top of page
358556.jpg

หุ้นไทยสดใสไปจนถึงไตรมาส 1...แต่ระวังเงินทุนไหลออก!


ธนากร มนูญผล รองกรรมการผู้อำนวยการหน่วยงาน Group Investment บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ ชี้ตลาดหุ้น ตปท.ฝั่งอเมริกา-ยุโรป เป็นขาขึ้นช่วงคริสต์มาส-ม.ค. 65 ส่วนตลาดหุ้นจีนปี 65 จะดีกว่าปี 64 แนะนำลงทุนระยะยาว โดยเฉพาะหุ้นเทคโนโลยี EV และโลจิสติกส์ ขณะที่ตลาดหุ้นไทยสดใสนับจากนี้ไปจนถึงไตรมาสที่ 1 แต่จุดอ่อนของไทยคือภาคเศรษฐกิจโดยรวมไม่มีจุดขายใหม่ๆ ทำให้มีเงินทุนไหลออก ต่างกับเพื่อนบ้านอย่างเวียดนามที่เงินทุนยังไหลเข้าต่อเนื่อง เตือน...ทองคำ-พันธบัตรยังมีความผันผวนสูง เข้าออกต้องระวัง ด้านคริปโตไม่เหมาะลงทุนในระยะยาว เล็งจังหวะลงทุนและจำกัดกรอบการลงทุนไม่ให้กระทบสภาพคล่องของพอร์ต


คุณธนากร นักกลยุทธ์พ่อลูกอ่อน มองสถานการณ์การลงทุนเป็นอย่างไรบ้าง

ตอนนี้ผมว่าเรื่องห่วงเรื่องใหญ่คือโอไมครอนที่เข้ามากลับหัวตลาดหุ้นลงมา เรื่องต่อไป คือเฟด ส่วนเรื่องที่ 3 อัตราดอกเบี้ย

เรื่องแรกได้เห็นข่าวที่อเมริกา เรื่องผลการทดสอบปรากฏว่าคนที่ได้รับวัคซีน 2 โดสหรือรับบูสเตอร์โดสมีผลตอบรับกับโอไมครอนที่ดี ส่วนผู้ป่วยโอไมครอนที่อยู่ในอเมริการายต้นๆ ก็ยังไม่เจอใครที่มีอาการรุนแรง ซึ่งล่าสุดมีบทความเรื่องโอไมครอนว่าตัวโอไมครอนอาจจะเป็นจุดเปลี่ยนของโควิดรอบนี้ ถ้ามันกระจายแล้วไม่รุนแรง ในเชิงทางแพทย์คาดว่าอาจจะกลายเป็นหนึ่งในไข้หวัดที่เป็นตามอาการแล้วก็หายไป เป็นโรคที่รักษาหายตามปกติ จะเห็นว่าข่าวโอไมครอนดูเริ่มคลายกังวลต่อตลาดหุ้น จากที่เบรกรอบใหม่ดาวโจนส์ลงไป 7% S&P ลง 5 แนสแด็กลง 8 และลงไปถึง 6 แล้วดีดกลับ บวกกับมีเรื่องโอไมครอนทำให้ตลาดหุ้นปรับตัวลงมาแล้ว

เรื่องที่ 2 ตลาดการเงินของเฟดที่ส่งสัญญาณมาชัดเจนแล้วว่าลดการอัดฉีด คิดว่าจะเดินตัวเลขการลดประมาณ 5 billion us dollar ต่อเดือน น่าจะจบในเดือน 3 ของปีหน้า พอบวกกับเรื่องเฟดที่จะขึ้นดอกเบี้ยได้ มองว่าปีหน้าขึ้น 3 รอบ เดือน 6 เดือน 9 และ 11 กลายเป็นว่าตลาดหุ้นปรับตัว

