top of page

'ภาษีทรัมป์' ไทยมีทั้งได้/เสีย


มาตรการขึ้นภาษีของทรัมป์ส่งผลทั้งด้านบวกและด้านลบของการส่งออกไทย ผู้ส่งออกบางกลุ่มถูกผู้ซื้อต่อรองราคา ชะลอการส่งมอบสินค้า ไปจนถึงยกเลิกการส่งมอบสินค้า ขณะที่ผู้ส่งออกบางกลุ่มส่งออกได้มากขึ้นหลังอเมริกาเจรจากับจีน ทำให้จีนกลับมาส่งออกได้มากขึ้นจึงสั่งวัตถุดิบจากไทยมากขึ้น เช่นยางพาราและชิ้นส่วนอุปกรณ์การผลิตต่างๆ ดังนั้น ภาครัฐต้องจัดการแก้ปัญหาให้กับผู้ส่งออกในวิธีที่แตกต่างกันในแต่ละกลุ่มสินค้า โดยสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือเชื่อว่าในท้ายที่สุดทางอเมริกาจะไม่ลดกำแพงภาษีเป็นศูนย์ โดยอัตราภาษีที่อเมริกาจะเรียกเก็บจะอยู่ที่ 10-20% ซึ่งทางสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือได้ขอให้กระทรวงพาณิชย์เร่งช่วยเหลือผู้ส่งออกเป็น 3 ระยะ คือระยะเร่งด่วน ระยะสั้น และระยะยาว ระยะเร่งด่วนคือช่วยผู้ส่งออกในการหาตลาดใหม่ๆ ด้วยการจัดสรรงบประมาณให้ผู้ส่งออกได้ไปพบปะกับคู่ค้ารายใหม่ในการแสดงสินค้านานาชาติ ทำให้สินค้าไทยปรากฏในสายตาลูกค้าและผู้บริโภคทั่วโลก ขณะที่แผนระยะสั้นคือรัฐต้องเจรจาความร่วมมือทางการค้าเสรีกับประเทศคู่ค้าสำคัญๆ มากขึ้น เพื่อให้ผู้ส่งออกไทยมีกลไกจากการค้าเสรีที่ช่วยให้ผู้ส่งออกไทยมีความได้เปรียบคู่แข่ง ส่วนแผนระยะยาวคือการสร้างนักรบการค้าไทยที่สามารถเชื่อมต่อและเป็นพันธมิตรอย่างยั่งยืนกับลูกค้าทั่วโลก ตลอดจนส่งเสริมให้นักรบการค้ามีมิติที่หลากหลาย คือเป็นทั้งผู้ส่งออกและผู้ลงทุนในประเทศต่างๆ เพื่อสร้าง Gross Nation Product และป้องกันการกีดกันทางการค้าที่กำลังเกิดขึ้นทั่วโลก


Interview : คุณคงฤทธิ์ จันทริก ผู้อำนวยการบริหาร สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย

 

ช่วงก่อน 9 เมษายน สถานการณ์ของไทยในเรื่องของการค้าขาย เรื่องการส่งออกเป็นอย่างไร แล้วหลังจาก 9 เมษายนมาจนถึงปัจจุบันเป็นอย่างไรบ้าง

           

ต้องเรียนให้ทราบว่าตัวเลขยอดส่งออกของไทยเราในช่วง 3 เดือนแรกก่อนที่จะมีเรื่องของ Reciprocal Tariffs ของสหรัฐอเมริกาการส่งออกเราก็เติบโตมาโดยตลอด ช่วง 3 เดือนแรกโตค่อนข้างมาก แล้วพอมีผลจากเรื่อง Reciprocal หลังจาก 9 เมษายน ทุกประเทศทั้งเราและคู่แข่งสำคัญของเราก็รับผลกระทบจากอัตราภาษีที่ขึ้นในทิศทางเดียวกันทั้งหมด

           

