ว่าใครคือเจ้าภาพการแก้หนี้ที่แท้จริง แบงก์ชาติหรือกระทรวงการคลัง และหน่วยงานที่ขับเคลื่อนคือใคร
ประเด็นที่ 2 ผู้เจรจาไกล่เกลี่ยหนี้ของ SME ซึ่งปกติ SME 1 รายจะมีเจ้าหนี้มากกว่า 1 รายแน่นอน ถ้าเขามีเจ้าหนี้ 3 รายเขาต้องไปเจรจาทีละราย เขาก็ไม่ต้องทำมาหากินแล้ว เขาต้องไปวิ่งเจรจาเพื่อประนอมหนี้ และยิ่งซ้ำร้ายไปกว่านั้นถ้าเจรากับเจ้าหนี้รายใดรายหนึ่งไม่จบเขาก็เป็นหนี้เสียอยู่ดี โอกาสที่จะเป็นหนี้เสีย โอกาสที่เขาจะล้มจะสูงมาก เพราะฉะนั้นเราถึงพยายามผลักดันแนวคิดต้องการที่จะให้กระบวนการแก้หนี้มีทั้งเจ้าภาพที่ชัดเจนและมีกลไกที่ชัดเจน โดยมีผู้ไกล่เกลี่ยเจรจาที่เป็นกลาง เพื่อที่เจ้าหนี้ได้รับความเป็นธรรม ลูกหนี้ก็สามารถจ่ายคืนหนี้ได้ตามขีดความสามารถของเขา
ที่สำคัญคือจะต้องมีกลไกในการที่จะนำเอาเรื่องของภาระหนี้นอกระบบเข้ามาบริหารจัดการและมาเจรจาด้วย เพราะถ้าเราแก้หนี้นอกระบบจนจบ แต่หนี้นอกระบบไม่จบ ปัญหาก็จะวนกลับมา จึงต้องเอาหนี้นอกระบบเข้ามาบริหารจัดการและเข้ามาเจรจาไกล่เกลี่ยด้วย ซึ่งหลังขั้นตอนการเจรจาหนี้ จะต้องมีเรื่องของกระบวนการพื้นฟูพัฒนาผู้ประกอบการ วันนี้ SME ถูกกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจที่ทำให้เขาประสบปัญหาในการดำเนินธุรกิจ วันนี้เราจะรีสตาร์ตเขาอย่างไรที่จะผลักดันให้เขาเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจใหม่ แล้วกลับมาเป็น SME ที่มีความแข็งแรงเพิ่มมากขึ้น ก็ต้องมีกลไกในการฟื้นฟู มีการถอดบทเรียนแล้วก็พัฒนาต่อยอดต่อไป อันนี้เป็นเรื่องที่เรามองว่าต้องเร่งทำ ถ้าไม่ทำระเบิดเวลาลูกนี้จะเป็นระเบิดเวลาที่ทำลายล้างระบบเศรษฐกิจในระบบแล้วส่งผลกระทบหลายด้านด้วยกัน
ประเด็นที่ 3 เป็นเรื่องกำลังคน วันนี้เรื่องของเศรษฐกิจ เรื่องของสังคม มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องของการศึกษา เรื่องของการเรียนรู้ทุกช่วงวัย การเรียนรู้ตลอดชีวิตมีความสำคัญแล้วก็เป็นเรื่องที่ดี แต่ทีนี้กลไกหลักที่จะทำให้การพัฒนากำลังคนที่จะตอบโจทย์กับเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ของโลกยังไม่ดีพอ เราต้องเพิ่มขีดความสามารถและทักษะเพื่อยกระดับการแข่งขัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ Financial Literacy หรือ Digital Literacy ความเป็นผู้ประกอบการซึ่งจะต้องมีใน DNA ของคนไทย การที่เราจะนำเรื่องของเศรษฐกิจพอเพียงเข้ามาใช้ในเรื่องของการสร้างวัฒนธรรมการดำเนินชีวิต การดำเนินธุรกิจ อย่างพอเพียง
แล้วเรื่องของการประยุกต์ใช้ Digital Technology ต่างๆ การใช้ AI การใช้ความสร้างสรรค์ นวัตกรรม สิ่งต่างๆ เหล่านี้เรามองว่าจะเป็นการที่จะช่วยให้ผู้ประกอบการ SME เข้าถึงมาตรฐาน เข้าถึงโอกาส เข้าถึงการพัฒนาคุณภาพ การสร้างความแตกต่าง ซึ่งคนไทยมีจุดเด่นเรื่องเหล่านี้ เพียงแต่เราต้องส่งเสริมและสามารถผลักดันเรื่องเหล่านี้ให้สมรรถนะขีดความสามารถของคนในประเทศเราได้รับค่าแรงสูงขึ้นในภาคแรงงาน ในภาคผู้ประกอบการเราก็มีโอกาสที่จะขยายตลาดไปสู่ตลาดใหม่ๆ ได้