เรื่องที่ 3 เรื่องอัตราดอกเบี้ย ตลาดมองเป็นขาขึ้น ค่าเงินเฟ้อก็ขาขึ้นออกมาเป็น 6.8% สูงสุดในรอบ 60 ปีกลายเป็นว่าตลาดเหมือนยังขึ้นได้อยู่ ซึ่งจริงๆ ดอกเบี้ยเป็นขาขึ้นต้องคลายความกังวลแล้ว แต่ตลาดยังตอบรับได้ดี ยังมีตัวนึงของอเมริกา คือ VIX ความผันผวน ในช่วง 2 อาทิตย์ที่ผ่านมาปรับลดลงมามากกว่า 40% มันลงมา 30 จาก 40 ลงมาเร็วมาก


ตัวนี้บอกว่าไม่น่ากลัวแล้ว

ตรงนี้ยิ่งสูงคนกลัว แต่นักลงทุนกลัวน้อยลง มองว่าดอกเบี้ยขึ้น เงินเฟ้อขึ้น ความกังวลยิ่งบวกขึ้น แปลว่าเรากำลังจะเข้าสู่การเติบโตทางเศรษฐกิจแบบเต็มตัวถ้าเราผ่านโควิดและโอไมครอนไปได้ ซึ่งผมว่าผ่านได้ เชื่อว่าก่อนคริสต์มาสตลาดเมืองนอกน่าจะอยู่ขาขึ้น คิดว่าไปต่อถึงเดือนมกราคม ผมมองว่าในฝั่งสินค้าโภคภัณฑ์ ราคาทองคำ มีความผันผวนมาก ล่าสุดขึ้นไปสูงถึง 1,900 แล้วก็หล่นลงมา แล้วเด้งกลับ ในตอนที่เงินเฟ้อประกาศออกมาว่าเริ่มจะสูงมากก็ออกมาสูงจริง ราคาอยู่ที่ 178 กว่า ราคาน้ำมันที่ได้รับผลจากโอไมครอนที่ปรับขึ้นมา ก็ลงมาลึกมาก เบรนท์ลงไปเกือบ 20% แต่ดีดกลับเร็วมากเกือบ 20% แล้ว บวกกับตัวเลขฝั่งซาอุฯ เขามีการเพิ่มราคาขายฝั่งเอเชียอีก 20% เทียบกับเดือนที่แล้ว มองสะท้อนว่า global demand น่าจะฟื้นกลับ

ผมเชื่อว่าตลาดหุ้นเมืองไทยมีแนวโน้มสำคัญอยู่ที่ 1,575 จุด ซึ่งดูแล้วเอาอยู่ เพราะล่าสุดดิ่งลงไปแล้วเด้งกลับเลย ตอนนี้กลับมาแถว 1,620 รอบที่แล้วทำ high 1,658 จริงๆ ปีนี้ขึ้นมาตลอด อยู่ที่จังหวะนี้เราขาย จังหวะรอรับใหม่ จะเห็นว่าการกระจายการลงทุนเรายังอยู่ในหุ้นอยู่ ตราบใดที่ดอกเบี้ยอยู่ในขาขึ้นฝั่งพันธบัตรคงไม่ได้ให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่า หุ้นยังให้ผลตอบแทนดี

