top of page
312345.jpg

ทำใจ! ปีนี้ไม่มี New High...หุ้นสลับ W shape ลดพอร์ตจังหวะรีบาวด์


ชยนนท์ รักกาญจนันท์ หรือ Mr.Messenger ระบุบรรยากาศตลาดหุ้นโลก ตลาดหุ้นไทย เริ่มผ่อนคลายไปในทิศทางที่ดีขึ้นหลังสงครามรัสเซีย-ยูเครนไม่ขยายวงกว้าง และแม้ Fed จะประกาศขึ้นดอกเบี้ยแต่ตรงกับที่ตลาดคาดการณ์ ทำให้ภาพต่างๆ ชัดเจน ตลาดหุ้นหมุนตัวเตรียมเป็นขาขึ้นรอบใหม่ หุ้นกลุ่มฮอตในรอบนี้คือหุ้นบิ๊กเทค หุ้นพลังงาน หุ้นกลุ่มอาหาร สินค้าเกษตร วัสดุก่อสร้าง แต่ที่ต้องทำใจแน่ๆ คือหุ้นไทยปีนี้ไม่มีนิวไฮ ดัชนีจะป้วนเปี้ยนไม่เกิน 1,700-1,750 สำหรับหุ้นนอกบ้านแนะนำลงทุนในตลาดหุ้นอเมริกา ส่วนหุ้นในตลาดหุ้นจีนถ้ามีอยู่แล้วถือต่อได้แต่อย่าเพื่งซื้อเพิ่ม


หายเครียดจากวิกฤตต่างๆ กันได้หรือยัง

น่าจะยัง บอกว่าหายเครียดไม่ได้ แต่ผ่อนคลายลงบ้างจากตลาดที่เราได้เห็นว่า 3 วันทำการ 17-19มีนาคม ตลาดหุ้นทั้งฝั่งอเมริกา ยุโรป เอเชีย ต่างเริ่มรีบาวด์ขึ้นมาบ้าง ผมคิดว่าตลาดอาจจะคลายกังวลเรื่องสงครามที่อาจจะไม่แพร่และลุกลามเป็นวงกว้าง จำกัดแค่ยูเครน แต่ผลข้างเคียงของสงครามคือ น้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์ของโลกปรับตัวขึ้นสูง ผมคิดว่าเป็นสงครามขนาดใหญ่ที่รัฐบาลทั่วโลกต้องต่อสู้กันต่อไป


การที่หุ้นขึ้นมาหลังจากตกติดต่อกัน 2-3 สัปดาห์เป็นสัญญาณที่ต่ำสุดหรือยัง

เป็นคำถามที่เราหาคำตอบกันตลอด เพราะที่นักลงทุนอยากได้มากที่สุดในโลกคือจุดที่ต่ำที่สุดอยู่ตรงไหน และสิ่งที่อยากได้มากเป็นอันดับที่ 2 ของโลกคือขายแพงที่สุด แต่แนวโน้ม 3 วันทำการ(17-19 มี.ค.)เป็นการรีบาวด์หลังจากมีอีเวนท์สำคัญคือมีการประชุมการขึ้นดอกเบี้ยของเฟด แต่กลายเป็นว่าตลาดยังสามารถปรับตัวได้ทั้งๆ ที่ขึ้นดอกเบี้ยเรียกว่าเป็นนิมิตรหมายที่ดีว่าการปรับตัวหลังจากนี้ การปรับฐานอาจจะใกล้สิ้นสุด


จะไม่เห็นจุดต่ำสุดอย่างดาวโจนส์ลงไป 32,000 หุ้นไทยหลุด 1,600 ลงไปอีกแล้วใช่ไหม

ถ้าจะมีการปรับฐานลงมาอีกครั้งหนึ่งผมคิดว่าการปรับฐานที่เกิดขึ้นเพื่อไปทดสอบจุดต่ำสุดเดิมหรือไม่ หรือสร้างจุดต่ำสุดใหม่ ผมคิดว่าการปรับฐานรอบต่อไปคือรอบสุดท้าย ก่อนที่จะเป็นตลาดขาขึ้นรอบใหม่ แต่ขาขึ้นรอบใหม่นี้เป็น W shape หรือ V shape ก็ค่อยไปว่ากัน แต่เริ่มส่งสัญญาณดีขึ้น ตลาดเริ่มมีลุ้นรีบาวด์มากขึ้นเรื่อยๆ