ประเด็นที่ 4 จะเป็นในเรื่องของกลไกภาครัฐ ที่เรามองและคาดหวังว่าการพัฒนายกระดับการบริการของภาครัฐจะเป็น Digital Blockchain เราอยากเปลี่ยนจาก Analog สู่ Digital Blockchain ซึ่งจะทําให้กลไกการตรวจสอบติดตามความโปร่งใสแล้วทำให้เกิดการลดการทุจริตคอร์รัปชัน ก็จะเป็นช่องทางในการที่จะทำให้เพิ่มความสะดวกรวดเร็วแล้วมีประสิทธิภาพประสิทธิผลให้กับภาคธุรกิจ ให้กับเศรษฐกิจเพิ่มมากขึ้น ทำให้ผู้ประกอบการทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติที่มาดำเนินธุรกิจในประเทศไทยทำงานได้สะดวกมากขึ้น ซึ่งตรงนี้เรามองว่าถ้าเราทําตรงนี้ได้ก็จะช่วยดึงดูดทั้งนักลงทุนไทยและในต่างประเทศด้วย และทำให้เกิดความสะดวกความง่ายในการดำเนินธุรกิจในประเทศไทยเป็นเสน่ห์แก่นักลงทุนที่จะเข้ามาใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการดำเนินธุรกิจอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
นอกจากนั้นกลไกรัฐที่จะกำกับดูแลเรื่องของธุรกิจที่เป็นทุนเทาหรือว่าทุนผิดกฎหมายต่างๆ จะต้องทำให้กลไกเหล่านี้ลดน้อยลง เราอยากจะดึงเศรษฐกิจนอกระบบเข้าสู่ในระบบ ไม่ว่าจะเป็นผู้ประกอบการและแรงงานที่อยู่นอกระบบ เพื่อที่จะทำให้เข้าถึงกลไกต่างๆ ที่ดีที่ภาครัฐมีอย่างมากมายให้เขาได้ใช้ประโยชน์
ยังมีอย่างอื่นเพิ่มเติมอีกไหม
มีเพิ่มในเรื่องที่ 5 จะเป็นเรื่องของการสร้างความยั่งยืน แม้ว่าระยะเวลาการทำงานของรัฐบาลไม่ได้ยาวนานมาก แต่ก็เป็นโอกาสที่ดีในการที่จะกำหนดแนวทางยุทธศาสตร์ในการที่จะสร้างความยั่งยืนให้กับประเทศไทย ในการเอาเรื่องปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้กับการดำเนินชีวิต ในการดำเนินธุรกิจ แล้วก็ทำเรื่องของ ESG ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสิ่งแวดล้อม ความรับผิดชอบต่อสังคม การบริหารองค์กรอย่างมีธรรมาภิบาลซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญในการที่จะไปสร้างความยั่งยืนให้กับทุกองค์กร ไม่ว่าจะเป็น SME หรือจะเป็นบริษัทใดก็ตาม
ในส่วนปัญหาที่กังวลคือถ้าไม่จัดการดำเนินการ เร่งแก้ปัญหาโดยเฉพาะเรื่องกับดักหนี้ต่างๆ การพื้นฟูผู้ประกอบการ SME จะทำให้เป็นระเบิดเวลาที่ทำลายล้างเศรษฐกิจทั้งระบบ ถ้าวัดกัน 5...4...3...2...1 ระเบิดเวลาของ SME ไทยเราอยู่จุดไหน
ตอนนี้ความรุนแรงของสภาวะปัจจัยเสี่ยงถาโถมเข้ามารอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสงครามการค้าที่เป็นกำแพงภาษี แม้จะเจรจาจบแต่เศรษฐกิจยังไม่จบ เพราะในเรื่องของการปรับตัวของตัวผู้ประกอบการ SME ยังต้องการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน ซึ่ง GDP ประเทศไทยของเรารั้งท้ายในอาเซียน ไตรมาส 2 ปี 68 กลุ่มประเทศต่างๆ เติบโตกว่าเรา อย่างเวียดนามเติบโตสูงที่สุดถ้าผมจำไม่ผิดน่าจะอยู่ประมาณ 8% แล้วฟิลิปปินส์เติบโต 5.5% อินโดนีเซีย 5.1% มาเลเซียกับสิงคโปร์ 4.4% ประเทศไทยอยู่ที่ 2.8%
