top of page
312345.jpg

หุ้นไทยศึกหนักวัดกันไตรมาส 2...ชะตาหุ้นโลกฝากไว้เลือกตั้งอเมริกา


Interview: คุณชยนนท์ รักกาญจนันท์ (Mr.Messenger)


นักวิเคราะห์มือฉมัง ‘Mr.Messenger’ ยกตลาดหุ้นมะกันยังเจ๋งอยู่ แม้สหรัฐอเมริกาเจอพิษ ‘โควิด-19’ เล่นงานหนักทำผู้นำ ‘ทรัมป์’ เสียฟอร์มออกทะเลเมาตุปัดตุเป๋ คะแนนนิยมตกต่ำสุดนับจากเป็นประธานาธิบดี เลยต้องกล่าวโทษเล่นงานจีนทุกรูปแบบ ปลุกระดมคนมะกันมาช่วยกันกำจัดศัตรูผู้น่ากลัว หวังผลคะแนนเสียงเลือกตั้งปลายปี กระทบ ‘ทุนโลก’ ออกอาการเมาหมัดเลือกข้างไม่ถูกอยู่กับมะกันหรือจีนดี แนะฝากเงินไว้กับทองและตราสารหนี้จนกว่าเห็นผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีใครหมู่หรือจ่า ส่วนการลงทุนในตลาดหุ้นไทยแม้ดัชนี SET ยืนเหนือ 1,300 ได้ก็ยังไม่ชัดเจนจนกว่าจะผ่าน ‘ไตรมาส 2’ ห้วงเวลาเลวร้ายสุดไปก่อนถึงค่อยตัดสินก็ไม่ตกรถไฟ


มองสถานการณ์ที่สงครามการค้ารอบใหม่ผุดขึ้นมาช่วงนี้อย่างไร นักลงทุนควรสบายใจหรือไม่สบายใจ

จริงๆ เราไม่เคยสบายใจมาตลอด ตั้งแต่มีประธานาธิบดี ชื่อ โดนัลด์ ทรัมป์ จะเห็นว่า เป้าหมายการโจมตีในเชิงนโยบายกับต่างประเทศของตัวสหรัฐอเมริกาเองพุ่งเป้าไปที่จีนเป็นสำคัญ ด้วย 3 เหตุผลสำคัญคือ ประการแรก สหรัฐอเมริกาขาดดุลการค้ามากกับจีน ประการที่สอง เทคโนโลยีของจีนนั้น มีความล้ำหน้าเหนือสหรัฐอเมริกาไปแล้ว และประการที่สามก็คือ จีนใช้เครื่องมือ Soft Power เขาเรียกว่าอำนาจหนุน ในด้านเศรษฐกิจโดยการสร้างพันธมิตรรอบด้าน ทำให้ Balance ดุลอำนาจของโลกนั้นเปลี่ยนไป

ด้วย 3 เหตุผลนี้ ถ้าจีนทำสำเร็จ 2 ใน 3 ข้อ หรือแม้ 1 ใน 3 ข้อ บัลลังก์ของการเป็นมหาอำนาจเศรษฐกิจโลกที่สหรัฐอเมริกามีมาตั้งแต่ยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 ย่อมมีความสั่นสะเทือน

ดังนั้น สิ่งที่เราเจอในแง่ของความเสี่ยงเป็นสิ่งที่เราเลี่ยงไม่ได้ และเราจะเจอความเสี่ยงแบบนี้ไปตลอดจนกว่าเราจะเห็นว่าผู้ชนะสงครามการค้าและการเป็นมหาอำนาจโลกที่แท้จริงแล้วจะเป็นสหรัฐอเมริกาหรือจีน ในขณะที่เราเห็นว่าผู้ท้าชิงอย่างจีนชนกับสหรัฐอเมริกาด้วย Soft Power มาตลอด อย่างเช่น บริษัทของสหรัฐอเมริกาที่จะเข้าไปที่ฐานติดตั้งโรงงานในจีนเองจะต้องมีการถ่ายเทคโนโลยีจนวันนี้เราจะเห็นได้ว่าเทคโนโลยี 5G ของ Huawei นั้นมีความก้าวหน้ามากที่สุด ในขณะที่เทคโนโลยี 6G ก็ทำแพลตฟอร์มรองรับไปแล้ว มีการไปวางโครงข่ายเทคโนโลยี 5G ให้กับฝรั่งเศส ทำสนธิสัญญากับทางรัสเซีย ในขณะที่เกาหลี ก็ใช้ตัวแพลตฟอร์ม 5G กับจีนด้วย… ตรงนี้ก็เป็นมุมหนึ่ง

