top of page
40_ดอกเบี้ยออนไลน์-603-x-230.jpg
image.png

ผู้นำใหม่ของญี่ปุ่น อาจสร้างความหวังใหม่หุ้นโลก


ree

เศรษฐกิจโลกภาพรวมยังไปได้! 


แนวโน้มในระยะสั้นทิศทางของตลาดหุ้นโลกยังคงได้รับปัจจัยหนุนจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาแอตแลนตา เปิดเผยว่าแบบจำลองคาดการณ์ GDPNow ล่าสุดแสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจสหรัฐมีการขยายตัว 3.8% ในไตรมาส 3 ปี 2568 หลังจากเศรษฐกิจหดตัว 0.5% ในไตรมาส 1 และขยายตัว 3.8% ในไตรมาส 2 แม้ว่าดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการของสหรัฐ จะปรับตัวลงสู่ระดับ 54.2 ในเดือน ก.ย. 68 จากระดับ 54.5 ในเดือน ส.ค. 68 อย่างไรก็ดี ดัชนี PMI ยังคงอยู่สูงกว่าระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้การขยายตัวในภาคบริการของสหรัฐ โดยเป็นการขยายตัวเป็นเดือนที่ 32 ติดต่อกัน โดยได้รับแรงหนุนจากความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้นในภาคธุรกิจ แม้ว่าการจ้างงานและคำสั่งซื้อใหม่ชะลอตัวลง และดัชนีภาคบริการของสหรัฐปรับตัวลงสู่ระดับ 50.0 ในเดือน ก.ย. 68 จากระดับ 52.0 ในเดือน ส.ค. 68 และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 51.7 โดยดัชนีภาคบริการถูกกดดันจากการชะลอตัวของการจ้างงานและคำสั่งซื้อใหม่ 


ทั้งนี้ดัชนีภาคบริการของ ISM ประกอบด้วยอุตสาหกรรม 17 กลุ่ม ซึ่งรวมถึงอสังหาริมทรัพย์ การขนส่ง การก่อสร้าง และเหมืองแร่ ขณะที่ในฝั่งยุโรปมี Momentum ทางเศรษฐกิจดีขึ้น โดยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นสุดท้ายของยูโรโซน ปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ 51.3 ในเดือน ก.ย. 68 จาก 50.5 ในเดือน ส.ค. 68 นับเป็นการขยายตัวต่อเนื่องเดือนที่ 4 และเติบโตในอัตราสูงสุดในรอบ 8 เดือน ทั้งนี้ ดัชนี PMI ที่ระดับสูงกว่า 50 บ่งชี้ว่ากิจกรรมทางธุรกิจอยู่ในภาวะขยายตัว ส่วนดัชนีที่ต่ำกว่า 50 บ่งชี้ว่าอยู่ในภาวะหดตัว โดยการฟื้นตัวครอบคลุมประเทศส่วนใหญ่ในยูโรโซน เยอรมนี อิตาลี และสเปน ต่างเติบโตในระดับปานกลาง ส่วนในฝรั่งเศสความไม่แน่นอนทางการเมืองยังคงเป็นปัจจัยถ่วงภาคบริการ 

 

ขณะเดียวกัน ดัชนี PMI รวมภาคการผลิต-ภาคบริการขั้นสุดท้ายของยูโรโซน ขยับขึ้นเล็กน้อยมาอยู่ที่ 51.2 ในเดือน ก.ย. 68 จาก 51.0 ในเดือน ส.ค. 68 สอดคล้องกับดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นสุดท้ายของเยอรมนีจาก HCOB ที่ปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ 51.5 ในเดือน ก.ย. 68 จาก 49.3 ในเดือน ส.ค. 68 แม้จะต่ำกว่าที่ประเมินไว้เบื้องต้นที่ 52.5 แต่ก็ถือเป็นการกลับมาขยายตัวอีกครั้ง โดยเติบโตเร็วที่สุดในรอบ 8 เดือน สวนทางกับยอดธุรกิจใหม่และการจ้างงานที่ลดลงอย่างชัดเจน ทั้งนี้ ดัชนี PMI ที่ระดับสูงกว่า 50 บ่งชี้ว่ากิจกรรมทางธุรกิจอยู่ในภาวะขยายตัว ส่วนดัชนีที่ต่ำกว่า 50 บ่งชี้ว่าอยู่ในภาวะหดตัว 