สะท้อนว่าในสภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ถ้าไม่มีมาตรการในการกระตุ้นเศรษฐกิจควบคู่กับเรื่องของการดูแลเรื่องของความเป็นธรรมในการแก้หนี้ก็จะทำให้เป็นลักษณะมือใครยาวสาวได้สาวเอา ผู้ประกอบการ หรือคนที่เป็นแรงงาน ที่เป็นประชาชนรายย่อย ก็จะมีอำนาจในการต่อรองน้อย จำเป็นที่จะต้องมาช่วยกันทำให้การแก้หนี้มีกระบวนการที่เป็นระบบแล้วก็สร้างความยั่งยืน
ที่ถามว่าขณะนี้เป็นระเบิดเวลาลูกใหญ่อยู่ในระดับไหน จริงๆ ผมว่าเข้าใกล้ระดับ 5 แล้ว แต่ผมยังประเมินว่าหากรัฐบาลมีความเข้าใจและเข้าถึงเศรษฐกิจ เข้าใจปัญหาของสภาวะของผู้ประกอบการที่ต้องหันไปพึ่งพาหนี้นอกระบบเพิ่มขึ้น และมีกลไกในการที่จะมาพื้นฟูบ่มเพาะ แก้ไขรีไฟแนนซ์หนี้นอกระบบเข้าสู่ในระบบ ยกระดับขีดความสามารถอย่างเป็นระบบให้เขาสามารถมีรายได้เพิ่มขึ้น สิ่งต่างๆ เหล่านี้จะเป็นโอกาสในการที่จะทําให้เขาเป็น SME สายพันธุ์ใหม่ที่จะเป็นนักรบเศรษฐกิจของประเทศต่อไป
รัฐบาลใหม่ ทีมใหม่ จะเป็นความหวังว่าจะช่วยปลดล็อกถอดรหัส หรือตัดสายชนวนที่จะระเบิด แล้วทําให้ฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ได้ไหม
เรามองว่าโฉมหน้าครม.เศรษฐกิจมีความน่าสนใจ มีผู้ที่มีความรู้ความสามารถ แล้วก็มีความตั้งใจจริงในการเข้ามาแก้ไขปัญหาให้กับประเทศ ผมคิดว่าพวกเรา SME และประชาชนทั่วไปก็เป็นกําลังใจที่จะร่วมผลักดันในทุกมิติที่จะให้ประเทศของเราได้ยกระดับขีดความสามารถแล้วก็ก้าวข้ามความยากจน โดยเฉพาะกับดักหนี้ที่จะทำให้เป็นโซ่ตรวนทางเศรษฐกิจของประชาชนรายย่อยแล้วก็ผู้ประกอบการ SME
เบื้องต้นระยะสั้นที่ควรจะทำโดยเร็ว นอกจากเรื่องของการกระตุ้นเศรษฐกิจ อย่างเช่น โครงการคนละครึ่ง มองว่าควรจะมีอะไรเพิ่มเติมอีกไหม เพราะฟังดูแล้วที่พูดมาทั้งหมดเป็นเรื่องที่สำคัญมากกว่าโครงการคนละครึ่งด้วยซ้ำไป ในระยะสั้น ยังอยากจะได้มาตรการอะไรเพิ่มเติมอีกไหม
มาตรการที่สามารถทำได้คือ วันนี้เรามี FTA อยู่หลายฉบับ มาตรการที่เราจะต้องผลักดันทั้งในและนอกหมายความว่าให้ SME โตทั้งในและโตทั้งนอก วันนี้เรามองว่าในวิกฤตย่อมมีโอกาส ในความเสี่ยงย่อมมีทางออก เราอยากมองเห็นกลยุทธ์ในการที่จะทำให้มีการส่งเสริมผู้ประกอบการ SME ให้เข้าถึงตลาดทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งจริงๆ ที่ผ่านมารัฐบาลทํามาทุกชุดแต่ว่าทําแล้วต้องตอบโจทย์ตามความต้องการ ทำแล้วต้องทำให้สุด หมายความว่าส่งเสริมให้ไปอย่างถึงที่สุด เรามี FTA หลายฉบับ เราก็อยากให้ FTA เกิดประโยชน์กับผู้ประกอบการ SME เพิ่มมากขึ้น ในการที่จะช่วยผลักดัน SME ไทยให้สามารถไปขยายตลาดในต่างประเทศทั้งภาคการค้า ภาคการบริการ ภาคการผลิต
