เศรษฐกิจจีน กดดันตลาดหุ้นเอเชีย
- Dokbia Online

- 12 hours ago
- 1 min read

ตลาดหุ้นเอเชียยังคงเปราะบางและผันผวน โดยมีแรงกดดันจากแนวโน้มเศรษฐกิจจีนเป็นหลัก แม้ว่าล่าสุดจะมีปัจจัยหนุนสั้น หลังสำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) รายงานว่าอัตราว่างงานในเขตเมืองลดลงแตะระดับ 5.2% ในเดือน ก.ย. 68 จากระดับ 5.3% ในเดือน ส.ค. 68 ส่วนในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปีนี้ อัตราว่างงานในเขตเมืองอยู่ที่ระดับ 5.2% โดยเฉลี่ย ซึ่งบ่งชี้ว่าโดยรวมแล้วตลาดแรงงานของจีนยังคงมีเสถียรภาพ อย่างไรก็ดีจีนยังคงเผชิญกับความท้าทายเชิงโครงสร้างในการจ้างงานค่อนข้างเด่นชัดท่ามกลางความไม่แน่นอนและภาวะไร้เสถียรภาพที่เพิ่มขึ้นในต่างประเทศ ด้วยเหตุนี้จีนจะเร่งใช้นโยบายส่งเสริมการจ้างงาน เพื่อช่วยรักษาเสถียรภาพในตลาดงาน ประกอบกับยอดค้าปลีกปรับตัวขึ้น 3% ในเดือน ก.ย. 68 เมื่อเทียบเป็นรายปีซึ่งแม้สอดคล้องกับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์แต่ชะลอลงจากเดือน ส.ค. 68 ที่มีการขยายตัว 3.4% ส่วนการลงทุนในสินทรัพย์ถาวร ลดลง 0.5% ในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.1% เนื่องจากการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและในด้านการผลิตชะลอตัวลง ขณะที่การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ร่วงลง 13.9% ในช่วง 9 เดือนแรก หลังจากที่ลดลง 12.9% ในช่วง 8 เดือนแรกของปีนี้
นอกจากนี้ สำนักงานสถิติจีนเปิดเผยว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ในไตรมาส 3/2568 ขยายตัว 4.8% เมื่อเทียบเป็นรายปีซึ่งเป็นอัตราการขยายตัวที่อ่อนแอที่สุดในรอบ 1 ปี และชะลอตัวลงจากไตรมาส 2 ที่มีการขยายตัว 5.2% โดยเศรษฐกิจจีนถูกกดดันวิกฤตการณ์ในภาคอสังหาริมทรัพย์และสงครามการค้ากับสหรัฐ ทางด้านธนาคารกลางจีน (PBOC) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้าชั้นดี (LPR) ประเภท 1 ปีเอาไว้ที่ระดับ 3.0% และคงอัตราดอกเบี้ย LPR ประเภท 5 ปีเอาไว้ที่ระดับ 3.5% ในวันนี้ ซึ่งสอดคล้องกับการคาดการณ์ของตลาด ทั้งนี้อัตราดอกเบี้ย LPR ประเภท 1 ปีเป็นอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงในการกำหนดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ระยะสั้น ส่วนอัตราดอกเบี้ย LPR ประเภท 5 ปีเป็นอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงในการกำหนดอัตราดอกเบี้ยระยะยาว เช่นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนอง ขณะที่ราคาบ้านจีนร่วงหนักในเดือน ก.ย. 68 แม้เมืองใหญ่ออกนโยบายฟื้นฟูภาคอสังหาฯ โดยที่ราคาบ้านใหม่ใน 70 เมืองของจีน ซึ่งไม่รวมที่อยู่อาศัยที่ได้รับการอุดหนุนจากรัฐบาล ปรับตัวลง 0.41% ในเดือน ก.ย. 68 เมื่อเทียบรายเดือน ซึ่งเป็นการลดลงมากที่สุดในรอบ 11 เดือน ส่วนราคาบ้านมือสองลดลง 0.64% ซึ่งเป็นการปรับตัวลงรุนแรงที่สุดในปีนี้ โดยที่ราคาบ้านในจีนปรับตัวลงแม้ว่าเมืองใหญ่หลายแห่งของจีนจะนำมาตรการฟื้นฟูตลาดอสังหาริมทรัพย์มาใช้ก็ตามโดยกรุงปักกิ่ง ซึ่งเป็นเมืองหลวงของจีน และนครเซี่ยงไฮ้ซึ่งเป็นศูนย์กลางทางการเงินของจีน ได้ประกาศผ่อนคลายกฎการซื้อบ้านในเดือน ส.ค. 68 โดยอนุญาตให้ผู้อยู่อาศัยที่มีคุณสมบัติเหมาะสมสามารถซื้ออสังหาริมทรัพย์ในเขตชานเมืองได้ไม่จำกัดจำนวนขณะที่เมืองเซินเจิ้น ซึ่งเป็นศูนย์กลางด้านเทคโนโลยีก็ได้ดำเนินมาตรการที่คล้ายกันตามมา