ต้องบอกว่าพอมีการประกาศตอนกลางคืน ตอนเช้าคู่ค้าของผู้ส่งออกไทยจากสหรัฐก็โทร.เข้ามาเพื่อมีการพูดคุยว่าจะสามารถชะลอคำสั่งซื้อออกไปก่อนได้ไหม หรือถ้าจำเป็นจะยังต้องรับสินค้าอยู่ก็เป็นลักษณะที่ขอให้ช่วยกันแบ่งเบาในเรื่องของอัตราภาษีที่ถูกเรียกเก็บได้หรือไม่ อันนั้นเป็นเชิงลบ แต่เชิงบวกก็มีเช่นเดียวกันในบางกลุ่มสินค้าอย่างกลุ่มเฟอร์นิเจอร์ที่ผู้ประกอบการบางรายมีการแจ้งเข้ามาเลยว่ามีทิศทางตรงกันข้าม พอเช้าของวันที่ประกาศขึ้นอัตราภาษี สิ่งที่เกิดขึ้นคือคู่ค้าเขาเทียบระหว่างอัตราภาษีที่ไทยได้รับกับอัตราภาษีที่คนอื่นเขาได้รับ ผลปรากฏว่าไทยต่ำกว่าในบางสินค้าบางรายการ ก็กลายเป็นว่ามีออร์เดอร์เทเข้ามา บอกเลยว่าตอนนี้จะย้ายคำสั่งซื้อมาที่ประเทศไทย

           

ดังนั้น อัตราตัวภาษีที่อเมริกามีการเรียกเก็บ ตามที่เรามีการสำรวจผู้ประกอบการที่เป็นสมาชิกของสภาเห็นภาพว่ามุมลบคือมีการต่อรองเรื่องราคา หรือการชะลอการสั่งซื้อ หรือยกเลิกคำสั่งซื้อ แต่ในอีกด้านหนึ่งมีการซื้อเพิ่มขึ้น อันนั้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้น แล้วในอุตสาหกรรมเดียวกันก็แตกต่างกัน กลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกันบางบริษัทได้รับผลบวก บางบริษัทได้รับผลลบ อันนี้เป็นภาพที่เกิดขึ้นหลังจากวันที่ 9 เมษายน

           

แต่พอสหรัฐอเมริกามีการเล่นเกมกับประเทศจีน ต่อรองกันไปมา แล้วสุดท้ายลดอัตราภาษีให้ สิ่งที่เกิดขึ้นคือจีนกลับมาส่งออกได้อีกครั้งหนึ่ง แล้วเขาก็เริ่มสั่งซื้อวัตถุดิบหลายๆ อย่างจากบ้านเราอย่างเช่นยางพาราหรือชิ้นส่วนที่เอาไปใช้ประกอบเป็นสินค้าเพื่อส่งไปอเมริกา ตอนนี้จีนก็เลยกลับมาเป็นการส่งออกที่เพิ่มขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ทำให้คำสั่งซื้อวัตถุดิบหรือว่าชิ้นส่วนจากไทยก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย

           

จากภาพจะเห็นได้ชัดเจนว่าในทุกๆ การประกาศหรือข่าวที่เกิดขึ้นไม่ได้บอกได้ว่าเป็นบวกหรือลบอย่างชัดเจนต่อประเทศไทย เพราะมีทั้งกลุ่มที่ได้ประโยชน์และเสียประโยชน์ ซึ่งตอนที่ทางสภาเราคุยกับทางกระทรวงพาณิชย์และภาครัฐเราพยายามจะสื่อว่าสิ่งที่จำเป็นขอให้ภาครัฐเร่งเจรจา แต่การที่เราจะเดินเกมในการช่วยเหลือผู้ประกอบการจำเป็นที่จะต้องพูดคุยกับในทุกกลุ่มสินค้า เพราะในกลุ่มบริษัทรายใหญ่  ขนาดกลาง ขนาดเล็ก วิธีการที่รัฐจะช่วยเหลือจะมีความแตกต่างกัน อันนี้เป็นเรื่องของปัญหาที่เราพบจริงๆ

 

เพราะหลายอุตสาหกรรมมีทั้งได้ทั้งเสีย

           

