top of page
327304.jpg

ไทยสบโอกาสจัดระเบียบท่องเที่ยว...แนะจับตลาด 'ไต้หวัน'


Interview: คุณสุรวัช อัครวรมาศ

อุปนายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว


เชื่อมั่น...รัฐบาลจีนเอาอยู่ ควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสได้ในเวลาไม่เกิน 1 เดือน แต่ผลกระทบทางธุรกิจ-การค้า-การขนส่งระหว่างประเทศ ลากยาวอย่างน้อย 3 เดือน รายได้ทัวร์จีนมาไทยลดฮวบ แต่ต้องทำใจและนึกถึงความปลอดภัยของคนไทยด้วยกันก่อน แนะ...ทางการต้องเร่งโชว์ผลงานด้านการแพทย์-สาธารณสุขไทยในการรับมือ รักษาผู้ป่วยไวรัสอู่ฮั่น ให้ต่างชาติมั่นใจและกล้ามาเที่ยวไทย เพื่อทดแทนนักท่องเที่ยวจีนที่หดหาย ต้องใช้จังหวะวิกฤตมาล้างบ้าน จัดระเบียบธุรกิจทัวร์ให้มีบรรทัดฐาน ตีกรอบบริษัททัวร์ต่างชาติไม่ให้ขายตัดราคา ที่สำคัญต้องปรับปรุงระบบการอนุมัติวีซ่าของกงสุลไทย พร้อมยกตัวอย่าง E-Visa ที่ล้าสมัย ทำให้นักท่องเที่ยวไต้หวันมาไทยน้อยลง และหันไปท่องเที่ยวเวียดนามแทน


ถ้ามองเรื่องท่องเที่ยว อู่ฮั่นของจีนถือว่าได้รับความสนใจขนาดไหน


คนไทยยังไปไม่เยอะ เพราะเพิ่งเปิดบินตรงเข้าอู่ฮั่นได้ไม่นาน ส่วนทางแม่น้ำแยงซีเกียงต้องเข้าไปอีกทางหนึ่ง จากฟากฉงชิ่งนั่งเรือข้ามมา อยู่ในมณฑลเดียวกัน แต่ไม่ใช่อู่ฮั่น ซึ่งอู่ฮั่นเหมือนเมืองหลวงของมณฑล มณฑลนี้มีพื้นที่เกือบเท่าประเทศไทยเลย ประชากรก็พอๆกับไทย ก็ถือได้ว่าเป็นหนึ่งประเทศไป


คนอู่ฮั่นไปเที่ยวต่างประเทศมากแค่ไหน


เยอะ มาเมืองไทยเป็นอันดับหนึ่ง ถ้าออกต่างประเทศจะเลือกมาประเทศไทยเป็นอันดับหนึ่ง ถือว่าเขามีฐานะดี ประเทศจีนในปัจจุบันนี้ ถ้าเป็นเมืองหลวงหรือเมืองใหญ่ๆ ประชากรจะฐานะดีหมด เมืองอู่ฮั่นมีการลงทุนของบริษัทหนึ่งของจีนคือบริษัทแวนด้า เขาลงทุนไป 2 หมื่นกว่าล้านบาท โดยการสร้างโรงแรม 6 ดาว สร้างแหล่งช็อปปิ้ง เป็นโมเดลของจีนที่จะเปิดเมืองที่เขาให้เอกชนมาลงทุนฃ


มาตรการรับมือไวรัสอู่ฮั่นที่จีนทำอยู่ คาดว่าจะเอาอยู่หรือไม่


หลังวันที่ 27 มกราคม 2563 นักท่องเที่ยวจีนจะไม่มาประเทศไทย หมายถึงนักท่องเที่ยวจีนทั้งประเทศ ไม่เฉพาะชาวอู่ฮั่น และจีนยังมีมาตรการเข้มห้ามนักท่องเที่ยวจีนมาเที่ยวเองด้วย นอกเหนือจะมากับทัวร์ที่ห้ามอยู่แล้ว ฉะนั้น เราต้องถือว่าไม่มีนักท่องเที่ยวจีนไว้ก่อน ต้องคิดแบบนี้ก่อน เราถึงจะไปป้องกันนักท่องเที่ยวคนอื่นที่เข้ามา เพราะส่วนตัวเป็นห่วงที่ไทย มีการตรวจพบคนติดไวรัสโคโรนา และยังมีที่ตรวจไม่พบอีกกี่รายเราก็ไม่รู้ และที่ส่งกลับไปแล้ว ดังนั้นตัวเลขเราไม่ชัดว่าเหลืออยู่ที่ไทยเราอีกกี่ราย


