top of page
312345.jpg

หุ้นไทยเจอปัจจัยเสี่ยงเพียบ...เน้นถือเงินสด ตราสารหนี้ ทองคำ


สัมภาษณ์ : คุณสมบัติ นราวุฒิชัย

เลขาธิการ สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน (IAA)



แนวโน้มการลงทุนในหุ้นไทยยังอ่วมอรทัย ปัจจัยบวกน้อยนิด ปัจจัยลบยุ่บยั่บ น่าห่วงสุดคือการเมืองในประเทศ ตามมาด้วยปัญหาการเมือง ตปท. Fund Flow จาก ตปท.เหือดแห้ง ผลประกอบการ บจ.-เศรษฐกิจโลกย่ำแย่ กำไรจากการลงทุนเติบโตติดลบ 37% แนะ...อยู่ให้เป็น เน้นถือเงินสด ตราสารหนี้ ทองคำ ส่วนหุ้นเด่น-เล่นได้มี ADVANC, BDMS, CPALL และ HANA ด้านหุ้นแบงก์ยังเป็นขาลง รอลุ้นฟื้นตัวระยะยาว ฟากหุ้นที่ควรไกลห่าง-น่าห่วงมีหุ้นท่องเที่ยว อสังหาฯ พร้อมแนะ ลงทุนจังหวะนี้ อย่ายึดหลักวัดดวง-หวังรวยเร็ว ต้องรู้จักยับยั้งชั่งใจ เผื่อเหลือเผื่อขาด โดยเฉพาะหุ้นกู้ผลตอบแทนสูงต้องระวังเป็นพิเศษ

บรรยากาศการลงทุน 9 เดือนแรกของปี 2563 การลงทุนเป็นอย่างไร

เรียกว่าน่วมเลย เพราะปีนี้หนักมากๆ และพอมาถึง Q4 แล้ว ผลสำรวจของสมาคมสมาชิก นักวิเคราะห์ทั้ง Fund Manager กว่า 20 สำนัก ยังวิตกกังวลอยู่ มีการตั้งคำถามตรวจเช็กไปว่าใช้สมุติฐานหลักๆ อะไร เรื่องหลักๆ ที่ถามไปเช่นคิดอย่างไรกับจีดีพี ค่าเฉลี่ยออกมาใช้ตัวเลขที่ลบ 7.8 กัน ก็ไม่ได้น้อยแต่ไม่ได้สูงโด่ง ดูแล้วเข้าเค้าทีเดียว ปีหน้าที่คิดว่าจะฟื้นก็เหมือนฟื้นครึ่งเดียว 3.9% เรื่องน้ำมันไม่มีอะไรใช้เลขเดิม 40 เหรียญกว่าๆ เพราะมีหุ้นพลังงานอยู่เยอะในบ้านเรา

ถามต่อว่าปัจจัยบวกลบมองอย่างไรข้อบวกนับง่ายมีแค่ 2 อัน ข้อลบต้องนับนิดนึงเพราะมี 7 รายการ

ข้อบวกที่เป็นปัจจัยบวกตอนนี้ก็จะมีเรื่องของ QE ทั่วโลกเทคะแนนมา 68% ของผู้ตอบ ดอกเบี้ยของอเมริกาซึ่งยืนพื้นต่ำอยู่เทคะแนนเกินครึ่ง 55% ของผู้ตอบทั้งหมด 100%

ส่วนข้อลบเยอะเลย เต็งหนึ่งพอเดาได้คือการเมืองในประเทศไทย 100% ของผู้ตอบชี้ข้อนี้หมด รองลงมาคือปัจจัยการเมืองต่างประเทศ เข้าใจว่าเรื่องทรัมป์ที่มีการแข่งขันเลือกตั้งประธานาธิบดีอยู่ด้วย ถัดมาอันดับ 3 ข้อลบ คือโควิด 68% เท่าๆ กับเศรษฐกิจไทย Fund Flow เข้าประเทศไทยมองเป็นลบ คือไหลออก เป็นคำตอบ 68% ของผู้ตอบ ตามหลังมาอีก 2 ข้อคือผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนกับเศรษฐกิจโลก อย่างละ 59% ของผู้ตอบ