ใช่ครับ แต่จริงๆ แล้วผลกระทบที่เราพยายามที่จะพูดคุยเนื่องจากว่ามีความหลากหลาย แล้วในการที่จะทำข้อเสริมแนะในการเจรจากับภาครัฐเราได้มีโอกาสคุยกับทางท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ก็ได้ทราบถึงแง่มุมในการเข้าไปเจรจาสิ่งที่เป็นเบื้องลึกที่ทำให้เราต้องระมัดระวังเช่นเดียวกันในการที่จะยื่นข้อเสนอในการที่จะขอลดภาษี เป็นสิ่งที่เราคิดว่าเราต้องเปรียบเทียบผลได้ผลเสีย แล้วท้ายที่สุดเราเชื่อว่าสหรัฐอเมริกาจะไม่ยกเลิกภาษีแบบเป็นศูนย์ ถึงยังไงเขาก็จะมีการเรียกเก็บในอัตราใดอัตราหนึ่งระหว่าง 10-20% นี่คือสิ่งที่เอกชนเราคาดการณ์

           

ดังนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นในพาร์ตที่เราพยายามเสนอกับกระทรวงพาณิชย์เราก็เลยมีการเสนอเป็น 3 ระยะ ซึ่งระยะเร่งด่วนนอกเหนือจากความพยายามในการพูดคุยกับสหรัฐอเมริกาแล้ว สิ่งที่อยากจะให้ทางภาครัฐดำเนินการโดยเฉพาะในส่วนของกระทรวงพาณิชย์และอาจจะเกี่ยวข้องกับทางกระทรวงการคลังด้วย คือจำเป็นต้องมีการอัดฉีดงบประมาณให้กับกิจกรรมส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ เราโฟกัสในเรื่องของการไปจัดเทรดแฟร์ จัด Exhibition ในต่างประเทศ จัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาด มีการพาคณะผู้แทนการค้าในแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรมไปพบกับคู่ค้าในตลาดอื่นนอกเหนือจากสหรัฐ แล้วก็ทำ Research and Matching เพื่อให้มาร์เก็ตแชร์ที่เราส่งไปอเมริกาตอนนี้ประมาณ 4 เดือนแรกอยู่ที่ประมาณ 19% จำเป็นต้องกระจายไปตลาดอื่น

           

เราคิดว่าอันนี้เป็นกิจกรรมที่กระทรวงพาณิชย์จำเป็นต้องทำ สำหรับผู้ประกอบการที่เป็นรายย่อยที่อาจจะไม่ได้มีกำลังในการที่จะไปโรดโชว์กับภาครัฐ หรือเขาจำเป็นจะต้องเลือกในการที่จะไปร่วมกิจกรรม ซึ่งอาจจะมีกิจกรรมที่ภาครัฐอย่างกระทรวงพาณิชย์ทำเต็มที่เสมอ แต่ผู้ประกอบไม่สามารถเข้าร่วมได้ในทุกกิจกรรมที่มีอยู่ทั่วโลก เอกชนเขาจะอาจจะพิจารณาเองว่าเขาจะไปที่ไหน เราก็พยายามที่จะเสนอว่าจำเป็นที่ทางรัฐบาลต้องช่วยกระทรวงพาณิชย์ในการสนับสนุนงบประมาณเข้าไปในโครงการที่ช่วยให้ผู้ประกอบการ SME มีงบประมาณสนับสนุนที่จะไปร่วมงานแฟร์ โดยตัวของเขาเองก็ต้องจ่ายบางส่วนอยู่แล้ว สมมุติว่าต้องมีค่าให้จ่ายสัก 4-5 แสนในการไปในแต่ละครั้ง กระทรวงพาณิชย์อาจจะช่วยซึ่งมีโครงการอยู่แล้วแต่งบประมาณอาจจะมีข้อจำกัดคือไม่สามารถช่วยได้ทุกรายอาจจะได้แค่บางส่วน แต่เราคิดว่าตอนนี้เป็นช่วงจำเป็นที่จะต้องเพิ่มซึ่งไม่ได้ใช้งบเยอะระดับเป็นหลายหมื่นล้าน ใช้งบไม่ได้มากแต่ว่าผลที่ได้คือทำให้สินค้าไทยปรากฏในสายตาของลูกค้าและผู้บริโภคในตลาดโลกอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะทำให้เราสามารถจะกระจายสินค้าอุปโภคบริโภคที่เคยไปแค่อเมริกาให้ไปยังตลาดอื่นได้ อันนี้จะเป็นระยะสั้นที่เราเสนอ