 

อย่างไรก็ดี นักเศรษฐศาสตร์เตือนว่า ภาพรวมยังคงมีจุดอ่อนที่อาจฉุดรั้งการเติบโตในระยะยาว หากอุปสงค์ไม่ฟื้นตัว โดยยอดสั่งซื้อใหม่ในภาคการผลิตเดือน ก.ย. 68 ปรับตัวลดลง หยุดสถิติที่โตต่อเนื่องมา 3 เดือน ขณะที่ธุรกิจใหม่ในภาคบริการก็หดตัวลงเช่นกัน โดยภาพความอ่อนแอนี้สะท้อนชัดเจนในการจ้างงานภาคบริการที่หดตัวเป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกัน ยิ่งไปกว่านั้น อัตราการปลดพนักงานยังรุนแรงที่สุดในรอบกว่า 5 ปี โดยมีปัจจัยมาจากปริมาณงานค้างส่ง (backlog) ที่ลดลงและอุปสงค์ที่ซบเซาต่อเนื่อง และภาวะตลาดแรงงานที่ซบเซาต่อเนื่องนี้เป็นประเด็นที่ต้องจับตา โดยเฉพาะเมื่อกระแสการถกเถียงเรื่องปัญญาประดิษฐ์ (AI) จะเข้ามาแทนที่ตำแหน่งงานต่างๆ ในวงกว้างนั้น กำลังเป็นที่พูดถึงมากขึ้น 

 

ขณะที่ในฝั่งของญี่ปุ่นสถานการณ์ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ หลังนายคาซูโอะ อุเอดะ ผู้ว่าการธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) กล่าวว่า เงินเฟ้อญี่ปุ่นยังอยู่ในทิศทางที่จะบรรลุเป้าหมายของ BOJ อย่างยั่งยืน ส่งผลให้เขายังคงมีอิสระในการตัดสินใจว่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือน ต.ค. 68 นี้หรือไม่ ซึ่งนักลงทุนบางส่วนมองว่าทำให้มีโอกาสลดลงที่ BOJ จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในระยะใกล้ หากเศรษฐกิจและราคาสินค้าเป็นไปตามคาดการณ์ อย่างไรก็ดี เขาเตือนถึงปัจจัยเสี่ยงหลายด้าน เช่น ความอ่อนแอในตลาดแรงงานสหรัฐ และผลกระทบจากการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐที่อาจบั่นทอนผลกำไรของบรรดาบริษัทญี่ปุ่น 

 

ทั้งนี้ ตลาดการเงินกำลังเฝ้ารอดูท่าทีว่า BOJ จะกลับมาเดินหน้าปรับขึ้นดอกเบี้ยเมื่อใด หลังจากหยุดวงจรการขึ้นดอกเบี้ยเพราะกังวลเกี่ยวกับผลกระทบจากมาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐ โดยในการประชุมเดือน ก.ย. 68 ที่ผ่านมา คณะกรรมการ BOJ มีความเห็นไม่เป็นเอกฉันท์ โดยบางคนต้องการให้เร่งปรับขึ้นดอกเบี้ย ทำให้ตลาดประเมินว่ามีโอกาสมากกว่า 60% ที่ BOJ จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจาก 0.5% เป็น 0.75% ในการประชุมนโยบายการเงินครั้งถัดไปในวันที่ 29-30 ต.ค. 68 นี้ 

 