ทีนี้ก็ถามเขาว่าถ้าอย่างนั้นคำว่ากำไรของทั้งตลาดโดยเฉลี่ยพยากรณ์อยู่ตรงไหน ตัวเลขก็ลดลงมาอีก คราวที่แล้วสำรวจได้ 65 บาท ตอนนี้เหลือ 57 บาท ไหลตามสภาพที่เขาเห็นกัน ถ้าพูดกันประสาชาวบ้านคือเปอร์เซ็นต์เติบโตติดลบ 37% ส่วนคำถามว่าดัชนีหุ้นไทยไตรมาส 4 ไทยจะเหวี่ยงอย่างไรบ้าง ค่าต่ำสุดเฉลี่ยกันได้ 1,198 หรือ 1,200 ทอน 2 บาท ค่าสูงสุดที่จะเหวี่ยงขึ้นคือ 1,347 ดัชนีสิ้นปีตัวเลขพยากรณ์ตรงกับเลขกลมพอดีที่ 1,300 คือค่าทุกสำนักมาเฉลี่ยกัน ถือว่ายังมีแรงหวั่นไหวอยู่บ้าง ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้วทายถูกจริงช่วงธันวาคมตะกายกลับมาได้

ต่อมาคือคำแนะนำผู้ลงทุนปีนี้ คำถามของเรามีให้เขาแสดงความเห็นกลับมา ซึ่งคำตอบเห็นว่ามีหลักทรัพย์ประเภทอื่นนอกเหนือจากหุ้นแนะนำกันมาสม่ำเสมอ ตัวเลขตอนนี้ Q4 แนะนำเป็นเงินสดและเงินฝากอยู่ค่อนข้างเยอะคือ 20% ถัดไปเป็นตราสารหนี้เสมือนเป็นเงินสดเหมือนกันเพราะถอนวันเดียวได้เงิน

ส่วนที่เหลือประกอบด้วย แนะนำลงทุนหุ้นไทย 21% แบ่งไปกองหุ้นต่างประเทศ 20% และกองของ Lead 10% และปีนี้ที่แนะนำคือทองคำ เพิ่มขึ้นจาก 9% เป็น 10% ค่อยๆ งอกมา อันนี้เป็นหลักๆ ที่แนะนำ

คำถามคล้ายๆ ที่ถามกันว่าส่วนที่เป็นหุ้นที่ดูดีและไม่ดีมีอะไรบ้าง ที่ดูดีเราบอกชื่อ ดูไม่ดีขออนุญาตไม่พูดชื่อตรงๆ ของที่เขาเห็นว่าธุรกิจน่าจะดีมี 4 บริษัท 2 ตัวที่แนะนำบ่อยๆ คือ ADVANC ที่ทุกคนเป็นลูกค้าอยู่ค่อนข้างมาก มองว่าธุรกิจที่มีความต้องการใช้สูงในยุค New Normal แบบนี้ ปันผลดี ฐานะแกร่ง ตัวที่ 2 เรียงตามอักษรไม่ใช่เรียงเต็งหนึ่งก็โรงพยาบาลกรุงเทพ BDMS เขามองว่ารายได้จากลูกค้าภายในประเทศเริ่มฟื้นตัวดีขึ้น คนกล้าไปโรงพยาบาล หรือป่วย ไม่ไหวแล้ว ต้องไปตรวจ ขณะที่มองยาวๆ มองว่าอนาคตตอนนี้เริ่มมีคนมองไปถึงขั้นตอนโควิด เริ่มซา มีวัคซีนปีหน้า ถึงตอนนั้นมองว่าลูกค้าต่างประเทศจะกลับมาดีขึ้นกว่าเดิม ส่วนตัวที่ 3 มอง CPALL ตัวนี้มาบ่อยๆ มองว่าหลังโควิดไปจะกลับมาเติบโตได้ดี รวมทั้งยังมีการขยายฐานไปลงทุนประเทศข้างๆ อย่างลาว กัมพูชา ตัวที่ 4 ตัวเด่นของเขาเป็นหุ้น HANA ที่มองการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศจีน การกลับมาผลิตในจีน รวมทั้งค่าเงินบาทมีอาการอ่อนค่าให้เห็นบ้าง