           

ส่วนระยะกลางเราก็เสนอว่าอยากให้มีการเร่งในเรื่องของการเจรจาการค้าเสรีกับประเทศคู่ค้าสำคัญ เพราะจริงๆ เราต้องยอมรับว่าพอผู้ส่งออกที่เป็นคู่แข่งสำคัญไม่ว่าจีนหรือเวียดนามที่เขามีความได้เปรียบด้านราคาเหนือกว่าสินค้าไทยอยู่แล้ว การที่เราจะไปแข่งในตลาดอื่นเราจำเป็นที่จะต้องมีแต้มต่อในเรื่องของอัตราภาษีหรือว่าการอำนวยความสะดวกต่างๆ พวกนี้ ก็จะต้องใช้กลไกของ FTA เข้ามาช่วย อันนี้ก็เป็นระยะกลางที่เราเสนอ

           

ส่วนระยะยาวได้มีโอกาสหารือกับท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เราได้เสนอเรื่องของยุทธศาสตร์ที่เราต้องปรับโครงสร้างของประเทศในช่วงพ้นจากระยะสั้นที่เราต้องเร่งทำประมาณ 3-5 ปี เราต้องปรับโครงสร้างของเรา เราต้องเปลี่ยนให้ได้ตามที่เราเคยพูดกันมาเมื่อสมัยระหว่าง 5-10 ปีที่ผ่านมา เรามีคำนี้ที่บอกว่าเป็น Trading Nation เราจะเป็นแค่ผลิตเพื่อส่งออกอย่างเดียวคงไม่ได้แล้ว เพราะทุกประเทศก็จะเริ่มมีการป้องกันอุตสาหกรรมในประเทศ กีดกันสินค้าที่จะนำเข้า เราต้องปรับไม่ใช่แค่เป็นผู้ส่งออก เราอาจจะต้องไปลงทุนในต่างประเทศให้มากขึ้น หรือว่าใช้โอกาสในการไปแสวงหาทรัพยากรในประเทศอื่น หรือเข้าไปลงทุนใช้ประโยชน์ ซึ่งไม่ใช่เพียงการสร้าง Gross Domestic Product หรือว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ แต่ต้องมีการสร้าง Gross Nation Product ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ในประเทศ แต่เกิดขึ้นได้จากทั่วโลก อันนั้นเป็นสิ่งที่เราในมุมของสภาที่เป็นตัวแทนผู้ส่งออก เรามีมุมมองที่เราเสนอทางภาครัฐไปเป็นแบบนี้ ก็เป็นข้อมูลที่เราได้คุยไปแล้ว

 

พอพูดถึงแผนระยะยาวแล้วบอกว่าจะต้องให้เข้าไปลงทุนในต่างประเทศ ไปหาผลิตภัณฑ์ ผลผลิตเพิ่ม ประเมินว่าคนไทย นักธุรกิจไทย มีพละกำลังหรือมีความชำนาญอะไรที่จะออกไปลงทุนแบบนั้นไหม

           