ส่วนอีกมุมหนึ่ง ตอนที่เศรษฐกิจโลกมีปัญหา จีนก็ใช้เครื่องมือที่เรียกว่า Asian Bank Development หรือธนาคารกลางเอเชีย โดยที่จีนเป็นคนใส่เงินเข้าไป คือทำหน้าที่คล้ายกับ IMF ให้ปล่อยกู้เป็น Soft Loan กับบริษัทหรือประเทศที่มีปัญหา ซึ่งเงื่อนไขในการให้เงินกู้นั้นทาง ABD ที่จีนเป็นโต้โผ เงื่อนไขนั้นจะเบากว่า และประเทศที่มีปัญหาสามารถเข้าแหล่งเงินทุน โดยมีเงื่อนไขในการจ่ายดอกเบี้ย เงื่อนไขอื่นๆ ที่เบากว่า IMF ค่อนข้างเยอะ ฉะนั้นทำให้จีนดึงอำนาจมาจาก IMF ที่อเมริกาเป็นผู้ใส่เงินเยอะเข้าไป

กลายเป็นว่าประโยชน์ของการที่ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลกจากวิกฤตโควิด-19 ครั้งนี้ กลายเป็นว่า เงินทุนของโลกนั้น IMF ไม่ได้ support เท่าที่ควร ตรงนี้เป็นเกมของจีนเขา


กลับมาที่เรื่องการเลือกตั้งสหรัฐ ไม่มีประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาคนไหนในอดีตจนถึงปัจจุบันนี้ที่มองจีนเป็นศัตรูได้อย่างโฉ่งฉ่าง เท่ากับ โดนัลด์ ทรัมป์ ถ้าเราไปดูโพลล์หลายสำนัก ทั้งรอยเตอร์, CNBC, FoxNew, NBC ทั้งหลายแหล่ ปรากฏว่าตั้งแต่วันที่เดโมแครตประกาศแล้วว่าผู้ท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดี คือ โจ ไบเดน ปรากฏว่าคะแนนเสียงที่มีการสำรวจโพลล์มา โดนัลด์ ทรัมป์ แพ้หมดทุกโพลล์เลย โดยเป็นการแพ้มากที่สุดในประวัติศาสตร์ แต่ก็อย่างว่าตอนที่ โดนัลด์ ทรัมป์ แข่งกับ ฮิลลารี คลินตัน ในสมัยแรกโพลล์ทุกสำนักก็บอกว่า โดนัลด์ ทรัมป์ แพ้หมดเหมือนกัน แล้วก็พลิกโผนะ แต่ว่ารอบนี้ส่วนตัวผมคิดว่าการทำโพลล์ที่มีมิติที่ละเอียดมากขึ้น และมีความแม่นยำที่สูงขึ้นกว่าครั้งก่อน ก็ต้องดูว่าการประเมินครั้งนี้จะผิดพลาดแบบครั้งก่อนหรือไม่ ยิ่งพอเกิดวิกฤตโควิด-19 ตอนแรก โดนัลด์ ทรัมป์ ก็ว่าเป็นเชื้อไวรัสธรรมดา สักพักหนึ่งพอคนของสหรัฐอเมริกาติดเชื้อเยอะๆ มากขึ้น ก็พูดเป้าโจมตีว่าจีนเป็นผู้ปล่อยเชื้อโรคร้าย


