สถานการณ์ชายแดน และภาวะเศรษฐกิจกดดันตลาดหุ้นไทย
- Dokbia Online
- 18 hours ago
- 1 min read

ยังมีความไม่แน่นอนสูง ! ตลาดหุ้นไทยยังคงมีแรงกดดันจากการปะทะกันตามแนวชายแดนระหว่างไทย-กัมพูชา โดยที่ล่าสุดประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ เรียกร้องให้ไทยและกัมพูชายึดมั่นในข้อตกลงหยุดยิงที่ทั้งสองฝ่ายมีการลงนามที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ หลังเกิดการปะทะกันตามแนวชายแดนของทั้งสองประเทศ ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวรายหนึ่งซึ่งให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวรอยเตอร์โดยไม่เปิดเผยชื่อ ระบุว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยังคงให้ความสำคัญต่อการรักษาสันติภาพระหว่างไทยและกัมพูชา และคาดหวังให้รัฐบาลไทยและกัมพูชาปฏิบัติตามคำมั่นสัญญาอย่างเคร่งครัดเพื่อยุติความขัดแย้งนี้
เช่นเดียวกับจีนที่ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน แถลงว่าจีนเรียกร้องให้กัมพูชาและไทยอดทนอดกลั้นและป้องกันไม่ให้สถานการณ์บริเวณชายแดนลุกลามบานปลายไปมากกว่านี้ โดยถ้อยแถลงดังกล่าวมีขึ้นหลังจากที่สถานการณ์ความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาปะทุขึ้นอีกครั้ง โดยจีนจะยังคงดำเนินบทบาทที่สร้างสรรค์ต่อไปในการคลายความตึงเครียดและบรรเทาสถานการณ์ตามวิถีทางของตนเอง ขณะที่แนวโน้มเศรษฐกิจไทยในภาพรวมยังอ่อนแอ โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดเศรษฐกิจไทยปี 2569 จะเติบโต 1.6% ชะลอลงจาก 2% ในปี 2568 ตามอุปสงค์ต่างประเทศและในประเทศชะลอลง ขณะที่การส่งออกคาดว่าจะหดตัวส่งผลให้แรงขับเคลื่อนสำคัญของเศรษฐกิจไทยลดลง การท่องเที่ยวยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ การบริโภคของครัวเรือนได้รับแรงหนุนจากการใช้จ่ายและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่ลดลงตามข้อจำกัดทางการคลัง
มองคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ลดดอกเบี้ยต่ออีก 1 ครั้ง แต่ยังต้องติดตามความไม่แน่นอนทางการเมือง สำหรับภาพเศรษฐกิจไทยปีนี้ต่อเนื่องไปถึงปีหน้ายังมีความยังไม่แน่นอนเรื่องทางการเมือง ประกอบกับปีนี้เจอปัญหาต่างๆ ทั้งการท่องเที่ยว และน้ำท่วม จึงคาดว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (แบงก์ชาติ) ลดดอกเบี้ยอีก 1 ครั้งในปีนี้ ส่วนในปี 2569 น่าจะเห็นลดดอกเบี้ยอย่างน้อย 1 ครั้ง
ส่วนผลกระทบต่อ GDP จากสถานการณ์น้ำท่วมภาคใต้ และสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา อาจทำให้ GDP ลดลงเล็กน้อย ภาพของ GDP ภาคใต้อาจลดลงไม่มาก แต่จะมี sentiment ต่อเนื่องเรื่องการฟื้นตัวของการท่องเที่ยว ส่วนประเด็นเรื่องกัมพูชามองว่าตอนนี้ความสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจลดลงไปมากแล้ว คงไม่สร้างความกังวลมากกว่านี้ แต่ผลกระทบจากการปิดด่าน จะทำให้สินค้าและบริการบางอย่างติดปัญหา ซึ่งในส่วนนั้นอาจจะมีผลกระทบเล็กน้อย ในส่วนของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล จะเป็นแรงส่งในช่วงปลายปีได้มากน้อยแค่ไหน ทั้งคนละครึ่งเฟสต่อไป และมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวเมืองรอง คาดว่าคงมีผลระดับหนึ่งประมาณ 0.1-0.2% โดยหักลบกับสถานการณ์น้ำท่วมที่หาดใหญ่แล้ว ทั้งนี้ อีกส่วนที่กังวลคือต่างชาติยกเลิกการมาเที่ยวไทยจากการที่ไทยรบกับกัมพูชาอีกรอบหนึ่ง