หลักสำคัญในการบริหารพอร์ตคืออะไร

ผมพิจารณาจากข่าว ทำไมผมคิดว่าตลาดมีโอกาส bottom คือเฟดจะขึ้นดอกเบี้ยอีก 6 ครั้งในปีนี้รวมกับที่ประชุมไปก็ 7 ครั้ง แสดงให้เห็นว่าการประชุมเฟดที่เหลือ 6 ครั้งเฟดจะขึ้นดอกเบี้ยทุกครั้ง ซึ่งตลาดและนักลงทุนคาดการณ์ว่าเฟดจะขึ้นดอกเบี้ยเท่าไหร่ ก่อนหน้านี้นักลงทุนคาดการณ์ว่าปีนี้จะขึ้นดอกเบี้ย 7 ครั้งพอผลประชุมเฟดออกมาบอกว่าจะขึ้นดอกเบี้ยอีก 6 ครั้งก็เป็นไปตามที่ตลาดคาด แปลว่าเฟดจะไม่ขึ้นดอกเบี้ยมากกว่านี้แล้ว การประชุมครั้งนี้เฟดยังออกมาคุยกับสื่อว่าทุกวันนี้ตลาดหุ้นและตลาดการเงินมีความผันผวนมากอยู่แล้ว เฟดจะไม่ทำตัวเป็นหนึ่งปัจจัยที่จะทำให้ตลาดผันผวนมากขึ้น แสดงว่าเฟดรู้ตัวว่าถ้าตัวเองส่งสัญญาณผิด ตลาดอาจจะมีแรงเทขาย และการพูดแบบนี้แปลว่าอะไร เขาค่อนข้างผูกมัดตัวเองว่าเขาอาจจะไม่ขึ้นดอกเบี้ยเร็ว ตรงจุดนี้ทำให้ถึงแม้จะมีเงินเฟ้อ ถึงดอกเบี้ยจะขึ้น แต่เรารู้แน่ๆ ว่าดอกเบี้ยจะขึ้นไปแตะ 1.75 หรือ 2% ช่วงปลายปี แล้วไม่น่าขึ้นอีก ตลาดก็หันกลับมาว่าบริษัทไหนที่มีหนี้น้อยหรือมีรายได้ที่โตอยู่แสดงว่าบริษัทพวกนี้ต้นทุนกู้ยืมยังไม่เยอะ ยอดขายยังมีหวังอยู่ เลยมีแรงซื้อกลับเข้ามา แน่นอนบริษัทที่มีหนี้เยอะกำลังจะมีภาระดอกเบี้ยเพิ่ม บริษัทที่ยอดขายไม่ดีหรือมีผลกระทบจากการคว่ำบาตรระหว่างชาติตะวันตกกับรัสเซีย พวกนี้ Fund Flow จะไหลเข้าน้อยกว่า อย่างที่เราเห็นใน 3 วันที่ผ่านมา(17-19 มี.ค.)มันจะเป็นจุดตัดสินอีกอย่างหนึ่งว่าตลาดหุ้นบิ๊กเทคอย่าง แอปเปิ้ล ไมโครซอฟท์ พวกนี้เป็นหุ้นเทค เขาไม่ได้ใช้หนี้ในการบริหารงานเลย เขาใช้แต่เงินสด ตัวกำไรของเขาก็โตดีเหมือนกัน เงินเลยไหลกลับ รอบนี้ไหลกลับเข้ามาในกลุ่มหุ้นเทคโนโลยีที่เป็นหุ้นบิ๊กเทค หุ้นบิ๊กเทควิ่งแปลว่าดัชนีลงยากเพราะ market cap มันใหญ่

สำหรับผม ถามว่ามุมมองการปรับตัวยังไงตอนนี้ คือใครไม่มีหุ้นจำเป็นต้องเข้าไปถือไว้บ้าง ใครมีเยอะอยู่แล้วต้อง cut loss ต้องลดความเสี่ยง ตลาดกำลังรีบาวด์ ก็รอให้รีบาวด์หน่อย แล้วอยากจะไปลดพอร์ตข้างบนก็ค่อยว่ากัน


โอกาสที่ตลาดหุ้นไทยจะขึ้นมากกว่าลงใช่ไหม

ถูกต้อง สำหรับตลาดหุ้นไทยเพิ่มเติมเรื่องหนึ่งคือ ถ้าราคาน้ำมันยังอยู่เกิน 90 เหรียญต่อบาร์เรลไม่ว่าจะแป็นเบรนท์หรือ WTI มันจะกดดันให้เงินเฟ้อเรายังสูงอยู่ ถึงแม้บอกที่ 90 เหรียญถือว่าจะลงมาเยอะจาก 130 แต่ก็กลับขึ้นไปที่เหนือ 100 เหรียญอีก และอย่าลืมว่าปีที่แล้วน้ำมันไม่ใช่ราคานี้ การที่ราคาน้ำมันแพงและเราเป็นผู้นำเข้าน้ำมันสุทธิ แต่ปีที่แล้วผู้ใช้น้ำมัน ก๊าซหุงต้ม หรือดีเซล ยังไม่รู้สึกว่าราคาน้ำมันขึ้นเพราะรัฐบาลช่วย เศรษฐกิจเรากำลังจะโต แปลว่าเราจะเร่งนำเข้าพลังงานก๊าซธรรมชาติเพิ่มแปลว่ารัฐจะใช้เงินส่วนหนึ่งไปอุดหนุนราคาพลังงาน