สิ่งที่เรามองว่าเป็นประโยชน์อย่างยิ่งรวมถึงตลาดในประเทศ คือเรื่องของการส่งเสริมให้ SME ก้าวเข้าสู่ Digital AI Economy การที่จะทำให้เพิ่มทักษะต่างๆ ให้สามารถที่จะมีช่องทางในการที่จะเข้าถึงกลุ่มผู้ค้าเพิ่มขึ้นในเรื่องของ Digital Marketing ด้วย สิ่งเหล่านี้ต้องออกมาเป็นเรื่องของมาตรการต่างๆ อาทิ อาจจะมีเรื่องของ Co-payment สําหรับการจ้างงาน ซึ่งเรามองถึงสถานการณ์เรื่องของการจ้างงานว่าในปลายปีถึงต้นปีหน้าที่จะมีลูกหลานเราที่จะจบการศึกษาออกมาใหม่ ซึ่งมีสัญญาณว่าตลาดแรงงานรองรับไม่ได้เพียงพอกับจำนวนนักศึกษาที่กำลังจะจบออกมา
สิ่งต่างๆ เหล่านี้เราอาจจะต้องมาคิดทบทวนแล้วก็มาวางแผนที่จะเป็นยุทธศาสตร์กลยุทธ์ในการที่จะดำเนินการไว้ล่วงหน้าว่าในสถานการณ์เรื่องของการจ้างงานเราจะมีลักษณะของ Co-payment ซึ่งจะทำให้ผู้ประกอบการ SME หรือบริษัท SME ที่เป็นรายเล็กๆ สามารถมีโอกาสจ้างงานในส่วนของกลุ่มที่เป็นเรื่องของ Digital เพิ่มมากขึ้น เอาบัณฑิตจบใหม่มาช่วยในเรื่องของ Digital Literacy ต่างๆ เพื่อที่จะทำให้ธุรกิจ Transform ไปได้ อันนี้จะเป็นสิ่งที่จะเข้าสู่ตลาด Creative Content ของผู้ประกอบการเพิ่มมากขึ้น หรือจริงๆ กลไกในเรื่องของการยกระดับส่งเสริมสินค้า GI (สินค้าท้องถิ่นที่มีคุณภาพพิเศษเฉพาะตัว) สู่ตลาดโลก อย่างวันนี้เราเห็นแล้วว่าทุเรียนกำลังส่งสัญญาณว่าน่าจะมีปัญหาเรื่องผลผลิตล้นตลาด อย่างนี้เราจะทำอย่างไรที่จะไม่ทำให้สินค้าเกษตรไม่โอเวอร์ซัพพลาย
เรามองเห็นว่าในเรื่องของการพัฒนาคุณภาพมาตรฐานการส่งเสริมการยกระดับคุณภาพสินค้าเกษตรของประเทศไทยจะต้องไปสู่สินค้าเกษตรพรีเมียม สินค้าเกษตรที่ออร์แกนิก สินค้าเกษตรที่เป็นความปลอดภัย สินค้า GI สิ่งเหล่านี้ก็จะทำให้เกิดการสร้างแบรนด์ สิ่งสำคัญคือวันนี้เราจะทำอย่างไรที่จะทำให้ Thailand Branding สินค้าบริการของประเทศไทยเป็นที่ถูกอกถูกใจและไว้วางใจน่าเชื่อถือจากต่างประเทศ แทนที่จะขายแบบคิดตามต้นทุน ขายแบบคิดตามคู่แข่ง เราจะต้องเปลี่ยนมาขายสินค้าของประเทศไทยโดยคิดตามคุณค่า หรือแวลู ในลักษณะที่เรียกว่าทำน้อยแต่ได้มาก ซึ่งเหมือนยุคหนึ่งที่ประเทศญี่ปุ่นเขาทำเรื่องการสร้างซอฟต์พาวเวอร์ การสร้างแบรนด์ของญี่ปุ่นซึ่งก็ประสบความสำเร็จระดับหนึ่ง แต่เขาก็ยังมีอุปสรรคปัญหาต่างๆ ที่ต้องแก้ไขอยู่บ้าง หรืออย่างเกาหลีใต้ที่ทำเรื่อง Creative Economy ทำ K-pop ทําซีรีส์เกาหลี ทําหลายเรื่องรวมถึงเรื่องของเทคโนโลยีเกาหลีใต้ก็มีความโดดเด่นในเรื่องของซอฟต์พาวเวอร์
สำหรับเรื่องของเทคโนโลยี นวัตกรรม สิ่งต่างๆ เหล่านี้เราอาจจะต้องมาถอดบทเรียนและมาทำยุทธศาสตร์กลยุทธ์ในการที่เราจะมาเติมเต็มและไปสร้างที่จะให้เกิดกลไก การแทรกซึมการขยายตัวไปในตลาดต่างๆ แล้วเรามองว่าตลาดอาเซียนเป็นตลาดใหญ่ของประเทศไทย แล้วเรามองว่าภูมิภาคเอเชียคือขุมทรัพย์ของโลก เพราะฉะนั้นเรามองว่าประชากรในเฉพาะทวีปเอเชียมีจำนวนมาก เรามองว่าสิ่งต่างๆ เหล่านี้จะต้องเป็นยุทธศาสตร์ในการที่เราจะต้องวางเพื่อที่ทำให้เกิดการเติบโต หลายๆ เรื่องต้องทำเลย สามารถที่จะได้เห็นผลในระยะกลาง ระยะยาว






Comments