ปัญหาก็คือล่าสุดอัตราการว่างงานเดือน ส.ค. 68 ของญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นแตะระดับ 2.6% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 13 เดือน จากระดับ 2.3% ในเดือน ก.ค. 68 เนื่องจากมีพนักงานจำนวนมากพยายามมองหางานในตำแหน่งที่ดีขึ้น ส่วนจำนวนผู้ที่มีงานทำลดลง 0.3% สู่ระดับ 68.1 ล้านคน และจำนวนผู้ที่ว่างงานเพิ่มขึ้น 9.1% สู่ระดับ 1.79 ล้านคน ในจำนวนผู้ที่ไม่มีงานทำนั้น มี 770,000 คนที่ลาออกจากงานโดยสมัครใจ ซึ่งมักจะลาออกเพื่อหางานในตำแหน่งที่ดีขึ้น โดยตัวเลขดังกล่าวเพิ่มขึ้น 13.2% จากเดือน ก.ค. 68 และมี 430,000 คนที่ถูกเลิกจ้าง ซึ่งเพิ่มขึ้น 19.4% ทั้งนี้อัตราว่างงานที่เพิ่มขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบกว่า 1 ปีสะท้อนให้เห็นว่าภาวะตลาดแรงงานของญี่ปุ่นอ่อนแอลงเล็กน้อย ขณะที่นักลงทุนในตลาดการเงินคาดการณ์เป็นวงกว้างว่าธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในระยะใกล้นี้

 

อย่างไรก็ดีชัยชนะของ ซานาเอะ ทาคาอิจิ ในการเลือกตั้งหัวหน้าพรรคเสรีประชาธิปไตย (LDP) ซึ่งปูทางสู่การขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของญี่ปุ่นนั้น จะเป็นปัจจัยหนุนดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียว โดยนักวิเคราะห์มองว่า การที่ทาคาอิจิมีจุดยืนสนับสนุนการกระตุ้นเศรษฐกิจจะเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นญี่ปุ่น และการที่เธอสนับสนุนการผ่อนคลายนโยบายการเงินและการคลังนั้น อาจลดโอกาสที่ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมช่วงปลายเดือนนี้ ซึ่งจะเป็นปัจจัยสนับสนุนตลาดหุ้นเช่นกัน ทั้งนี้ นักวิเคราะห์คาดว่า โอกาสการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่น้อยลงของ BOJ จะส่งผลให้สกุลเงินเยนอ่อนค่าลง ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกต่อหุ้นกลุ่มส่งออกในตลาดหุ้นญี่ปุ่น แต่แนวโน้มดอกเบี้ยขาลงจะสร้างแรงกดดันต่อหุ้นกลุ่มธนาคาร ส่วนหุ้นที่ต้องพึ่งพาอุปสงค์ภายในประเทศและหุ้นบริษัทขนาดเล็กคาดว่าจะได้รับแรงหนุนอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากนักลงทุนจะให้การตอบรับทุกสัญญาณที่เกี่ยวข้องกับนโยบาย "อาเบะโนมิกซ์ (Abenomics)" ที่ริเริ่มโดยอดีตนายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะ 

 

อาเบะโนมิกซ์ คือนโยบายที่มีเป้าหมายฟื้นฟูเศรษฐกิจญี่ปุ่นที่ซบเซามายาวนานและต่อสู้กับภาวะเงินฝืด (Deflation) โดยนโยบายประกอบด้วย "ลูกศร 3 ดอก" หรือ "Three Arrows" ซึ่งได้แก่การดำเนินนโยบายผ่อนคลายการเงินเชิงรุก การใช้จ่ายด้านการคลังมูลค่ามหาศาลเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ และกระตุ้นการลงทุนภาคเอกชน ทำให้ชัยชนะของทาคาอิจิซึ่งเป็นผู้ที่ได้รับความไว้วางใจจากอดีตนายกรัฐมนตรีอาเบะ ได้กระตุ้นให้เกิดมุมมองที่ว่ารัฐบาลภายใต้การนำของเธอจะนำพาญี่ปุ่นกลับไปสู่ยุคอาเบะโนมิกซ์อีกครั้ง โดยที่ผ่านมานั้น เธอผลักดันให้มีการแจกเงินสดและส่วนลดภาษีให้กับประชาชน เพื่อช่วยเหลือครัวเรือนที่ประสบปัญหา 

 