สำหรับปัจจัยที่ต้องจับตาต่อเนื่องจากปีนี้ถึงปีหน้า คือนโยบายของรัฐบาล และการยุบสภา ซึ่งต้องรอดูว่านโยบายใหม่จะมีความต่อเนื่องหรือไม่ สำหรับประเด็นเรื่องการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ในอนาคตอย่างไรก็คงต้องขึ้น VAT เพราะจากการใช้จ่ายของประเทศไทยต้องหารายได้เพิ่ม แต่ไม่จำเป็นต้องขึ้นทุกอย่าง สามารถเว้นปัจจัย 4 ได้ ดังนั้นจะไม่กระทบกลุ่มคนระดับล่างที่มีรายได้น้อย
ในส่วนของตลาดหุ้นไทยที่ปีนี้ตลาดหุ้นไทยเผชิญแรงกดดันจากหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นภาวะเศรษฐกิจ การเมืองในประเทศ ภาษีสหรัฐ ข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา และน้ำท่วมหลายพื้นที่ โดยเฉพาะที่หาดใหญ่ ซึ่งมีมูลค่าความเสียหายสูงมากและกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจ ขณะที่ในปีหน้าปัจจัยต่างๆ เหล่านี้จะยังฉุดรั้งตลาดหุ้นไทยอยู่ แต่ยังมีความหวังจากการเมืองที่จะชัดเจนขึ้นหลังการเลือกตั้ง โดยนายกรัฐมนตรีมีแผนยุบสภาเดือน ม.ค. 69 จากนั้นจะมีการเลือกตั้งปลายเดือน มี.ค.และรัฐบาลใหม่น่าจะเริ่มทำงานปลายเดือน พ.ค.-ต้นเดือน มิ.ย. 69
ตลาดหุ้นสหรัฐดี ส่วนเอเชียยังเสี่ยง ! สถานการณ์ของตลาดหุ้นเอเชียยังน่ากังวล โดยเฉพาะ
จีน ที่ล่าสุดสำนักงานสถิติจีน (NBS) เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ของจีน ซึ่งเป็นมาตรวัดต้นทุนสินค้าจากหน้าโรงงาน ปรับตัวลดลง 2.2% ในเดือน พ.ย. 68 เมื่อเทียบเป็นรายปี หนักที่คาดการณ์ไว้ว่าจะลดลง 2% ทั้งยังลดลงต่อเนื่องหลังจากที่ลดลง 2.1% ในเดือน ต.ค. 68 ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนให้เห็นความท้าทายสำคัญสำหรับผู้กำหนดนโยบายของจีน ในการฟื้นฟูอุปสงค์ภายในประเทศ ท่ามกลางความตึงเครียดทางการค้าที่ยังคงยืดเยื้อ
โดยนักเศรษฐศาสตร์เตือนว่า แรงกดดันจากภาวะเงินฝืดในระบบเศรษฐกิจจีนจะยังคงอยู่ต่อเนื่องไปจนถึงปีหน้า ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจใหม่ๆ เพื่อผลักดันดีมานด์ โดยคณะกรรมการถาวรประจำกรมการเมือง (โปลิตบูโร) ของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน เน้นย้ำถึงการกระตุ้นอุปสงค์ภายในประเทศในปี 2568 แต่ก็ส่งสัญญาณถึงการระมัดระวังในการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งท่าทีดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่าทางการจีนกำลังสร้างสมดุลระหว่างข้อเรียกร้องให้ดำเนินนโยบายการคลังและการเงินที่ผ่อนคลาย กับความจำเป็นในการบริหารจัดการความเสี่ยงทางการเงิน ข้อดีสิ่งหนึ่งคือการที่ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของจีน ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อ ขยายตัว 0.7% ในเดือน พ.ย. 68 เมื่อเทียบเป็นรายปี ทำสถิติสูงสุดในรอบเกือบสองปี หรือนับตั้งแต่เดือน ก.พ. ปีที่แล้ว เพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากเดือน ต.ค. 68 ที่ขยับขึ้น 0.2% และเป็นไปตามการคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ ทั้งนี้นักเศรษฐศาสตร์เตือนว่า แรงกดดันจากภาวะเงินฝืดในระบบเศรษฐกิจจีนจะยังคงอยู่ต่อเนื่องไปจนถึงปีหน้า เนื่องจากวิกฤตภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ยืดเยื้อและตลาดแรงงานที่อ่อนแอ ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ฉุดรั้งการใช้จ่ายของภาคครัวเรือน ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจใหม่ๆ เพื่อผลักดันดีมานด์