ทีนี้หุ้นไม่เด่นควรหลีกเลี่ยงสรุปเป็นหมวด โรงแรม สายการบิน ทุกคนยังเป็นห่วงภาคท่องเที่ยวอยู่ค่อนข้างมาก อันนี้เป็นคำถามหลักที่สรุปได้

ที่ถามกันตอนนั้นยังไม่มีเรื่องประธานาธิบดีทรัมป์ที่ติดโควิด ในมุมนี้มองอย่างไร

น่าจะเป็นเรื่องใหญ่ จุดตัดสินและตัวแปรของการเลือกตั้งประธานาธิบดีเป็นเรื่องใหญ่มาก เหมือนเขาจะให้น้ำหนักอยู่อันดับแรกๆ ในการจับตามองการที่ทรัมป์ป่วย

จุดสำคัญที่ผมเติมเองที่มองคือ จริงๆ ทรัมป์มีคนชอบ และไม่ชอบแต่นโยบายหลายอย่างทำให้สภาพเศรษฐกิจเขาดูแข็งแรง เพียงแต่ช่วงหลังอาจดูโชคร้ายหน่อยมาเจอโควิดเกิดขึ้นในยุคนี้ ขณะที่คู่แข่งขันคือไบเดนเข้าใจว่ามีตัวแปรหลายอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งอยากจะกลับมาขึ้นภาษีเงินได้นิติบุคคล อันนี้จะวุ่นเหมือนกัน คนทั้งโลกจับตาว่าถ้าเล่นอย่างนั้นหุ้นสหรัฐจะได้รับผลกระทบค่อนข้างพอสมควร แต่เนื่องจากเราแนะนำการลงทุนหลายอย่าง คิดว่าทองคำยังมีลุ้นทันที ปกติทองคำจะดีอยู่แล้วในภาพเศรษฐกิจที่ไม่ดีซึ่งอันนี้ทักง่าย เศรษฐกิจตอนนี้ทั้งโลกดูไม่ดี ปีหน้าฟื้นแล้วก็ไม่ได้ดีมาก และยิ่งตลาดหุ้นสหรัฐเกิดระส่ำระสายขึ้นมาบ้าง ทองคำก็บอกขอสลับขึ้นมาแทน ก็แนะนำผู้ลงทุนว่าแม้ทองจะเป็นของเสี่ยง แต่ด้วยสภาพการณ์ทั้งหมดนักวิเคราะห์การลงทุนเห็นว่าพอร์ตเรา 100% คุณต้องมีทองบ้าง เพื่อเป็นตัวป้องกันกับความไม่แน่นอนหลายอย่าง สร้างโอกาสในการที่ได้ดอกออกผลมาบ้าง

แล้วแต่ว่าจะเป็นทองในตลาดไหนใช่ไหม

ลงทุนได้หลายรูป รูปแบบนึงคือลงทุนเป็นกองทุนทองคำก็ได้ สมาชิกเราก็มีหลายบริษัทที่ขายกองทุนทองคำ ส่วนทองแท่งอันนี้มีส่วนต่างซื้อกับขาย ส่วนต่างไม่เยอะ ถ้าทองรูปพรรณก็จะเหนื่อยหน่อยเพราะส่วนต่างในการซื้อกับขายในนาทีเดียวกันกว้าง มีค่ากำเหน็จอีกต่างหาก ตลาดล่วงหน้าก็มีบริการในการทำนายราคาทองคำ มีตลาดล่วงหน้าทองคำให้ทายกันให้ลงทุน