ปีนี้ตั้งแต่ต้นปีเราชอบหุ้น growth ผมเริ่มมองแล้วว่าหุ้นกลุ่ม value หรือหุ้นกลุ่ม quality มีบทบาทมากขึ้น อย่างแนสแด็กเติบโตช้ากว่าพวก S&P 500 fund flow เริ่มไปหากลุ่ม value มากขึ้น เริ่มมองหากลุ่มที่มีมูลค่าเทียบกับราคาดูดีมี individual yield และมีการเติบโตของรายได้ ไม่ต้อง expect รุนแรงแต่เติบโตได้ดี และหุ้นกลุ่มที่โดนไปมากช่วงที่ต้องล็อกดาวน์อีกรอบซึ่งผมดูแล้วยังกลับมาไม่ครบ ยังอยู่ในขาที่ถูกขายมากเกินไป เช่น กลุ่มโรงแรม สายการบิน กลุ่มค้าปลีก เรียกว่าถูกขายออกมาเยอะเกินไป อีกกลุ่มนึงที่น่าจะไปตามทิศทางของการเปิดประเทศคือกลุ่มพลังงาน ดูจากราคาน้ำมันยังเป็นกลุ่มที่น่าจะเติบโตได้ดี เช่น ปิโตรเคมี ขณะที่จริงๆ แล้วในเชิงพลังงานในกระแสโลกจะมีกระแส yield เข้ามารบกวนอยู่เรื่อยๆ ธุรกิจต้นน้ำอย่างน้ำมันดิบแล้วก็เทรนด์ green energy คือ ปิโตรเคมี เพราะเส้นทางสุดท้ายกลายเป็นเคมีคอล พลาสติก ขณะที่ฟอสซิลดูไกลๆ อาจจะดูถดถอยลง แต่ผมว่าในช่วงเปลี่ยนถ่ายมันไม่เกิดขึ้นเร็ว ยังไงความต้องการของตลาดโลกยังมีอยู่


อย่างกลุ่มสถาบันการเงินเข้าตาไหม

จริงๆ แล้วเข้าตา เพราะดอกเบี้ยขาขึ้น ในช่วงที่ผ่านมาราคาขึ้นมาพอสมควร แต่บังเอิญมีโอไมครอนเข้ามาทำให้ราคายังพอไปได้


ไม่ห่วงหนี้ NPL

จริงๆ NPL มีทิศทางสูงขึ้น แต่กลุ่มที่จะมี NPL คือกลุ่มไฟแนนซ์ ต้องบอกว่าธนาคารบ้านเราระวังตัวสุดๆ แล้ว ถ้าไปดูตัวเลข NPL จะเห็นแบงก์ขนาดใหญ่ของเราส่วนใหญ่เรียกว่าควบคุมได้


ให้น้ำหนักกับตลาดหุ้นโลกหรือไทยว่ากำลังฟื้นใช่ไหม

ถ้าบอกว่าที่ผมสนใจตอนนี้คืออเมริกา ดูเป้าหมายปีหน้าของเขา ปัจจุบันให้ upside ประมาณ 10% ที่เขาให้เป้าหมายดัชนี ผมมองว่าด้วยการทำกำไรและบริษัทเติบโตได้ดี เราไม่สามารถเถียงในจุดนี้ ส่วนตัวเริ่มมองไปทางจีน ต้องบอกว่าปีนี้เป็นปีโดนการจัดระเบียบในแต่ละอุตสาหกรรม ทำให้ตลาดจีนปีนี้ไม่ค่อยสวยงามเท่าไหร่ โดนกดมาตลอดทาง ล่าสุดของ Evergrande เรตติงก็ถูกปรับเป็นเกรด B แต่เรายังไม่เห็นผลกระทบในเชิงกว้าง เราดูจากนโยบายรัฐบาลที่ออกมาปูทางไปอุ้มรายย่อยมากกว่าบริษัทใหญ่ ซึ่งก็เป็นแนวทางของเขาที่ชัดเจน เขาพยายามอุ้มรายย่อยมากกว่าอุ้มเศรษฐี แต่ในช่วงที่ผ่านมา หลังโอไมครอนเข้ามาตลาดจีนรีบาวด์ได้เร็วกว่าฝั่งตลาดยุโรปและอเมริกา เรียกว่าในช่วงที่ผ่านมาดีดกลับขึ้นมา 6% จากฐานที่ค่อนข้างต่ำกว่าคนอื่น แต่ผมมองว่าพวกเทคโนโลยีในอนาคตยังไงจีนก็มา เห็นได้จากธุรกิจเทคโนโลยีที่มาแรงคือ EV จะเห็นว่าบริษัท EV ในจีนเริ่มเติบโตมากและมีจำนวนบริษัทเพิ่มขึ้นด้วย อย่างเคอรี่ก็เป็นฐานสำคัญของโลกด้วย