ดังนั้น GDP ภาพรวมของเรามีโอกาสลดลงจากการที่เรานำเข้าพลังงานเพิ่มขึ้น แต่หุ้นกลุ่มพลังงานและหุ้นที่เกี่ยวข้องกับเงินเฟ้อผมคิดว่าจะได้ประโยชน์จากเรื่องนี้อย่างหุ้น ปตท.ถ้าเราเห็นราคาน้ำมันยืนอยู่ที่ 90-100 ยังมีโอกาสไปต่อ หรือหุ้นที่เกี่ยวข้องกับสินค้าเกษตร อย่างล่าสุดรัสเซียไม่ส่งออกข้าวสาลี ซึ่งรัสเซียเป็นผู้ส่งออกข้าวสาลีอันดับ 1 ของโลก ไม่ว่าเราจะกินแป้งก็มาจากข้าวสาลีทั้งนั้น ตอนนี้ราคาข้าวสาลีขึ้น เราเริ่มเห็นแล้ว อยู่ดีๆ มีข่าวออกมาว่าบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปกำลังจะขึ้นราคา เวลาบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปขึ้นราคาจาก 7 บาทเป็น 9 บาท ขึ้นทีมากกว่า 10% สิ่งที่จะเจอแน่ๆ คือในไตรมาส 3 นี้จะเจอเงินเฟ้อ หุ้นที่ได้ประโยชน์จากราคาสินค้าที่ขึ้นจากเงินเฟ้อ ผมว่ายังมี upside


ช่วยพูดถึงหุ้นกลุ่มแบงก์หน่อย

ผมคิดว่าถ้าเราไปดูกลุ่มแบงก์ซึ่งมีอิทธิพลต่อเฟดค่อนข้างเยอะ ผมคิดว่าน่าจะมีผู้บริหารระดับสูงจากธนาคารแห่งประเทศไทยออกมาให้ความเห็นเพราะคนอยากรู้ เพราะที่ผ่านมาขึ้นดอกเบี้ยไปแล้ว 4 ประเทศ อเมริกา อังกฤษ แคนนาดา เกาหลี แสดงว่าทั่วโลกอยู่ในภาวะขาดอกเบี้ยขึ้น คำถามคือคนจะหันกลับมาที่แบงก์ชาติว่าเราจะขึ้นดอกเบี้ยด้วยไหม ผมคิดว่าจะมีความเสี่ยง เศรษฐกิจเราไม่ได้โตดีเท่าไหร่ ถ้าเราขึ้นดอกเบี้ยจะส่งผลให้เศรษฐกิจเรามีโอกาสชะลอตัว จึงคิดว่าภายในไตรมาส 2 จนไปถึงกลางไตรมาส 3 เราจะยังไม่ขึ้นดอกเบี้ย ผมคิดว่ารอฟังความเห็นจากแบงก์ชาติหรือจากผู้ว่าฯ แบงก์ชาติออกมาให้ความเห็นก่อน ถ้าเมื่อไหร่มีสัญญาณจะขึ้นดอกเบี้ยจากแบงก์ชาติ ผมคิดว่าหุ้นกลุ่มแบงก์จะมี upside


มอง Fund Flow อย่างไร เพราะที่ผ่านมาหุ้นไทยขึ้นมาเพราะ Fund Flow จากต่างประเทศไหลเข้ามา ถ้าดอกเบี้ยเมืองนอกขึ้น เงินดอลลาร์แข็ง เงินจะไหลออกไปเยอะไห