แล้วกลุ่มแบงก์เป็นอย่างไร เพราะเป็นอาหารจานใหญ่ของตลาด

จากคำแนะนำ กลุ่มแบงก์ไม่เด่นมาก สถานการณ์อยู่กลางๆ มีข้อดีและข้อกังวลปนอยู่ในตัว จริงๆ แล้วช่วงนี้ทุกคนจับตามองว่าผลกระทบจากสภาพเศรษฐกิจต่อแบงก์จะกระทบอย่างไร และสถานการณ์ราคาหุ้นแบงก์เหน็ดเหนื่อยมานาน แต่ถ้ามองยาวคิดว่าคนจะเห็นความจำเป็นของธุรกิจธนาคารในประเทศไทย ระยะยาวคงผ่านไปได้โดยที่ไม่ระส่ำระสายจาก NPL ถ้า NPL ขยับขึ้นในระดับนึงซึ่งไม่หนัก หุ้นแบงก์ก็จะกลับมาได้ในระยะยาว ตอนนี้คิดว่า พีอีต่ำเป็นพิเศษ รวมถึงราคาหุ้น (มูลค่าทางบัญชีต้องไปวิเคราะห์ต่อ) ในวันข้างหน้าว่าต้องสำรองสภาพลูกหนี้ต่างๆ อะไรบ้าง

ช่วยวิเคราะห์ 2 ประเด็น เรื่องแรกคือมองการเมืองไทยอย่างไร เรื่องที่สองต่างชาติยังขายหุ้นอยู่ เมื่อไหร่จะกลับมา

การเมืองไทยที่เราสำรวจเราไม่ได้เจาะละเอียดมาก แต่สังเกตทุกสำนักยกประเด็นลบมาจากการเมืองของไทยจาก 100% ของผู้ตอบ แสดงว่าเรื่องนี้มีผลมากที่เขามองกัน คำอธิบายเพิ่มไปกว่านั้นก็คือการเมืองมีผลกับ 2 อย่าง เรื่องแรกคือสภาพเศรษฐกิจในอนาคตรวมถึงการบริหารจัดการด้วย ถ้าภาพดีเศรษฐกิจก็จะดีแปลว่าบริษัทจดทะเบียนจะกำไรดีขึ้น เรื่องนี้เรื่องใหญ่ไม่ใช่ไม่เกี่ยวกับหุ้น เรื่องที่สองคือความรู้สึกของผู้ลงทุน อะไรที่ดูแล้วเสี่ยงผู้ลงทุนย่อมหวั่นไหว ถ้าเป็นโมเดลทางการเงินต้องบวกค่าชดเชยความเสี่ยงที่ต้องบวกจากอะไรก็ตาม อยู่ดีๆ หุ้นต้องตกก่อน มันเป็นการสะท้อนที่เหมาะสม ทำนายยากว่าเมื่อไหร่จะดีเพราะดูแล้วความขัดแย้งทางความคิดค่อนข้างต้องใช้เวลาเยอะ บอกได้แค่ว่านักลงทุนหรือนักวิเคราะห์คงห่วงหน่อย

ส่วนเรื่องนักลงทุนต่างประเทศที่จะมาลงทุนบ้านเราขึ้นอยู่กับหลายประการ เขาเห็นว่าเศรษฐกิจประเทศไหนดีเงินก็อยากจะมา อันนี้ดูไม่ดีแล้ว ปีนี้ GDP เราติดลบหนักเป็นพิเศษเมื่อเทียบกับที่อื่น ถ้าฟื้นก็ยังไม่มั่นใจว่าเศรษฐกิจจะฟื้นมาได้เยอะ ทุกสำนักบอกว่ากว่าจะฟื้นมาที่เดิมต้องใช้เวลาประมาณ 2-3 ปี ก็คงลำบากเหมือนกันที่จะดึงดูดให้เงินต่างประเทศเข้ามา ก็ต้องช่วยๆ ทำให้เศรษฐกิจดี ช่วยบริหารจัดการ

ตั้งแต่ดูแลเรื่องการวิเคราะห์ เคยเห็นบจ.กำไรตกต่ำมากกว่า 37% ไหม

ต้องเป็นช่วงวิกฤตเศรษฐกิจหนักๆ อย่างปี 2540-2541 ก็คงใช่แน่ นานๆ จะเกิดครั้งนึง

แบบการบินไทยอยู่ๆ บินไม่ขึ้น จะมีหุ้นอื่นเป็นแบบนี้อีกไหม

มีไม่มาก ส่วนมากจะมาหนักที่เกี่ยวโยงกับการท่องเที่ยว อันนี้จะเหนื่อยพิเศษ เป็นภาคที่เหนื่อยพอสมควร เท่าที่ตามดูภาคอสังหาริมทรัพย์ก็เหนื่อยอยู่เยอะ ผู้ประกอบการหลายที่ใช้วิธีพยายามกักตุนสภาพคล่องทางการเงินไว้ก่อนหรือการขายอสังหาฯ ก็ต้องมีลดเยอะแถมหนักก็เป็นอีก sector ที่เหนื่อย