ผมมองว่าถ้ามองตลาดโดยรวมจีนมีความน่าสนใจที่น่าเข้าไปซื้อ จากจุดสูงสุดเมื่อต้นปีก่อนลดลงมาต้องมี 20-30% ถ้าเทียบแล้วถือกันยาวๆ ผมชอบฝั่งจีน

ส่วนฝั่งเมืองไทยผมเชื่อว่าตลาดปัจจุบันข้ามไปถึงไตรมาส 1 ยังเป็นช่วงที่สดใส ผมมองไปถึงเดือนกุมภาพันธ์ อย่างปัจจุบันธุรกิจเรายังเปิดไม่หมด ถ้าโอไมครอนคลี่คลาย เรื่องวัคซีนรักษา โรคชัดเจนขึ้น ช่วงเดือน 1 ธุรกิจกลับมาเปิดเต็มที่ และผลประกอบการปีนี้ทั้งปีจะเห็นว่า Q4 ผงกหัวขึ้นแล้วหลังจากโดนผลกระทบตลอดทั้งปี และฐาน earning หรือการเติบโต เราจะเห็นกำไรจากบริษัทจดทะเบียนระดับสูง ในปีหน้าเชื่อว่าตลาดหุ้นไทยยังต้องเล่นรอบ ถึงแม้ปีนี้จะขึ้นได้แต่ด้วยตัวมันเองมันหดมาเรื่อยๆ มันไม่แข็งแกร่งเท่าเมืองนอก


ต่างชาติยังขายเอาๆ ให้น้ำหนักเรื่องนี้อย่างไร

จริงๆ ภาพใหญ่นั้น ต่างชาติขายมาตลอดหลายปี ขายมา 6-7 ปี การซื้อของเขาเป็นช่วงเล่นรอบของ fund flow แต่สุดท้ายเราเห็น net sale เราเป็นหลักแสนล้านอย่างค่าเงินบาท ตอนนี้แม้โอไมครอนมามีการแข็งค่าเร็วมาก แต่ก็อ่อนค่าเร็ว ตอนนี้มาอยู่ที่ 33 บาทอีกรอบ ซึ่งจริงๆ เราควรเป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับผลประโยชน์เชิงบวกจากที่ทุกอย่างกลับมาเปิด แต่กลายเป็นว่าค่าเงินบาทอ่อนทั้งที่สถานะการเงินดี งบดุลเราไม่มีปัญหา ปรากฏว่าเรา behind and curve ของการเปิดประเทศรอบใหม่ ลองนึกภาพองค์รวม economy เรายังไม่มีอุตสาหกรรมที่จะเป็น curve ใหม่ๆ หรือการเติบโตครั้งใหม่ของประเทศ ทำให้เวียดนามหรือประเทศรอบบ้านเราได้ in flow แต่ของเรา out flow


มองการเมืองโลกอย่างไร มีคนมองว่าจะเกิดสงครามโลก

เป็นเรื่องไม่เคยทิ้ง เป็นเรื่องนึงที่สามารถหักปากกาได้ทุกเมื่อ เป็นเรื่องนึงที่ไม่เคยโผล่ในเรื่องตัวเลข เราได้แต่ติดตามการเคลื่อนไหว อย่างล่าสุดฝั่งรัสเซียมีความเคลื่อนไหวคือมีการส่งทหารไปประชิดยูเครน และในส่วนประธานาธิบดี โจ ไบเดน ส่งสัญญาณชัดเจน ถึงแม้วิธีการพูดเขาจะไม่ได้รุนแรงเหมือนสมัย โดนัลด์ ทรัมป์ แต่วิธีการเหมือนอยู่ในสงครามเย็นระหว่างจีนกับสหรัฐ ซึ่งถ้าไปอ่าน research หลายๆ เจ้าทุกคนกังวลเรื่อง trade war จีนกับสหรัฐ จะเห็นว่าทางการทูตของจีนกับอเมริกาไม่ค่อยดีขึ้น แต่ถามว่าจะถึงสงครามโลกไหมผมไม่ได้ให้น้ำหนักอย่างนั้น