ขณะที่ในส่วนของการเมืองระหว่างประเทศ ล่าสุดสหรัฐ แสดงความหวังที่จะเสริมสร้างความสัมพันธ์กับญี่ปุ่นหลังจากที่พรรคร่วมรัฐบาลได้ลงคะแนนเสียงเลือกผู้นำคนใหม่ โดยฝั่งสหรัฐหวังว่าจะยังคงทำงานอย่างใกล้ชิดกับญี่ปุ่นต่อไป หลังจากพรรคร่วมรัฐบาลญี่ปุ่นได้เลือกซานาเอะ ทาคาอิจิ เป็นผู้นำพรรคคนใหม่ โดยที่การได้รับเลือกของทาคาอิจิเกิดขึ้นเพียงไม่กี่สัปดาห์ ก่อนที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐจะเดินทางเยือนเอเชียในการเยือนครั้งแรกนับตั้งแต่ดำรงตำแหน่งผู้นำสหรัฐเมื่อเดือนมกราคม 

 

เศรษฐกิจไทยยังมีโจทย์ที่ต้องตามต่อ ! ในระยะสั้นทิศทางของตลาดหุ้นไทยยังคงมีความผันผวนและเปราะบาง หลังดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป (CPI) เดือน ก.ย. 68 ของไทยอยู่ที่ 100.11 หรืออัตราเงินเฟ้อทั่วไป ลดลง -0.72% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน และเป็นการลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 แม้กระทรวงพาณิชย์จะออกมาระบุว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไป ที่ติดลบต่อเนื่องกัน 6 เดือน ยังไม่ใช่การเข้าสู่ภาวะเงินฝืดแต่อย่างใด เพราะอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (ไม่รวมสินค้ากลุ่มพลังงาน และอาหารสด) ยังคงขยายตัวเป็นบวก ประกอบกับอุปสงค์ในประเทศยังคงมีอยู่ และการจ้างแรงงานไม่ได้ลดลง และแม้ GDP ของประเทศจะขยายตัวได้ต่ำกว่าคาด แต่ก็ยังมีการเติบโตได้ ดังนั้นจึงไม่ใช่สัญญาณของภาวะเงินฝืดแต่อย่างใด ส่วนแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อในไตรมาส 4 ปี 2568 กระทรวงพาณิชย์คาดว่ามีแนวโน้มใกล้เคียงกับ 0% 

 

ขณะที่นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยไตรมาส 4 ปี 2568 จะขยายตัวได้เพียง 0.3% ทั้งนี้จากการเร่งผลักดันโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ผ่านการบริโภค โดยเฉพาะคนละครึ่งพลัส และการเพิ่มวงเงินในบัตรสวัสดิการ จะช่วยทำให้เศรษฐกิจขยายตัวเป็นบวกเพิ่มอีก 0.2-0.4% ขณะเดียวกันยังมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอื่นๆ ทั้งการกระตุ้นการท่องเที่ยวเมืองรอง การเร่งรัดการเบิกจ่ายของภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ และท้องถิ่น เชื่อว่าจะช่วยทำให้เศรษฐกิจโตใกล้เคียงอีก 0.7% ดังนั้นจึงมั่นใจว่า เมื่อรวมผลของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งหมดแล้ว เศรษฐกิจไทยในไตรมาส 4 ปี 2568 จะโตเกิน 1% แน่นอน

 

ในส่วนของกลยุทธ์ สำหรับการลงทุนระยะสั้น (ไม่เกิน 1 สัปดาห์) เน้น “อ่อนตัวซื้อลงทุน” สำหรับการลงทุนระยะกลาง (1-3 เดือน) ในลักษณะ Long-Only แนะนำ “เพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้นไปที่ระดับ 75% ของพอร์ต”   

 

ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่ความเห็นส่วนตัวของผมนะครับ โปรดใช้วิจารณญาณ และศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนการตัดสินใจลงทุนด้วยครับ สำหรับการพูดคุยกันระหว่างสัปดาห์นอกจากทาง Facebook ที่ www.facebook.com/hippowealththailand และ e-mail ที่ hippowealththailand@gmail.com แล้ว แฟนๆ ยังสามารถติดตามมุมมองเกี่ยวกับการลงทุนจาก “นายหมูบิน” ได้ในรายการ “เซียนเศรษฐกิจ” ทาง FM 97.00 ทุกวันอาทิตย์ เวลา 14.00-16.00 น. เช่นเดิมครับ


ภาพประกอบ : การวิเคราะห์ทิศทางตลาดหุ้นไทยในทางเทคนิครายวัน (Daily)

ree

Source: TQ

 
 
 

Comments


bottom of page