มองดูตัวเลขกลุ่มนักลงทุนตอนนี้ นักลงทุนทั่วไปเข้ามาลงทุนเยอะมากที่สุด มองแล้วน่าเป็นห่วงไหม

เทรนด์ผู้ลงทุนไทยที่ตามดูก็งอกปีต่อปี เห็นว่ามีคนรุ่นใหม่ที่มีความรู้และสนใจมาลงทุน ถ้าจะห่วงคืออาจจะขาดทุนบ้างในช่วงเศรษฐกิจแย่ๆ ซึ่งปีนี้ชัดเลย อันนี้เป็นจุดนึง ถ้าลงทุนระยะยาวหรือเขาไม่ได้วัดดวงรุนแรงเกินไป เช่นเล่น 100% หรือเอาเงินใครมาเล่นก็คงไม่หนัก ผู้ลงทุนลงทุนได้หลายวิธี พวกที่ลงทุนเหมือนออมเงินเล่นยาวๆ อันนี้เราไม่ค่อยห่วง เราก็ให้ปัจจัยพื้นฐาน ค่อยๆ อ่าน แต่กลุ่มที่วัดจังหวะหรือฝีมือการทายสั้นๆ อันนี้จะห่วงหน่อยนึง หลายท่านได้ไปเรียนรู้จากกลุ่มผู้แนะนำที่นอกเหนือจากนักวิเคราะห์ มีเยอะที่แนะนำเทคนิค 5 เด้ง 10 เด้ง ซึ่งมันไม่มีจริง สิ่งที่พยายามบอกคือมันไม่มีจริงหรอกสูตรง่ายๆ แล้วได้แน่ๆ และอย่าวัดดวงอย่างรุนแรงแบบนั้น

บรรดากองทุนต่างๆ ที่ไม่เกี่ยวกับทอง อย่างกองทุนอสังหาฯ ถือว่าเสี่ยงไหมที่จะไปลงทุนในช่วงนี้

ถ้าเป็นกองทุนอสังหาฯ พวก Lead ต่างๆ ถ้าไปซื้อจาก บลจ.สาขาธนาคาร กองกองนึงก็ลงไว้หลายกอง Lead มันเหมือนเป็นการกระจายหลายหลักทรัพย์ และถ้ามีผู้จัดการกองทุนก็ต้องมีหน้าที่ทำการบ้านให้เรา ก็พยายามดูข้อมูลประกอบและเลือกให้เราดีที่สุด ถ้าอย่างนี้ยังดี แต่ถ้าเลือกกันเองเต็มตัวอันนี้ก็จะเหนื่อยนิดนึง การซื้อหุ้นหรือซื้อ Lead จิ้มเป็นตัวๆ อันนี้หลักทรัพย์เดียวก็จะเสี่ยงขึ้น ประกอบกับการเลือกของเราไม่รู้ว่ามีผู้ที่ทำการบ้านเชิงปัจจัยพื้นฐานอย่างละเอียดหรือไม่ ถ้ามีสำนักวิเคราะห์ช่วยดูให้ก็ยังดี เขาทำการบ้านหนักให้เรา ถ้าจะเลือกอะไรก็แนะนำว่าอ่านบทวิจัยก่อน สมาคมจัดให้ดูฟรีอยู่ เราเขียนอยู่หลายกอง Lead เหมือนกัน แนะนำเข้า setpage.com หรือพิมพ์ใน google น่าจะจะเจอ IAA : Investment Analysts Association ก็เข้าไปดูได้ เราเขียนบทวิเคราะห์ให้อ่านอยู่หลายกอง แต่ไม่ได้ครบ