เรื่องนี้เป็นโจทย์สำหรับสภาเราที่พยายามจะทำในเรื่องของการสร้างนักรบการค้าของ Capacity Building ในการที่จะทำให้เกิดระบบการค้าขึ้นมาในบ้านเรา คือเราต้องปลูกฝังเรื่องของ Mindset แล้วก็เรื่องของเทคนิควิธีการที่เราพยายามทำมาโดยตลอด แล้วก็สร้างเครือข่ายความร่วมมือกันทั้งประเทศในเอเชียตะวันออก ในตะวันออกกลาง แล้วก็พาร์ตเนอร์ที่เรารวมตัวกันระหว่างสภาของเรากับทั่วโลก เราก็พยายามที่จะสร้างลักษณะที่เป็นพันธมิตรเพื่อจะจับมือกับคนที่เป็นผู้ซื้อผู้ขายสินค้าทั่วโลกให้มาอยู่ด้วยกันเพื่อสร้าง Connection แล้วทำให้เกิดความคุ้นเคย ความเคยชินกับผู้ประกอบการที่จะเริ่มจากการค้า แล้วพอเริ่มมีการค้า เราพบปะกันบ่อยๆ เราจะเริ่มเห็นโอกาสที่จะเข้าไปเพื่อแสวงหาโอกาสในเรื่องพวกนี้ เพราะจริงๆ แล้วไทยเรามีสกิลในหลายๆ เรื่องที่สามารถไปต่อยอดได้ เพียงแต่สกิลในการเป็นนักรบการค้าที่จะเชี่ยวชาญเป็น Trading Company จริงๆ เรายังขาดอยู่ พวกนี้เป็นตัวที่จำเป็นจะต้องเสริม ซึ่งเราคิดว่าเราไม่เคยทำหรือทำไม่มากพอ จะมีเฉพาะบริษัทใหญ่บางบริษัทที่ทำได้ แต่เรื่องพวกนี้ สามารถสร้างกันได้ เราคิดว่าแผนระยะยาวเราต้องมองเป้าให้ชัดก่อนแล้วเราเดินไปในทางนี้ เราสามารถจะเดินไปได้ต้องทำคู่กันระหว่างการแก้ปัญหาเฉพาะหน้ากับมองทิศทางระยะยาวว่าเมื่อโลกนี้มีการกีดกันการค้ามากขึ้น เราจะส่งออกนำเข้าเพียงอย่างเดียวจะไม่ได้แล้ว เราจำเป็นต้องใช้ประโยชน์ในทุกประเทศให้เกิดประโยชน์กับประเทศไทยให้มากที่สุด อันนั้นเป็นเป้าที่เราควรทำ

 

พอพูดถึงปัญหาเฉพาะหน้าอย่างกรณีของภาษีตอบโต้ ซึ่งมีความไม่แน่นอน ไม่ชัดเจนมากๆ วันหนึ่งกลับไปกลับมาหลายอย่าง อีก 2 วันก็แบบหนึ่ง วันหนึ่งก็แบบหนึ่ง อย่างเช่นล่าสุดเลยศาลการค้าอเมริกาเขาออกมาตัดสินให้ระงับภาษีของทรัมป์ แต่อีกวันหนึ่งก็บอกว่ามีการยื่นอุทธรณ์แล้วบอกว่าใช้ภาษีต่อไปได้ มองว่าความไม่แน่นอนจะจบไปในทางบวกหรือทางลบมากกว่ากัน ซึ่งก็ใกล้ครบ 90 วันเข้าไปทุกทีแล้ว

           

ตั้งแต่วันที่ 5 แล้ววันที่ 9 เมษายนที่มีการประกาศออกมา ตั้งแต่วันนั้นเราคาดแล้วว่าจะมีการเจรจา ซึ่งจริงๆ แล้วเราไม่ได้คิดว่าตัวเลขแรกที่สหรัฐอเมริกาประกาศแล้วจะเป็นแบบนั้น เพราะจะทำให้เกิดความได้เปรียบหรือเสียเปรียบ สิ่งที่เราคาดคือจะมีการเจรจาแล้วก็มีการสลับสับเปลี่ยนเรื่องของนโยบาย มีการเพิ่มเติมสิ่งต่างๆ เข้ามาอยู่เรื่อยๆ ดังนั้นสิ่งที่เราคิดคือในช่วง 4 ปีของท่านประธานาธิบดีทรัมป์จะยังมีความไม่แน่นอนเกิดขึ้นอีกมาก คือตอนนี้เราคุยกันเรื่องของภาษี แต่ว่าในความจริงอเมริกาไม่ได้เดินเกมเพียงแค่ภาษีด้านเดียว เขายังมีการประกาศอย่างเช่นการแบนการใช้เรือที่ต่อในอู่ต่อเรือของประเทศจีน ซึ่งในอุตสาหกรรมการขนส่งใช้เรือที่ต่อในจีนเยอะมาก มาร์เก็ตแชร์ของอู่ต่อเรือในจีน มากถึง 50% ของโลก เขามีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียม ซึ่งค่าธรรมเนียมของการเรียกเก็บจากเรือจีนและใส่ในเรือจีนเราเคยประมาณการว่าต่อตู้คอนเทนเนอร์ที่ส่งไป ไม่ได้สนใจปริมาณและมูลค่าของสินค้า แต่ต่อตู้ต้นทุนจะขึ้นมาเริ่มต้นอยู่ที่ประมาณ 150-200 เหรียญสหรัฐต่อตู้ แล้วก็อาจจะขึ้นไปอีกในช่วง 2-3 ปี ขึ้นไปได้ถึงประมาณหลัก 1,000 เหรียญต่อตู้ ซึ่งอันนี้เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างสำหรับผู้ส่งออก ที่สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย เราคาดการณ์ไว้ว่าจะมีความไม่แน่นอน ไม่ได้จบเพียงแค่ Tariff และตัวเราก็ไม่เชื่อว่า Tariff จะจบในส่วนของตัวเลขแรกที่มีการประกาศออกมาเพียงเท่านั้น จะต้องมีตัวอื่นๆ ที่จะตามมา