ทั้งนี้การชะลอตัวของตลาดอสังหาริมทรัพย์จีนที่ยืดเยื้อมานานถึง 4 ปียังคงเป็นปัจจัยฉุดรั้งเศรษฐกิจ นอกจากนี้ราคาบ้านที่ตกต่ำลงเป็นเวลานานกำลังขัดขวางผู้ซื้อบ้านซึ่งต่างก็มีความกังวลว่าอสังหาริมทรัพย์อาจจะไม่ใช่แหล่งการลงทุนที่จะเพิ่มความมั่งคั่งได้อีกต่อไป
นอกจากนี้สงครามการค้ากับสหรัฐ ส่งผลให้ยอดการส่งออกแม่เหล็กแร่หายากของจีนปรับตัวลดลงในเดือน ก.ย. 68 จุดชนวนความกังวลระลอกใหม่ว่า จีน ในฐานะซัพพลายเออร์รายใหญ่ที่สุดของโลกอาจใช้ความได้เปรียบด้านวัตถุดิบสำคัญนี้เป็นเครื่องมือต่อรองในการเจรจาการค้า โดยก่อนหน้านี้ในเดือน เม.ย. และพ.ค. 68 ซึ่งเป็นช่วงที่การเจรจาการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐกำลังตึงเครียดจากกำแพงภาษีที่พุ่งสูง รัฐบาลปักกิ่งได้เคยใช้มาตรการจำกัดการส่งออกสินค้ากลุ่มแร่หายากและแม่เหล็กที่เกี่ยวข้องเพื่อกดดันผู้ผลิตยานยนต์ทั่วโลก และล่าสุดทั้งสองฝ่ายกลับมาขู่ที่จะใช้มาตรการภาษีและจำกัดการส่งออกแร่หายากอีกครั้ง ทำให้เกิดความกังวลว่าจีนอาจกลับไปใช้กลยุทธ์เดิมซึ่งจะถือเป็นการผิดข้อตกลงผ่อนคลายการควบคุมแร่ธาตุสำคัญ ซึ่งจีนทำไว้กับสหรัฐเมื่อเดือน มิ.ย. 68
ข้อมูลจากกรมศุลกากรจีนเปิดเผยว่าปริมาณการส่งออกแม่เหล็กแร่หายากของจีนในเดือน ก.ย. 68 อยู่ที่ 5,774 ตัน ลดลง 6.1% จากระดับสูงสุดในรอบ 7 เดือนที่ 6,146 ตันในเดือน ส.ค. 68 นับเป็นการสิ้นสุดแนวโน้มขาขึ้นที่ดำเนินติดต่อกันมา 3 เดือน
มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมีผลน้อยมาก! นอกจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนกำลังกดดันตลาดหุ้นโลกและเอเชียแล้ว หลังข้อมูลยังชี้ให้เห็นว่า การขนส่งจากจีนไปยังสหรัฐ ในเดือน ก.ย. 68 ลดลงถึง 28.7% จากเดือนก่อนหน้า ขณะที่การส่งออกไปยังเวียดนามกลับเพิ่มขึ้น 57.5% ในช่วงเวลาเดียวกัน หลังรัฐบาลปักกิ่งยังไม่มีท่าทีว่าจะยอมอ่อนข้อโดยยืนกรานว่ามาตรการควบคุมการส่งออกใหม่ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ไม่กี่วันก่อนข้อตกลงพักรบทางภาษี 90 วันจะสิ้นสุดลงในวันที่ 10 พ.ย. 68 นั้น สอดคล้องกับมาตรการของประเทศอื่นๆ และแม้ว่าประธานาธิบดี สี จิ้นผิง จะมีกำหนดพบกับทรัมป์ที่เกาหลีใต้ปลายเดือนต.ค.นี้ แต่นักเศรษฐศาสตร์เตือนว่าความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสองมหาอำนาจอาจกลายเป็น "New Normal" ไปแล้ว
ในส่วนต่างๆ ของโลกก็มีปัญหาเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่นในฝั่งของยุโรป ล่าสุดสแตนดาร์ดแอนด์พัวร์ส (Standard & Poor’s-S&P) สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือระหว่างประเทศประกาศปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของฝรั่งเศสลงมาอยู่ที่ระดับ "A+/A-1" โดย S&P ระบุว่าอันดับความน่าเชื่อถือระยะยาวและระยะสั้นของฝรั่งเศสถูกปรับลดลงจาก "AA-/A-1+" ลงมาอยู่ที่ "A+/A-1" โดยให้เหตุผลว่าฐานะการคลังของประเทศยังคงมีความไม่แน่นอนสูงแม้ว่ารัฐบาลเพิ่งเสนอร่างงบประมาณปี 2569 ต่อรัฐสภาก็ตาม
ทั้งนี้ S&P ประเมินว่า การขาดดุลงบประมาณภาครัฐของฝรั่งเศสในปี 2568 จะอยู่ที่ราว 5.4% ของ GDP และคาดว่ากระบวนการปรับสมดุลงบประมาณอาจเป็นไปอย่างล่าช้ากว่าที่คาดไว้ก่อนหน้า ขณะเดียวกันเอสแอนด์พีคาดว่าหนี้สาธารณะรวมของรัฐบาลฝรั่งเศสจะเพิ่มขึ้นแตะระดับ 121% ของ GDP ภายในปี 2571 จากระดับ 112% ของ GDP เมื่อสิ้นปีที่ผ่านมา