รอบนี้ผมเชื่อว่าค่าเงินบาทควรจะอ่อนค่าประมาณ 33.8-34 แต่มันสวนทางตั้งแต่ต้นปี ผมคิดว่าบาทจะอ่อน แต่ก็แข็งค่ามาเรื่อยๆ สาเหตุที่บาทแข็งเรื่องหนึ่งเพราะหุ้นบ้านเราเป็น value sector ไม่มีหุ้นเทคอยู่ข้างในเลย ช่วงที่ผ่านมาหุ้นดิ่งลงแรง คนไม่รู้จะเอาเงินไปไว้ไหน เลยเอามาไว้ในหุ้น value มีสถานะเป็นแบบนั้น แล้วต่างชาติก็ซื้อสุทธิบ้านเราอยู่ด้วย แต่ถ้าราคาน้ำมันยังสูง ไทยเป็นผู้นำเข้าน้ำมัน นำเข้าเยอะ แปลว่าตัวอิมพอร์ตเราจะติดลบมากขึ้น ขณะที่ท่องเที่ยวเราเปิดไม่ได้ ไม่มีใครมาเที่ยว แปลว่า GDP ที่สภาพัฒน์มองไว้กรอบบนที่ 4-4.5% ถ้าไม่ถึงเราจะโดนลด GDP คำถามคือเศรษฐกิจเราจะมี outlook กำลังจะปรับลดประมาณการ GDP แล้วเงินจะเข้าได้ยังไง แสดงว่าเงินเข้าได้บ้าง แต่เข้าเป็นราย sector ในภาพรวมผมคิดว่าเป็นเรื่องยากที่หุ้นไทยปีนี้จะยืนเหนือ 1,700-1,750 เป็นเรื่องยากที่จะเห็น 1,800 เหมือนที่เคยมองไว้ ผมคิดว่าหุ้นไทยปีนี้อาจจะไม่มีนิวไฮ ต้องทำใจไว้


ถึงตรงนี้นักลงทุนทั่วไปควรจะบริหารพอร์ตอย่างไร ควรจะลงทุนในประเทศหรือในอเมริกาซึ่งไม่ได้รับผลกระทบจากรัสเซียบุกยูเครน

ใช่ ผมคุยถึง 3 ประเทศในแง่ของสัดส่วนในการลงทุนในหุ้น

หุ้นอเมริกาผมคิดว่าจุดนี้เป็นจุดที่น่าสนใจแล้ว ใครไม่มีควรทยอยสะสม เพราะอย่างน้อยเรื่องดอกเบี้ยขึ้นเป็นสิ่งที่ตลาดรับรู้เป็นที่เรียบร้อยมาก่อนแล้ว เฟดเป็นคนพูดเองว่าจะไม่ส่งสัญญาณให้ตลาดผันผวน แสดงว่าดอกเบี้ยไม่น่าจะขึ้นมากกว่านี้ แล้วถ้าสถานการณ์สงครามที่ยูเครนไม่ลุกลามขยายเป็นวงกว้าง มีการพยายามเจรจาหยุดยิงกันได้ น่าจะเป็นเชิงบวกกับอเมริกา ถ้ามีพอร์ต 100% อเมริกาครึ่งพอร์ตไปเลย

จีนก็เหมือนกัน จีนเป็นผู้ได้ประโยชน์จากการที่รัสเซียถูกแบน น้ำมันส่งออกไม่ได้ จีนก็เข้าไปทันทีแต่กลายเป็นเราเห็นว่าการประชุม 2 ชั่วโมงระหว่างโจ ไบเดน กับ สี จิ้นผิง ออกมาคือจีนยังมีจุดยืน คือใน 2 ชั่วโมงนั้น โจ ไบเดน กดดันจีนทุกอย่าง อย่าไปร่วมกับรัสเซีย จีนบอกเราจะร่วมหรือไม่ร่วมก็เป็นสิทธิ์ของเรา คุณไม่มีหน้าที่เข้ามาแทรกแซง โจ ไบเดนบอกถ้าคุณยืนยันแบบนั้น ถ้าอเมริกากับนาโตจะคว่ำบาตรจีนมันก็เป็นสิทธิ์ของฉันนะ จีนก็ยังโดนถ้าอยู่ข้างรัสเซียและมีความเสี่ยงโดนคว่ำบาตร เรื่องที่ 2 มาตรการ zero covid ปิดเสิ่นเจิ้นทั้งเมือง ตอนนี้กลับมาเปิดได้ แต่ปิดๆ เปิดๆ จะมีคนบอกถ้าในอนาคตมีผู้ติดเชื้อกลับมาติดเพิ่มแล้วปิดอีกทีจะเป็นยังไง มันโดน 2 แรง ทำให้หุ้นจีนยังปรับฐาน ถึงแม้มีรีบาวด์ แต่ยังต้องรอ หุ้นจีนสำหรับผม ใครมีอยู่ถือไป ใครยังไม่มีอย่าเพิ่งเข้า รอให้สถานการณ์ดีกว่านี้ก่อน

ต่อมาคือหุ้นไทย ด้วยราคาสินค้าโภคภัณฑ์และเงินเฟ้อมันมาแล้ว หุ้นสินค้าเกษตรดีๆ จะได้รับประโยชน์เพิ่มขึ้น ต้องซื้อหุ้นกลุ่มนี้ กลุ่มพลังงาน สินค้าเกษตร วัสดุก่อสร้าง พวกนี้มี upside ให้เราเล่นเมื่อราคาน้ำมันดิ่งลงแล้วปรับขึ้นก็ต้อง Take Profit

17 views
bottom of page