ทีนี้เราต้องทำอะไรให้ชัดเจนขึ้นมาเพื่อประกาศให้ชาวโลกได้รู้ว่าเราควบคุมในประเทศเราแบบไหน ซึ่งจะยกตัวอย่างเรื่องหนึ่งว่ามีบริษัททัวร์กรุ๊ปหนึ่งของเพื่อนไปเจอผู้ป่วยรายแรกหรือรายที่สอง พอรู้เรื่อง ทั้งกรุ๊ปถูกกักตัว 2-3 วัน สำหรับพวกที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นคนขับรถ ไกด์ ลูกทัวร์ พอเช็กเสร็จคนที่เป็นก็รักษาหายแล้วก็ส่งกลับไปอู่ฮั่น เคสนี้ไม่มีการพูดกันถูกไหม ตรงนี้คือวิธีการทำงานของไทย แล้วเขาก็บอกว่าไทยทำงานได้เร็วมาก ซึ่งเรื่องอย่างนี้ควรออกสื่อให้เร็ว เพื่อไม่ให้ประเทศอื่นกลัวประเทศไทย สิ่งที่ห่วงก็คือคนชาติอื่นที่จะเดินทางมาไทย แต่วันนี้กลับพบเจอคนติดเชื้อในไทยหลายคนแล้ว รัฐบาลเราควรรีบประกาศ แล้วพูดถึงการทำงานของเรา ซึ่งเป็นผลบวกอยู่แล้วว่าเราทำงานได้ดี หากเราไปดูช่วงเกิดโรคซาร์ส เราก็แก้ปัญหาได้ดีมาก เมื่อประมาณปี 2546 ที่คนจีนเสียชีวิตไปเยอะมาก 5,000 กว่าราย ฮ่องกง 1,700 ราย ไต้หวัน 600 กว่าราย คือทุกประเทศที่เคยเจอปัญหา เขาก็เตรียมรับมือ อย่างฮ่องกง ไต้หวัน เขาก็รับมือได้เร็ว แต่ที่จีนเที่ยวนี้ อาจจะคือมีหมอกับพยาบาลไปรักษา และเบื้องต้นติดเชื้อไป 14 คน เนื่องจากเขาไม่รู้เรื่องโรคและกันออกมา แต่ตอนนี้เขารู้แล้ว และกันออกมา ปัญหาก็จะไม่ใหญ่


อย่างบ้านเรา เรารู้ก็เตรียมโรงพยาบาลไว้ 2-3 โรงพยาบาลสำหรับรักษา ก็จะเบาใจขึ้น แต่อย่างไรต้องถือว่าจะไม่มีนักท่องเที่ยวจีนแล้ว ทีนี้ที่ต้องพูดกันคือความเสียหายที่เกิดขึ้น ถ้านักท่องเที่ยวหายไปสัก 1 เดือน ความเสียหายเป็นหลักหลายหมื่นล้านบาท แล้วถ้าหายไปสัก 3 เดือน เราจะเสียหายเท่าไหร่ เราต้องมาดูแลกันอย่างไร


ส่วนที่เป็นกรุ๊ปทัวร์ไม่มี แล้วส่วนที่เที่ยวเอง มีการดูแลป้องกันได้หรือไม่


ตอนนี้ที่จีนเขาประกาศมาว่าไม่ออกมา ส่วนตัวเข้าใจว่าที่จีนพอเขาประกาศอะไรออกมา เขาจะสั่งกันทางวีแชตว่าอะไรกันบ้าง คือวิธีสั่งของเขา คนจีนเขาเชื่อฟังหมด คือเขาจะไม่ออกเป็นเปเปอร์ให้ แต่คำสั่งคือทุกคนเชื่อฟังหมด ฉะนั้นเมื่อสั่งเป็นเปเปอร์เมื่อไหร่ ทุกคนจะห่วง จะกลัวทันที เข้าใจว่าหลังวันที่ 27-28 มกราคม ไฟลท์จีนคงเข้ามาน้อยมาก ถ้าหากมาน้อยมาก เราจะหาวิธีทำอย่างไรให้ คือกวาดให้สะอาดก่อน แล้วมาตรการจีนทำอย่างนี้เป็นสิ่งที่ดี ถ้าเกิดสมมุติคนของเขาไม่ออกมาเลย ก็จะไม่กระทบประเทศอื่นๆ แล้วคนอื่นยังเที่ยวกันได้ แต่ว่าเรื่องเศรษฐกิจของจีนเขาจะบริหารกันอย่างไร เพราะมันไม่ใช่เรื่องคนอย่างเดียว ยังมีสินค้า ส่งของ การทำธุรกิจ ตรงนี้จะควบคุมอย่างไรไม่ให้เกิดปัญหา ถ้าจีนแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ เชื่อว่าจะเกิดความเชื่อมั่นกลับมา แล้วเรื่องพวกนี้ใช้เวลา 14-15 วัน ก็สามารถที่จะควบคุมได้ อาจจะเห็นชัดเจนตรงนี้