คราวนี้คนที่มองอย่างเป็นกลาง ตกลงเราจะเชื่อคนอย่าง โดนัลด์ ทรัมป์ ได้หรือเปล่า ดังนั้นในแง่ของการเมือง เมื่อเราเลือกใครไปแล้วเรามักจะปักหมุด ปักใจเลือกไปแล้ว ก็จะหาเหตุผลมาสนับสนุน เช่นเดียวกันกับคนที่เป็นสมาชิกพรรครีพับลิกัน ประชาชนที่เลือกพรรครีพับลิกัน ไม่ว่าประธานาธิบดีจะเป็นใคร อย่างไร เมื่อถึงช่วงเลือกตั้งเดือนพฤศจิกายน เขาก็คงเลือก โดนัลด์ ทรัมป์หมดเลย แต่คนที่เป็นเดโมแครต เห็นอย่างนี้ก็ยิ่งรักเดโมแครต อยากให้ โดนัลด์ ทรัมป์ ออกไป ส่วนคนที่ก่อนหน้านี้เป็นกลางแบบเลือกใครก็ได้ เขาอาจจะเริ่มสวิงไปหาเดโมแครตมากขึ้น เป็นเรื่องปกติ

ตอนนี้มันเลยทำให้สิ่งที่ เราเจอตอนนี้ มีแรงกดดัน เรียกว่า “ความเสี่ยงทางการเมืองในเชิงภูมิรัฐศาสตร์” สูงมากขึ้นมันเป็นเพราะ โดนัลด์ ทรัมป์ คะแนนตกต่ำมากที่สุดนับตั้งแต่ตัวเองเข้ามาเป็นประธานาธิบดีเพราะบริหารจัดการโควิด-19 ไม่ดี

ดังนั้นถ้า โดนัลด์ ทรัมป์ อยากได้คะแนนเสียงกลับมา เขาต้องหาศัตรูมาเพื่อให้ประชาชน สหรัฐอเมริกา ร่วมใจกันให้ได้ ซึ่งศัตรูคนนั้นคนที่เราเห็นก็คือจีนนั่นเอง เพราะฉะนั้น ทุกๆ สิ่ง ที่ทำโควิด-19 ที่มีปัญหาก็โทษจีนว่าเป็นคนปล่อยเชื้อ เศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาที่มีปัญหาก็โทษ ว่าเป็นเพราะบริษัทในสหรัฐอเมริกาเป็นทุนของจีน และโทษจีนทรานเฟอร์เทคโนโลยีไป บริษัทจีนที่มาลงทุนในสหรัฐอเมริกา จดทะเบียนในตลาดหุ้นอเมริกาก็ไม่แฟร์ ก็เลยจะตั้งกำแพงภาษี แล้วจะ delete บริษัทจีนออกจากตลาดหุ้น

จะเห็นว่าวิธีการก็คือสร้างวาทกรรมทางการเมืองโดยการหาศัตรูมาคนหนึ่ง เพื่อให้มวลชนทุกคนเห็นเหมือนกันว่าศัตรูคนนั้นคือจีน

ถามว่ามันจะน่ากลัวหรือไม่ ถ้าเรามองอย่างคนนอกเลย ก็ว่าสิ่งที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ทำไปก็ดูตลก เราไม่ควรจะเชื่ออะไรเขามาก แต่เราก็เห็นแล้วว่าวาทกรรมแบบนี้ตั้งแต่ในอดีตสมัยฮิตเลอร์ สมัยสงครามเวียดนามเหนือใต้ เกาหลีเหนือใต้ มันก็เป็นมหาอำนาจขัดแย้งกันทั้งสิ้น มันจึงไม่ตลก

ในมุมหนึ่งที่เล่ามาทั้งหมด อยากจะบอกว่ามันควรกังวลจริงๆ...สิ่งที่จีนกำลังจะเจอครั้งนี้ จีนจะเจอศึกใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ เติ้ง เสี่ยวผิง ประกาศเปิดประเทศมา เพราะวันนี้สิ่งที่จีนอยากได้ถือเป็นเป้าหมายของ สี จิ้นผิง ซึ่งฉีกรัฐธรรมนูญไปแล้วว่าให้ตัวเองเป็นประธานาธิบดีของจีนได้โดยที่ไม่มีอายุก็คือเป็นจักรพรรดิองค์ใหม่ของจีนนั่นเอง…ด้วยมุมแบบนี้ ส่วนตัวผมคิดว่า สี จิ้นผิง เอง ในใจเขาลึกๆ คงคิดอยากให้จีนเป็นมหาอำนาจของโลกในยุคถัดจากนี้ไป...ส่วนตัวผมเชื่ออย่างนั้น