การเมืองในประเทศเป็นอย่างไร

ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเราค่อนข้างเคยชินกับความไม่แน่นอนทางการเมืองของเรา แต่จริงๆ แล้วภาคธุรกิจเราเดินคู่ขนานเพราะค่อนข้างปรับตัวกัน เรียกว่าการเมืองไม่น่ามีส่วนต่อการเติบโตของกำไรบริษัทส่วนใหญ่ ปัญหาการเมืองมักจะอยู่ได้ทั้งนั้น มองว่าการเมืองเป็นเรื่องระยะสั้น แต่ถ้ามีเหตุการณ์การเมืองขึ้นมาแล้วตลาดตีว่าเป็นแรงกดดัน ตกใจ แล้วมีการปรับตัวลงทีนึง เราเห็นในอดีตในช่วงที่ผ่านมาแต่ละช่วงที่มีปัญหาการเมือง ตลาดหุ้นจะปรับลง 3-4% เพราะมองเรื่องการเมืองเป็นเรื่องตกใจ


เรื่องคริปโตมีคนสนใจกันมาก เข้าไปเก็งกำไรมากโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ หรือบางคนพูดว่าควรมีในพอร์ตลงทุนบ้าง

เป็นเรื่องที่ห้ามไม่ได้เพราะเป็นเรื่องของ digital asset ผมเชื่อว่าคริปโตเคอร์เรนซีเป็น 1 ใน product ของโลก digital ผมเชื่อว่ามันจะเติบโต เรียกว่ามีการใช้งานมากขึ้นมากกว่านี้ เชื่อว่ามีขาเติบโต แต่ถามว่าเป็น asset ที่เป็นการลงทุนระยะยาวไหม อันนี้ผมไม่กล้าตอบเพราะความผันผวนในตลาดมีสูง ระหว่างทางแม้จะมีการเติบโตมาเรื่อยๆ แต่ระหว่างปีความผันผวนยังสูง asset แบบนี้ถ้าจะถือระยะยาวต้องพิจารณา หรือถ้าจะลงทุนควรต้องจำกัดกรอบดีๆ เพื่อไม่ให้ความผันผวนของราคาส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องการลงทุนของเรา


เรื่องทองคำไม่ค่อยให้น้ำหนักกับเที่ยวนี้เท่าไหร่

คือทองคำจะชอบเงินเฟ้อขาขึ้น ชอบดอกเบี้ยขาขึ้น เพราะเป็นตัวประกันเรื่องเงินเฟ้อ แต่ความผันผวนของทองคำที่เห็นมันสูงเกินไป ล่าสุดดอกเบี้ยที่เป็นขาขึ้นตอนที่ เจอโรม พาวเวล ออกมาพูดว่าจะขึ้น อัตราดอกเบี้ย แต่ปรากฏทองคำก็ขึ้นแต่ประมาณ 3 วัน เรายังไม่ได้ทำอะไรก็ลงมาอีกแล้ว จาก 1,900 ลงมา 1,700 ตอนนี้ผมว่าการประกันเงินเฟ้อต่อความผันผวนของทองคำยังไม่คุ้มค่าเท่าไหร่ ผมมองเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดความกลัวของตลาด แต่ถ้าเป็นสินทรัพย์ในการถือครองเหมือนสมัยก่อนก็ให้ถือไว้ แต่ตอนนี้ไม่ต้องแล้ว ผมคิดว่าถ้าจะติดทองคำ ถึงแม้เป็นสินทรัพย์คนละประเภท ผมเลือกที่จะติดหุ้นที่เป็น growth อยู่ในพอร์ตมากกว่า