ในส่วนของไทยเราอาจตกใจ แต่ว่าเราก็ต้องสู้ต่อไป อย่างพวกผู้ประกอบการทัวร์ ก็ผ่านเรื่องซาร์สมาแล้ว ก็ทำใจไว้แล้ว ตอนโรคซาร์สเราก็โดนไปประมาณเกือบครึ่งปี ถือว่าสยองตอนนั่งฟังข่าว แต่มีอีกประเด็นหนึ่งก็คือเรื่องของชาติต้องมาก่อน ประชาชนของชาติต้องมาก่อน แล้วบุคลากรที่ไปทำงาน ก็ต้องทำตัวเหมือนทหารเลย ต้องขอยกย่องคนที่เป็นหมอ เป็นพยาบาลที่คอยดูแลทำงานเรื่องพวกนี้ อยากให้ประเทศชาติมองคนเหล่านี้เป็นฮีโร่ ต้องให้เครดิตเหมือนทหารออกรบ ต้องให้เหรียญกล้าหาญ ส่วนตัวว่าควรทำ จะได้ช่วยกันทำงาน


ธุรกิจอินบาวด์ เอาต์บาวด์ ต้องทำอย่างไร


เรื่องนี้อาจจะต้องขอวิงวอน คือผู้ประกอบการท่องเที่ยวปกติจะเป็นเอสเอ็มอี ธุรกิจนี้ไม่ได้สร้างกำไรอะไรนัก แต่ช่วยสังคมได้เยอะ หมายความว่าการไปนำนักท่องเที่ยวเข้ามาแล้วมาใช้จ่าย อย่างที่บอกว่าจีนใช้จ่ายคนละ 5 หมื่นบาท จริงๆบริษัททัวร์กำไรต่อหัวแค่ 1,000 บาท ที่เหลือมันได้กับสังคมเราหมดเลย แต่ทีนี้ตอนนี้มีปัญหา อย่างเรื่องการจองโรงแรม จองอาหาร ส่วนตัวก็อยากจะบอกว่าบางครั้งพอมีการจองอะไรไป พอเกิดเรื่องไม่คืนเงินกัน โรงแรมไม่คืนเงิน คนที่จะตายคือพวกเรา ถ้าเกิดอย่างนี้ก็ขอวิงวอนว่า ต้องมีมาตรการมาช่วยกัน คือสายการบินจองตั๋วไป วางเงินไป สายการบินรวยกว่าบริษัททัวร์เยอะ


ยกตัวอย่างประเทศจีน ที่เขาประกาศครั้งนี้ที่อู่ฮั่น พอประกาศให้หยุด พวกโรงแรม บริษัททัวร์ แม้กระทั่งพวกออนไลน์ทั้งหมด เขาประกาศเลยว่าคืนเงิน 100% ก็คืออย่ามาใช้อาศัยช่วงอย่างนี้เอาเปรียบกัน คือเราต้องมาช่วยประเทศชาติ ตอนนี้ที่จีนทั่วประเทศเขาประกาศเลยว่าโรงหนังห้ามฉายหนัง คือไม่มีอะไรบริการที่มีคนเยอะๆ แม้แต่ ห้างร้าน อาหาร คงต้องหยุดไปอีกหลายที่ เราต้องยอมรับว่าจีน ประเทศเขาใหญ่ ทำอะไรต้องเฉียบ ก็คุมทีเดียวก่อนเลย คือคนอย่าให้กระจัดกระจายเยอะ แล้วโรคอย่างนี้ ภายใน 3-5 วันเรารู้ว่าคนอยู่ที่ไหน ถ้าทุกคนทำตามหมด ก็จะไม่กระจาย แล้วคุมอยู่ ส่วนตัวดูจากช่วงโรคซาร์ส ช่วงนั้นเรียกได้ว่าปิดเมืองเลย คือใครนั่งเครื่องบินมาลง เขาเปิดโรงแรมให้อยู่เลย 2-3 วันแล้วค่อยกลับบ้าน แล้วทุกคนทำตามหมด ตรงนี้คือจีน