           

สิ่งที่เราต้องกังวลที่สุดคือเราเจรจาได้ผลดีขึ้นหรือแย่ลงเมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่ง เพราะการที่เราเจรจาได้ตั้ง 10% แต่ถ้าคู่แข่งเกิดเจรจาแล้วดีกว่า Offer สิ่งที่เหนือกว่า แล้วได้ภาษีเป็น 0% นั่นหมายความว่าเราจะยังเสียเปรียบอยู่ดี ดังนั้น เรามองว่าเรื่องนี้มีความเสี่ยง ทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับระยะสั้นคือการหาตลาดอื่น ส่วนที่เป็นตลาดสหรัฐต้องเจรจาให้ดีที่สุด แต่ผู้ส่งออกต้องยอมรับว่าไม่สามารถหลีกเลี่ยงความเสี่ยงอันนี้และความไม่แน่นอนอันนี้ไปได้ สังเกตได้เลยว่าแค่ช่วง 1 เดือน ตัวเลขและผลกระทบที่เกิดในแต่ละอุตสาหกรรมต่างกันมาก ยกตัวอย่างเช่นยางพาราจากที่ส่งไม่ได้เลย แต่พอจีนเริ่มส่งได้ก็ซื้อยางพาราจากเรามากขึ้น ตัวเลขก็ตรงกันข้ามในช่วง 1 เดือน

           

เราคาดการณ์ไว้ว่าหลังจากครบ 90 วัน ครึ่งปีหลังถ้าตัวเลขไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลง ยอดส่งออกจากไทยที่ไปสหรัฐอเมริกาอาจจะมีการชะลอ แต่ไม่ใช่แค่นั้น บางอุตสาหกรรมที่ไม่ได้ส่งไปอเมริกาก็พบปัญหาว่าสินค้าของเขาที่ส่งไปตลาดโลกแห่งอื่นต้องเจอภาวะการแข่งขันด้านราคาจากสินค้าของคู่แข่งเราที่เข้าไปตลาดอื่นเช่นเดียวกันสูงมาก เพราะเขาไม่มีทางเลือกในการที่ต้องส่งของไปให้มากที่สุดเพื่อไม่ให้โรงงานสต๊อกล้นหรือว่าไม่สามารถผลิตต่อได้ ก็จะมีผลกระทบไปทั่วโลก

           

ดังนั้นสิ่งที่เราต้องตามจริงๆ คือสถานการณ์ในช่วงครึ่งปีหลังว่าเมื่อพ้น Pending 90 วันแล้วเราจะได้ตัวเลขที่เท่าไหร่ คนอื่นได้เท่าไหร่ ตอนนั้นถึงจะมาบอกได้ว่าสิ่งที่เราคาดว่าครึ่งปีหลังจะยากลำบากจะเป็นตามนั้นจริงหรือไม่ แต่ช่วงนี้จะบอกว่าเป็นช่วงที่ไม่แน่นอน เราอาจจะรับทราบแต่ไม่ควรเก็บมาเป็นอารมณ์

 

มีการคาดกันว่าการส่งออกครึ่งปีหลังจะถึงขั้นติดลบเลย เป็นไปได้มากแค่ไหน

           

