top of page
520245.jpg
image.png

ชี้หุ้นไทยขาลง...P/E สูงสุดในภูมิภาค & บจ.กำไรหด


ree

บล.เอเซียพลัส ประเมินหุ้นไทยเดือนสิงหาคม และเวลาที่เหลือของปี 2563 ยังคงมีแนวโน้มที่จะเป็นขาลงทำให้นักลงทุนต้องลงทุนอย่างรอบคอบ ย้ำ Valuation หุ้นไทยเริ่มตึง และมี P/E สูงสุดในภูมิภาค บวกกับความ ไม่แน่นอนจากประเด็นสงครามทางการค้า ทำให้เห็น Downside ตลาดชัดขึ้น กลยุทธ์ลดความเสี่ยงโดยให้น้ำหนักพอร์ตหุ้นไทยไว้ 30% ของพอร์ต โดยเน้นเก็บเฉพาะหุ้นที่คาดว่าจะเป็นเป้าหมายของ Fund Flow ในระยะถัดไป ผสมผสานระหว่างหุ้นแนวโน้มกำไรครึ่งปีหลังเติบโต รวมถึงปันผลสูง หลีกเลี่ยงหุ้น Over Value

ทีมวิจัย บล.เอเซียพลัส (ASPS) รายงานทิศทางการลงทุนในเดือนสิงหาคม และช่วงเวลาที่เหลือของปี 2563 ว่าการระบาดของไวรัส COVID-19 ระลอกที่2 ยังคงเป็นปัจจัยเสี่ยง สังเกตได้จากจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ทั่วโลกเพิ่มสูงขึ้นตลอดเดือนกรกฎาคม 2563 ที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลลบต่อภาคเศรษฐกิจรวมถึงตลาดหุ้นอย่างชัดเจน ทำให้ทั่วโลกใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงิน และลดดอกเบี้ย ทำให้สภาพคล่องล้นระบบ

ทั้งนี้จะเห็นว่า ภาวะที่เกิดขึ้นในช่วงปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมานี้ที่เงินดอลลาร์อ่อนค่า หลังเฟดประชุมยืนยันดูแลเศรษฐกิจด้วยการใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายต่อไป ทำให้กระแสเงินไหลเข้าลงทุนใน ทองคำอย่างมากมายจนทำให้ราคาทองทำสถิติสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์

ASPS ย้ำว่าปัจจัยที่สำคัญที่ตลาดหุ้นน่าจะให้น้ำหนักสำหรับเดือนสิงหาคม 2563 คือ 1. การรายงานตัวเลขเศรษฐกิจ GDP ไตรมาส 2/2563 คาดหดตัวมาถึง 15% yoy (เป็นจุดต่ำสุดของปี) 2. การรายงานผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนงวดไตรมาส 2/2563 หลังจากที่บริษัทต่างเริ่มทยอยออกมาจะมีผลกำไรติดลบหรือลดลง โดยหุ้นที่ประกาศผลการดำเนินงานมาแล้วจำนวน 12% ของมูลค่าตลาดรวม มีกำไรลดลงเกือบ 23%QoQ และ 35%YoY 3. การปรับประมาณการกำไรจากเดิมที่เคยประเมิน EPS สำหรับปี 2563 ไว้ที่ 64 บาท/หุ้น เหลือ 62.45 บาทต่อหุ้น

ทั้งนี้ P/E ของหุ้นไทยสูงสุดเมื่อเทียบกับภูมิภาค ทำให้เห็น Downside ตลาดชัดขึ้น

นอกจากนี้ที่ต้องติดตามคือการระบาดระลอก 2 ของโควิด-19 ซึ่งประเมินว่าเดือนสิงหาคมมีโอกาสสูงที่คลื่นการติดเชื้อรอบสองในประเทศแถบเอเชียจะปรับเพิ่มขึ้นต่อไป ทำให้มีโอกาสที่ตลาดหุ้นในภูมิภาคอาจเผชิญกับแรงกดดันช่วงสั้น

ในส่วนของกระแสเงินลงทุนต่างชาติ หรือ Fund Flow ในเดือนสิงหาคม 2563 นี้เชื่อว่าน้ำหนักการลงทุนส่วนใหญ่ยังคงถูกเทไปที่สินทรัพย์ปลอดภัยอยู่ แต่หากประเมินความเสี่ยงชัดเจนขึ้น อาจเห็นเม็ดเงินที่ล้นระบบไหลกลับสินทรัพย์เสี่ยงในระยะถัดไป หากความเสี่ยงจากสถานการณ์แวดล้อมปรับลงมาสู่ระดับยอมรับได้ อย่างเช่น การที่สามารถควบคุมการระบาดของ COVID-19 ระยะที่ 2 ได้ หรือพัฒนาการของวัคซีนที่ชัดเจนขึ้น

“ในส่วนของตลาดหุ้นไทย จุดที่น่าสนใจ 3 เรื่อง คือ 1) สัดส่วนการถือครองหุ้นไทยจากนักลงทุนต่างชาติ ต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ อยู่ที่ 26.13% 2) เริ่มชะลอการขายลงในช่วงเดือนกรกฎาคม 3) ดอกเบี้ยนโยบายยังทรงตัวอยู๋ในระดับต่ำติดต่อกันยาวนานเหมือนวิกฤตในอดีต”

ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุนในเดือนสิงหาคม คือ การพิถีพิถันในการเลือกหุ้น โดย ASPS แนะนำสะสมหุ้น 30% ของพอร์ตโดยลงทุนในหุ้นที่คาดว่าจะเป็นเป้าหมายของ Fund Flow ในระยะถัดไป ผสมผสานระหว่างหุ้นแนวโน้มกำไรในครึ่งปีหลัง 2563 เติบโตเด่นเช่น CPALL, CPF, BEM รวมถึงปันผลสูง INTUCH, MCS, AP ส่วนหุ้นที่เกินมูลค่าพื้นฐานอย่าง PLANB และ ERW ควรซื้อขายด้วยความระมัดระวัง

 
 
 

Comments


bottom of page