นอกจากนี้หุ้นในกลุ่มพลังงานของโลกยังคงจะถูกกดดันต่อเนื่อง หลังชิตี้กรุ๊ป (Citigroup) ระบุว่าราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มปรับตัวลดลงแตะระดับ 50 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลหากสถานการณ์สงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครนเริ่มคลี่คลาย ทั้งนี้ปัจจัยสำคัญคือการลดความเสี่ยงจากการโจมตีของยูเครนต่อเครือข่ายโรงกลั่นน้ำมันของรัสเซียและการผ่อนคลายแรงกดดันทางการทูตต่อประเทศที่ต้องการซื้อน้ำมันจากรัสเซียซึ่งอาจเร่งให้ราคาน้ำมันเคลื่อนไหวเข้าสู่กรณีการคาดการณ์ในเชิงลบของซิตี้เร็วกว่าที่คาดไว้ โดยปัจจุบันราคาน้ำมันดิบเบรนท์ปรับตัวลงแล้วประมาณ 18% นับตั้งแต่ต้นปีโดยซื้อขายอยู่ใกล้ระดับ 61 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลเนื่องจากภาวะน้ำมันล้นตลาดเริ่มปรากฏให้เห็นชัดเจนมากขึ้น ขณะที่นักลงทุนกำลังจับตาการเจรจาระดับสูงที่สหรัฐกำลังผลักดันให้มีการหยุดยิงในยูเครนซึ่งหากเกิดความคืบหน้าอาจเปิดทางให้ชาติตะวันตกผ่อนคลายข้อจำกัดต่อภาคพลังงานของรัสเซียและยุติการโจมตีด้วยโดรนของยูเครนที่สร้างความเสียหายต่อโครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำมันของรัสเซีย
ในส่วนของตลาดหุ้นอาจมีปัจจัยหนุนสั้นจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล โดยเฉพาะโครงการ "คนละครึ่งพลัส" เฟส 2 และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในส่วนของการกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศรวมถึงการเร่งใช้จ่ายภาครัฐ ด้วยการสนับสนุนภาคการท่องเที่ยว ซึ่งอยู่ในเสาหลักที่ 1 ของ "Quick Big Win" ทั้งหมด 5 เสาหลักของนโยบายรัฐบาล โดยกระทรวงการคลัง ประเมินว่าจะมาช่วยเติมเต็มการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ (GDP) ในช่วงไตรมาส 4 ปีนี้ซึ่งแม้จะเป็นเม็ดเงินที่ลงไปหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจไม่มากนัก แต่สิ่งที่สำคัญคือจะช่วยสร้างบรรยากาศการท่องเที่ยวช่วงปลายปีให้กลับมาคึกคักมากขึ้น ขณะที่สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) คาดว่าจะช่วยกระตุ้น GDP ในไตรมาส 4 ปีนี้ให้เพิ่มขึ้นจากเดิมได้อีกราว 0.44-0.45% ซึ่งเมื่อรวมเบ็ดเสร็จทั้งหมดแล้วคาดว่าไตรมาส 4 ปีนี้ GDP จะขยายตัวได้ราว 1%เท่านั้น
ในส่วนของกลยุทธ์ สำหรับการลงทุนระยะสั้น (ไม่เกิน 1 สัปดาห์) เน้น “อ่อนตัวซื้อลงทุน” สำหรับการลงทุนระยะกลาง (1-3 เดือน) ในลักษณะ Long-Only แนะนำ “เพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้นไปที่ระดับ 75% ของพอร์ต”
ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่ความเห็นส่วนตัวของผมนะครับ โปรดใช้วิจารณญาณ และศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนการตัดสินใจลงทุนด้วยครับ สำหรับการพูดคุยกันระหว่างสัปดาห์นอกจากทาง Facebook ที่ www.facebook.com/hippowealththailandและ e-mail ที่hippowealththailand@gmail.comแล้ว แฟนๆ ยังสามารถติดตามมุมมองเกี่ยวกับการลงทุนจาก “นายหมูบิน” ได้ในรายการ “เซียนเศรษฐกิจ” ทาง FM 97.00 ทุกวันอาทิตย์ เวลา 14.00-16.00 น.เช่นเดิมครับ
ภาพประกอบ : การวิเคราะห์ทิศทางตลาดหุ้นไทยในทางเทคนิครายวัน(Daily)

Source: TQ





Comments