อย่างหุ้นกู้หรือตราสารหนี้ที่ได้รับความนิยม ถึงตรงนี้ยังน่าลงทุนไหม

ปัจจุบันถ้าภาวะขาขึ้น ความผันผวนของราคาตัวพันธบัตรมันจะสูงขึ้น ส่วนตัวผมมองว่าน่าสนใจแล้ว เพราะตอนนี้ดอกเบี้ยเราอยู่ในระดับต่ำ ถ้าจะได้ดอกเบี้ยดีๆ เราต้องยอมลดอันดับเครดิตและถือระยะยาวขึ้น ส่วนตัวผมยังมีถือแต่จะถือไม่ให้เกิน 20% เพราะมองว่าผมจะถือให้ครบ 4-5 ปี พอกินดอกเบี้ยครบอันนั้นยังถือได้ แต่ถามว่าเข้าไปซื้อตอนนี้ บางทีดอกเบี้ยไม่ cover ราคาตัวที่ปรับลดลงไปกับดอกเบี้ยขาขึ้น


คนเริ่มพูดกันมากถึงฟองสบู่ตลาดหุ้นมะกันจะแตกเพราะขึ้นมามากเกิน

ส่วนตัวมองว่าทุกครั้งๆ ตลาดค่อนข้างจะพองรอบบริเวณ มันพองหมด เพียงแต่ปีนี้ถ้าไม่มีโควิดเข้ามาเป็นความเสี่ยง ตลาดหุ้นจะสูงกว่านี้ พอดีมีทั้งเดลตาและโอไมครอนเข้ามาแทรก 2 รอบ ความเสี่ยงเรื่องตลาดหุ้นลดลงไป โดยส่วนตัวยังมีโอกาส แต่ลดลงไปหลังจากมีรอบล่าสุด จริงๆ รอบล่าสุดเราอยู่ในขอบเขตเข้าสู่ depression ราคาหุ้นลดลงมา แต่มันดีดกลับได้เร็วเพราะยังมีคนเชื่อว่าเศรษฐกิจจะกลับมามีมากพอสมควร ทำให้เหตุการณ์ตลาดปรับฐานความเสี่ยงจะค่อยๆ ลดลงไปด้วยเหมือนกัน


มีโอกาสที่ตลาดหุ้นไทยจะลงแรงๆ อีกหรือไม่

ถ้าลงแรงๆ อีกรอบคือมีอะไรแรงกว่าโอไมครอน อย่างโอไมครอนผมมองผ่านแล้ว แต่ถ้ามีพัฒนาหรือเปิดประเทศแล้วมีผลกระทบต่ออัตราการเสียชีวิต อันนั้นเป็นความเสี่ยงอีกรอบ เพราะสุดท้ายประเทศเราไม่ล็อกดาวน์ เพราะถ้าล็อกดาวน์ทัวร์เข้าไม่ได้ ถือเป็นสิ่งที่ใหญ่ที่สุดใน GDP ไทย การค้าปลีกค้าส่ง ถ้าค้าขายไม่ได้ก็เป็นปัญหา เพราะเป็นกลไกสำคัญของประเทศ เราจะหยุดชะงัก ก็เป็นสิ่งที่ผมกลัวที่สุด


ขอคาถาบริหารเงินลงทุนต่างๆ ในปี 2565

ตอนนี้เราผ่านช่วงการเติบโตรุนแรงแล้ว เศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวการณ์เติบโตแบบเต็มอิ่ม การลงทุนขอให้เป็นบริษัทที่มีอัตราการทำกำไรในอันดับสูง ปันผลดี ไม่แพงจนเกินไป ถ้าจะซื้อหุ้นที่เติบโตขอให้ซื้อในราคาที่เหมาะสม ปีหน้าเป็นปีของหุ้น value และ quality ยังต้องลงทุนกันด้วยความระมัดระวังกันเหมือนเดิม

18 views

Comments


bottom of page