แต่ของไทย ก็อย่างที่บอก เราประกาศไปว่าวิธีทำงานอะไรเราดี ตอนนี้เราเหลือผู้ป่วยกี่คน ส่วนที่เหลือทำอย่างไร ตรงนี้ต้องสื่อ แล้วเราต้องอธิบายให้ฟังถึงวิธีกักตัว ซึ่งเราโชคดีที่เรามีโรงพยาบาลบำราศนราดูร ถือว่าดีมาก คืออาจจะเริ่มต้นจากรักษาโรคเอดส์ โรคอะไรก่อน เรามีโรงพยาบาลที่ดูแลเรื่องนี้โดยเฉพาะอยู่ อย่างที่เราดูข่าวเรื่องที่จีนพยายามสร้างโรงพยาบาลให้เสร็จภายใน 10 วัน ตรงนั้นคือมาตรการต้องสร้างโรงพยาบาลรักษาตรงนี้ โรงพยาบาลแบบนี้จะสร้างตาม สเปกแบบปักกิ่ง ที่ปักกิ่งมีโรงพยาบาลลักษณะนี้อยู่ แล้วก็ขนาดอะไรเท่ากันหมด อันนี้คือสิ่งที่ต้องรีบจัดคนให้อยู่ ให้ควบคุมคนให้ได้ คือควบคุมได้คงใช้เวลาไม่มาก แต่เรื่องธุรกิจเราต้องมองไปอีก 3 เดือน อย่างที่บอกว่าคนจีนเข้ามาใช้เงิน 5 หมื่นบาท หายไปเดือนนึง 8-9 แสนคน ทั้งประเทศเงินจะหายไปเยอะ พอฟังแล้วผวาเหมือนกัน แต่ว่านั่นคือปัญหา แล้วคนไทยก็ต้องอาศัยช่วงนี้ปรับปรุงตัวเราด้วย เพราะเรายังมีปัญหาในเรื่องบริษัททัวร์ต่างชาติ ไกด์ที่เป็นต่างชาติ เราต้องจัดการแล้ว อาศัยจัดระเบียบในช่วงที่ไม่มีทัวร์มา เพราะเรื่องทัวร์ราคาถูกของบริษัททัวร์ต่างชาติก็เป็นประเด็น และบริษัททัวร์คนไทยเองตอนนี้ก็อยู่กันไม่ค่อยได้แล้ว ปี 2562 ที่ผ่านมา ธุรกิจทัวร์ท่องเที่ยวที่อินบาวด์เข้ามามันอยู่ในมือต่างชาติเกือบ 80-90%


ที่ผ่านมาบริษัททัวร์คนไทยหยุดทำทัวร์จีนไปหลายบริษัท หันไปทำทัวร์ไต้หวัน ซึ่งไต้หวันก็ยังดีอยู่ โดยปีที่ผ่านมาเข้ามา 7.8 แสนคน ขึ้นมากว่า 10% ในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา นักท่องเที่ยวไต้หวันมาไทยเพิ่มขึ้นมากว่า 100% ดังนั้น ต้องให้ความสนใจนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ว่าเราจะไปดูแลเขาอย่างไร ตอนนี้ก็วิงวอนกระทรวงต่างประเทศ คือก่อนหน้าคนไต้หวันมีปัญหาเรื่องการทำวีซ่ามาไทยลำบากขึ้น เขาถือว่าไม่ให้เกียรติเขา และเริ่มจะไม่มาเมืองไทยแล้ว เริ่มจะบอยคอตประเทศไทยแล้ว ดูจากตัวเลขได้เลยว่าหลังจากเราประกาศเรื่องวีซ่าเข้าไทยของชาวไต้หวัน เที่ยวนี้เมื่อเรามีปัญหาขาดรายได้จากนักท่องเที่ยวจีน เราก็อย่าไปสร้างอะไรที่เป็นปัญหาให้กับชาติอื่นที่จะเข้ามา อย่างไต้หวันเป็นตลาดที่ดีมาก เจอปัญหานี้ไปก็มึนตึ้บเหมือนกันว่าคิดกันอย่างไรในเรื่องระบบของบ้านเรา ของบ้านเรากระทรวงต่างประเทศจะคิดตามแนวของกระทรวงต่างประเทศ ฝ่ายความมั่นคงก็คิดในแนวความมั่นคง ท่องเที่ยวเราก็อยากให้เขามา ทางนี้ทำไมไม่ให้เขามา แล้วก็ไม่คุยกัน พอไม่คุยกันปุ๊บ ก็ต่างคนต่างคิด แล้วก็ไปสร้างกำแพง ไปกั้นเขามา เราก็เสียหาย