ดังนั้นเราอยู่ในยุคที่เราต้องระมัดระวังและกระจายความเสี่ยงการลงทุนให้ดี คือในมุมการลงทุนในจีนก็ยังมีโอกาสถ้าตัดปัจจัยที่เป็นประเด็นการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่การลงทุนทุกๆ อย่าง ดูในหลายมิติทั้งเรื่องของปัจจัยพื้นฐานทางระเบียบวินัยของคนในชาติ ทั้งโควิด-19 ที่แพร่ระบาดอยู่ในตอนนี้ มันดูเหมือนว่าเอเชียและจีนมีความน่าสนใจที่กระแสเงินทุนจะเข้าไปลงทุนมากกว่า

สิ่งที่เราเจอกันก็คือว่า นับตั้งแต่ตลาดอยู่จุดต่ำสุดในเดือนมีนาคมถึงตอนนี้ตลาดหุ้นที่สามารถรีบาวด์กลับมาได้ดีที่สุดคือตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา ขณะที่หุ้นฮั่งเส็งของฮ่องกงวันศุกร์ที่ 22 พฤษภาคมที่ผ่านมาก็ปรับลงแรง 5% กว่าเพราะข่าวการใช้กฎหมายควบคุมในพื้นที่ฮ่องกง ส่วนหุ้นจีนอย่างเซี่ยงไฮ้รีบาวด์ได้ช้ามาก ทั้งหมดนี้เป็นเพราะวาทกรรมและข้อกฎหมาย ข้อบังคับทุกอย่างที่สหรัฐอเมริกาทำต่อจีนนั้นมันทำให้ฐานทุนของโลกไม่แน่ใจว่าเขาจะอยู่ข้างจีนดีหรือเปล่า ลงทุนในจีนดีหรือเปล่า

ดังนั้นมองแค่ตรงนี้มันก็แปลว่าตอนนี้ยังไม่ใช่จังหวะการลงทุนเพิ่ม ใครมีอยู่ พอถือได้ แต่จะใส่เพิ่มหรือเปล่านั้นควรรอไปตอนเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาเลยจะดีกว่า

ขอกลยุทธ์การลงทุน ถ้าเป็นแบบนี้นักลงทุนไทยควรจะทำอย่างไรถือเงินสดเยอะที่สุด หรือถือหุ้น ถือหุ้นกู้ ทองคำอย่างไร

มันยากจริงๆ ในมุมที่ว่า ถ้าเราไม่ชอบ โดนัลด์ ทรัมป์ หรือสิ่งที่สหรัฐอเมริกาปฏิบัติต่อโลก ณ ตอนนี้ส่วนตัวคิดว่าคงเชิญชวนทุกคนว่าตลาดหุ้นจะ Out Perform ก็ยังเป็นตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา แต่พอพูดอย่างนี้คนที่ขายหุ้นสหรัฐอเมริกาออกไปหรือที่มองสหรัฐอเมริกาถัดจากนี้ก็คงทำใจยากนิดหนึ่ง แต่การลงทุนมันเป็นแบบนั้นก็คือเราเอาเรื่องของความรู้สึกหรือเราเอาใจของเราที่บอกว่าสิ่งไหนถูกสิ่งไหนผิด เอาไปวัดใช้กับการลงทุนไม่ได้ คือการลงทุนจะใช้ความรู้สึกไม่ได้...ฟันด์โฟลว์ของเงินมันเชื่อว่าหลังจากโควิด-19 ที่ผ่านมา เราเห็นอยู่แล้วว่า หุ้นหลายๆ ตัวเช่น Facebook, Amazon, Apple ยอดขายไม่ตกกำไรเริ่มเพิ่มขึ้น อย่าง Facebook กับ Amazon เอง เปิดโพรดักต์ตัวใหม่ Facebook Shop ออกมา ราคาหุ้นก็ทำ All Time High ตัว Amazon ราคาหุ้นก็ทำ All Time High ธุรกิจคลาวด์เขาก็ได้ประโยชน์ ตัวโควิด-19 นี้ มันเร่งให้ตัวเทคโนโลยีบริษัทที่เป็นเทคโนโลยีอยู่แล้วดีขึ้น คนมาอยู่ในเทคโนโลยีกันมากขึ้น