นักลงทุนที่ลงทุนไปแล้วก่อนหน้านี้ในยามเศรษฐกิจดี ถึงตรงนี้เหมือนกอดลูกระเบิดหลายลูก ลูกแรกคือคนเอาเงินไปฝากสหกรณ์เครดิตออมทรัพย์ทั้งหลาย ช่วงเศรษฐกิจดีลงทุนเยอะแล้วไปเจอหุ้นกู้ก็เกิดเรื่องขึ้นมา ระเบิดลูกที่สองคือมีการออกกอง Lead เยอะมาก คนเหลือเงินเยอะไม่รู้ทำอะไรก็ซื้อกองต่างๆ ตอนนี้กอง Lead ท่าทางไม่ค่อยดี ถึงตรงนี้เป็นห่วงไหม

อย่างกอง Lead มีจำนวนมากหลายสิบกอง ส่วนใหญ่เป็นกองที่ผลการดำเนินงานที่ดี แต่มีบางกองซึ่งเข้ามานานแล้ว มีเปอร์เซ็นต์เหมือนกันที่ผลงานไม่ค่อยดี แต่ส่วนใหญ่ถ้าพึ่งพิงฟังจากนักวิเคราะห์หน่อยก็จะช่วยลดความเสี่ยงลงไปได้ แต่ไม่ว่าจะเป็นหุ้นหรือกอง Lead ถึงจะมีสำนักวิเคราะห์แนะนำแล้วก็ยังบอกไม่ได้ชัวร์ 100% เพราะหลักทรัพย์หรือหุ้นเป็นของเสี่ยงในยามเศรษฐกิจไม่ดีอย่างปีนี้ ไม่มีใครทายล่วงหน้าว่าจะมีโควิดมาเยือน อันนี้หนีไม่พ้นว่าเศรษฐกิจจะแย่ หุ้น และ Lead ราคาจะตกลงมา อันนี้เกิดขึ้นได้เป็นธรรมชาติแม้จะมีบทวิเคราะห์ก่อนหน้านี้ก็ตาม แต่ถ้าเราได้เรียนรู้เรื่องความเสี่ยงเราก็จะลงทุนแบบยับยั้งชั่งใจเผื่อเหลือเผื่อขาด เรามี 100 ไม่ลงทั้ง 100 เหมือนกับที่เขาแนะนำกันอยู่ตอนนี้ ต้องถือเงินสด 20 หุ้นไทย 20 คือถ้าลงทุนในแนวพอสมควรก็จะไม่เจอปัญหามากในยามที่ของมันตก ถ้าดีจริงเรายังมีเงินไปทยอยซื้อของดีราคาถูก ปีหน้าเศรษฐกิจฟื้นครึ่งทาง สมมติหุ้นฟื้นมาเท่าๆ กัน เคยตกมา 500 จุด ไปครึ่งทางก็ 250 จุด ก็จะคืนทุนในครึ่งทางก็ได้ หลักลงทุนก็จะเป็นแบบนี้

อย่างหุ้นกู้ตอนนี้ออกกันเยอะ มีความปลอดภัยไหม

อันนี้ต้องดูสภาพของบริษัทผู้ออกด้วย แล้วในท้องตลาดกลไกราคามันทำงานอยู่ ถ้าบริษัทไหนฐานะดี เหนียวแน่น ดูท่าทางปัญหาน้อย เครดิตเรตติ้งดูสวยงามเขาจะให้ดอกน้อย แต่ถ้าบริษัทไหนเรตติ้งต่ำกว่าดอกเบี้ยก็จะแพงขึ้น เวลาเจอให้ดอกเบี้ยสูงๆ อย่าเพิ่งดีใจทันที ต้องพิจารณาด้วยเพราะกลไกราคาทำงาน แสดงว่ามันมีอะไรน่าสงสัยถึงจ่ายได้หนักขนาดนั้น ก็ต้องบอกนักลงทุนว่าโมเดลเป็นแบบนี้ ถ้าลงทุนอะไรที่ให้ดอกเยอะก็ควรต้องอ่านนิดนึงหรือสอบถามผู้รู้ด้วย

23 views
bottom of page