ถามว่าติดลบเลยไหม ถ้าจะติดลบจะเกิดขึ้นในตลาดอเมริกาเป็นหลัก แต่ตลาดอื่นเรายังเชื่อว่ายังพอไปได้อยู่ เพราะผู้ส่งออกบางบริษัทที่เป็นสมาชิกของสภาก็แจ้งเหมือนกันว่าเขาก็ไม่ได้ส่งออกไปอเมริกาเลย ดังนั้น เขาก็ยังมีตลาดอื่นที่สามารถจะไปได้อยู่ เพียงแต่จะติดลบไหม ซึ่งเรายังคาดว่าไม่ติดลบ เป็นไปได้ไหมที่จะทรงตัวเมื่อเทียบกับปีแล้ว ก็เป็นไปได้ เราอยากมองโลกที่ไม่ได้ Pessimistic เกินไป คือไม่ได้มองโลกว่าจะยากที่สุด เพราะอเมริกาต่อให้มียอดส่งออก 19.5% ใน 4 เดือนแรก แต่เราก็ยังมี 80% ที่เหลือที่เรายังสามารถทำการค้าด้วยได้ ถึงได้เป็นข้อเสนอของเราเลยว่าเราต้องอัดงบประมาณในการบุกตลาดอื่นให้มากขึ้น เพื่อให้เราสามารถเอา 19.5% ใน 4 เดือนแรกกระจายไปให้มากที่สุด แล้วก็ลดผลเสียในช่วงครึ่งปีหลังให้มีน้อยที่สุด

 

นอกจากผลเรื่องของ Tariff ที่จะต้องมีแน่นอน ก็ยังมีปัญหาอื่นอย่างเช่นเรื่องของค่าระวางเรือที่แพงขึ้น

           

ตอนนี้ยังไม่ได้เรียกเก็บ จะเรียกเก็บประมาณช่วงต้นเดือนตุลาคม แต่เป็นสัญญาณได้เลยว่าทั้งเรื่องของ Tariff หรือต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากภาษี แล้วก็เรื่องต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากค่าขนส่งจะเป็นตัวที่ทำให้ผู้นำเข้าของอเมริกากดดันผู้ส่งออกไทยเราเพิ่มขึ้น ผมถึงบอกว่าเราจำเป็นต้องหาตลาดใหม่จริงๆ แล้ว

 

ค่าเงินก็มีความสำคัญเช่นเดียวกัน เงินบาทตอนนี้ก็แข็งค่าด้วย

           

พออยู่ที่ประมาณ 32.5 ก็เริ่มมีผลกระทบแล้ว เพราะก่อนหน้านี้ผู้ส่งออกเราก็ยังพอจะเอาอัตราแลกเปลี่ยนระดับประมาณ 33 กว่าๆ มาเป็นตัวช่วยในเรื่องต้นทุนภายในประเทศอื่นๆ แต่พอสถานการณ์ของค่าเงินอยู่ในเกณฑ์นี้จะทำให้เรามีมาร์จิ้นในการที่จะแปลงเป็นเงินบาทกลับมาเพื่ออุดรอยรั่ว อุดต้นทุนอื่นๆ ได้ยากขึ้น แต่การจะขอให้ช่วยในเรื่องของการพยุงค่าเงินคงเป็นไปได้ยาก เพราะเกิดจากความผันผวนของดอลลาร์ และเรื่องของการส่งออกทองคำ การทุ่มไปในตลาดทองคำ ดังนั้น สิ่งที่เราอยากจะขออาจจะเป็นเรื่องของการหาวิธีการในการช่วยให้ผู้ประกอบการทั้งขนาดใหญ่ ขนาดกลาง ขนาดเล็ก สามารถที่จะเข้าถึงบริการป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนของธนาคารพาณิชย์หรือธนาคารของรัฐให้ได้มากขึ้น อันนี้จะเป็นตัวที่ช่วยว่าอย่างน้อยให้เขาสามารถจะฟิกซ์เรตระดับที่เหมาะสมและเขาไม่ขาดทุนไปมากกว่านี้ จะเป็นตัวบรรเทาปัญหานี้ลงไปได้

Comments


bottom of page