ประเด็นก็คือ บริษัทใหญ่ๆ ทางเทคโนโลยีดีๆ ของโลกนี้ มันมีที่อื่นบ้างหรือไม่ ที่ไม่ใช่สหรัฐอเมริกา ก็ต้องบอกว่ามันยากมากและยิ่งสหรัฐอเมริกาบอกว่าทางกฎหมาย จะ Delete บริษัทที่มาจดทะเบียนในแนสแด็ก หรือเอสแอนด์พี อย่างเช่นอาลีบาบา ไป่ตู้ ถ้าออกจากตลาดนิวยอร์กไปการที่คนจะเข้าถึงเงินทุน จะเข้าถึงบริษัทของจีนจะน้อยลงทันที เพราะฉะนั้น ทุกๆ อย่างตอนนี้ ที่เป็นนโยบายของสหรัฐอเมริกามันทำให้หุ้นเทคโนโลยีของสหรัฐอเมริกาน่าสนใจ

แต่ว่าส่วนตัวเชื่อว่าหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐอเมริกายังพอซื้อได้ในสัดส่วน 10-20% ของพอร์ต ที่เหลือก็คิดว่าพยายามลงทุนอยู่ในทองและตราสารหนี้ไว้ก่อน จนกว่าเราจะเห็นการเลือกตั้งของสหรัฐอเมริกาเสร็จ แล้วถ้าเกิดการพลิกล็อกจริงๆ ผลเลือกตั้งเป็น โจ ไบเดน ของพรรคเดโมแครต ชนะขึ้นมา ส่วนตัวคิดว่าการที่สหรัฐอเมริกาจะตั้งกำแพงภาษี ทำเทรดวอร์ หรือเปิดหน้าชกกับจีนตรงๆ จะน้อยลง เพราะนโยบายของเดโมแครตที่ผ่านมาเขาไม่เคยทำเช่นนั้น ซึ่งถ้าถึงเมื่อนั้นฟันด์โฟลว์ของโลกอาจจะไหลไปจีน แต่ตอนนี้คิดว่ายังอยู่ ที่สหรัฐอเมริกา

อย่างไรก็ดีในเรื่องของทอง ก็ยังคงให้มีสัดส่วนการลงทุน 20% ของพอร์ต ส่วนตัวคิดว่าด้วยความเสี่ยงของโลกแบบนี้ มองว่าจะให้โอกาสที่ทอง ซึ่งปีนี้เราจะเห็นราคาทองที่ประมาณ 1,800 ถึง 1,900 ดอลลาร์ต่อออนซ์


ส่วนของการลงทุนในหุ้นไทยควรมีกลยุทธ์อย่างไร

คิดว่าประมาณการ GDP ที่แบงก์ชาติที่ออกมาว่าปี 2563 นี้ติดลบ 5.4% แต่ผลคือไตรมาส 1/2563 ติดลบ 1.8% ก็คาดว่าไตรมาส 2 นี้น่าจะติดลบหนักกว่าไตรมาส 1 และทำให้ Total GDP ปีนี้ติดลบมากกว่า 7% ส่วนตัวไม่แน่ใจตลาด เพราะเห็นว่าตลาดหุ้นไทยยืนขึ้นมาเหนือ 1,300 ได้ จนถึงช่วงล่าสุดที่ผ่านมา ฉะนั้นคิดว่าอาจจะต้องรอดูประมาณการของ GDP จากแบงก์ชาติอีกรอบหนึ่งก่อน เพราะว่าการที่แบงก์ชาติเพิ่งจะลดดอกเบี้ยล่าสุดรอบนี้เหลือ 0.5% ก็แสดงว่า เขาเห็นสัญญาณแล้วว่าไตรมาสที่ 2 จะเป็นไตรมาสที่หนักจริงๆ เพราะว่าตัวเลขส่งออก ทั้งฝั่งยุโรปและสหรัฐอเมริกายังฟื้นไม่ได้ เพราะว่าเรื่องโควิด-19 ยังระบาดที่โน่นอยู่ค่อนข้างเยอะ เว้นแต่จะเปิดเมืองได้ภายในเดือนมิถุนายนนี้อาจจะทำให้ตัวเลขส่งออกมีการปรับประมาณการดีขึ้นในช่วงไตรมาส 3 และไตรมาส 4 เมื่อนั้นอาจจะมีแรงส่งกลับเข้ามาบ้าง

36 views
bottom of page