ไปกั้นเขาอย่างไร


เมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา คนไต้หวันประกาศว่าไม่ชอบกงสุลไทยเวลาทำวีซ่า เขาเรียกว่ามันเป็นสำนักงานการค้า แต่ต้องทำวีซ่า ทีนี้เรื่องกฎหมายบ้านเรา การทำวีซ่าคุณต้องเอาพาสปอร์ตไปติดสติกเกอร์ที่กงสุล แต่เราไปให้เขาใช้ระบบ E-Viza ซึ่งระบบเราก็ยังไม่ดี ระบบ E-Viza ที่ต้องใช้สแกนอะไรต่างๆ ต้องคลิกเข้าไป 34 หน้า แล้วก็เป็นภาษาอังกฤษ เสร็จแล้วยังมีเงื่อนไขต้องสแกนสเตรตเมนต์เขาด้วย มันเพิ่มเงื่อนไขเยอะมาก จนบริษัททัวร์ที่ไต้หวันเขาบอกจะหยุดขายประเทศไทยสักพักหนึ่ง แต่ยังโชคดีอยู่บ้าง ซึ่งส่วนตัวให้เครดิตกับกรรมาธิการท่องเที่ยวของ ส.ส. ที่เชิญกระทรวงต่างประเทศมา แล้วก็มาพูดคุย เขาก็เลยหยุด คือช่วงนี้ถ้าเราไม่คุยเรื่องนี้ให้ชัดแล้วกลับไปเหมือนเดิม ก็จะเป็นปัญหาคือการทำวีซ่า E-Viza จะต้องทำให้สะดวกขึ้น แต่เรากลับไปสร้างปัญหามากขึ้น มันผิดแนวทางแน่นอน เราถามตัวแทนกระทรวงต่างประเทศที่มาคุย เขาบอกว่าเนื่องจากกฎหมายเราต้องติดสติ๊กเกอร์ เราก็เลยจำเป็นต้องติดสติกเกอร์ แต่เรื่องทำ E-Viza ต้องทำทีเดียวให้มันจบ ไม่ต้องมารบกวนกระทรวงต่างประเทศแล้ว มันต้องจบในเรื่องของออนไลน์ แต่นี่คือทำที่ออนไลน์แล้ว ยังจะต้องเอาพาสปอร์ตมาติดสติ๊กเกอร์อีก มันซ้ำซ้อน ทุกคนเลยไม่เรียก E-Viza เขาเรียกว่าแอปพลิเคชัน แล้วมันไม่ได้ทำอะไรให้ดีขึ้น แถมสร้างปัญหามากขึ้น


ตอนนี้คนไต้หวันรู้หมด มีเอเยนต์ไทยคนหนึ่งไปเที่ยวไต้หวัน คนขับแท็กซี่บอกเขาว่าถ้าประเทศไทยทำอย่างนี้เขาไม่ไปเที่ยว นี่คนขับแท็กซี่นะ คือคนไต้หวันไปเที่ยวต่างประเทศกว่า 120 ประเทศไม่ต้องทำวีซ่า เพราะเขาถือว่าไต้หวันมาตรฐานสูง ไปสหรัฐอเมริกา ไปอังกฤษก็ไม่ต้องทำวีซ่า แต่มาประเทศไทยต้องทำวีซ่า เขาก็เข้าใจว่าถ้าไปให้ไต้หวันโดยไม่ให้จีนแผ่นดินใหญ่ ก็ทำไม่ได้ เขารู้ แต่ต้องไม่ใช่เพิ่มปัญหา นี่คือวิธีคิด ส่วนตัวไม่ได้โทษกระทรวงต่างประเทศ หรือความมั่นคงอะไรทั้งหมด เพียงแต่ว่ากลับมาช่วยกันคิดหน่อยได้ไหม ทำไมเราต้องทำอะไรกันช่วงนี้ เดือนธันวาคมที่ผ่านมา เรากำลังเข้าสู่เข้าใกล้ไฮซีซันของเรา สำหรับคนไต้หวัน ตั้งแต่เดือนมกราคมจนถึงเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว เข้าประเทศไทยเพิ่มขึ้นเดือนละกว่า 10% แต่พอมีปัญหาเรื่องวีซ่าเดือนธันวาคม ลดลงไปกว่า 6% ดังนั้น ถ้าเรายังยืนยันยืนกรานเรื่องเดิมอยู่อย่างนี้ เราก็จะเสียอีกตลาดให้เวียดนามไป คือเขาไม่ต้องเที่ยวไทยก็ได้ ไปเที่ยวกับประเทศคู่แข่งเราซึ่งมีเยอะแยะ

29 views
bottom of page