ด้านคณะกรรมการถาวรประจำกรมการเมือง (โปลิตบูโร) ของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน เน้นย้ำถึงการกระตุ้นอุปสงค์ภายในประเทศในปี 2568 แต่ก็ส่งสัญญาณถึงการระมัดระวังในการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยท่าทีดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่าทางการจีนกำลังสร้างสมดุลระหว่างข้อเรียกร้องให้ดำเนินนโยบายการคลังและการเงินที่ผ่อนคลาย กับความจำเป็นในการบริหารจัดการความเสี่ยงทางการเงิน ตรงกันข้ามกับฝั่งสหรัฐที่ดีมาก โดยที่สำนักงานสถิติของกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยผลสำรวจการเปิดรับสมัครงานและอัตราการหมุนเวียนของแรงงาน (JOLTS) พบว่า ตัวเลขการเปิดรับสมัครงาน ซึ่งเป็นมาตรวัดอุปสงค์ในตลาดแรงงาน เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 7.67 ล้านตำแหน่งในเดือน ต.ค. 68 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 5 เดือน จากระดับ 7.66 ล้านตำแหน่ง และ 7.23 ล้านตำแหน่งในเดือน ก.ย. และ ส.ค. 68 ตามลำดับ ขณะที่อัตราการลาออกโดยสมัครใจ ลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 5 ปี
ทั้งนี้ ตัวเลข JOLTS นับเป็นข้อมูลที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ให้ความสนใจ โดยมองว่าเป็นมาตรวัดภาวะตึงตัวในตลาดแรงงาน ซึ่งเป็นปัจจัยในการพิจารณานโยบายการเงิน และอัตราดอกเบี้ยของเฟด ขณะที่ที่ออโตเมติก ดาต้า โพรเซสซิ่ง อิงค์ (ADP) เปิดเผยว่า การจ้างงานของภาคเอกชนสหรัฐเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 4,750 ตำแหน่งต่อสัปดาห์ในช่วง 4 สัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 15 พ.ย. 68 ซึ่งตัวเลขการจ้างงานดังกล่าวบ่งชี้การขยายตัวของตลาดแรงงานสหรัฐ หลังจากที่ ADP รายงานตัวเลขการจ้างงานของภาคเอกชนสหรัฐลดลงเฉลี่ย 13,500 ตำแหน่งต่อสัปดาห์ในช่วง 4 สัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 8 พ.ย. 68 สอดคล้องกับการที่สหพันธ์ธุรกิจอิสระแห่งชาติสหรัฐ (NFIB) แถลงว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของธุรกิจขนาดย่อมปรับตัวขึ้น 0.8 จุด สู่ระดับ 99.0 ในเดือน พ.ย. 68 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 3 เดือน และสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 98.4 โดยที่ดัชนีความเชื่อมั่นได้รับแรงหนุนจากคาดการณ์ยอดขายที่สูงขึ้น แม้ยังคงมีความกังวลเกี่ยวกับการขาดแคลนแรงงาน โดยเฉพาะแรงงานที่มีทักษะ หลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ใช้มาตรการกวาดล้างแรงงานผิดกฎหมาย
นอกจากนี้ เฟด สาขาแอตแลนตา เปิดเผยว่า แบบจำลองคาดการณ์ GDPNow ล่าสุดแสดงให้เห็นว่า เศรษฐกิจสหรัฐมีการขยายตัว 3.5% ในไตรมาส 3 ปี 2568 หลังจากเศรษฐกิจหดตัว 0.6% ในไตรมาส 1 และขยายตัว 3.8% ในไตรมาส 2
ในส่วนของกลยุทธ์ สำหรับการลงทุนระยะสั้น (ไม่เกิน 1 สัปดาห์) เน้น “อ่อนตัวซื้อลงทุน” สำหรับการลงทุนระยะกลาง (1-3 เดือน) ในลักษณะ Long-Only แนะนำ “เพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้นไปที่ระดับ 75% ของพอร์ต”
ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่ความเห็นส่วนตัวของผมนะครับ โปรดใช้วิจารณญาณ และศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนการตัดสินใจลงทุนด้วยครับ สำหรับการพูดคุยกันระหว่างสัปดาห์นอกจากทาง Facebook ที่ www.facebook.com/hippowealththailand และ e-mail ที่ hippowealththailand@gmail.com แล้ว แฟนๆ ยังสามารถติดตามมุมมองเกี่ยวกับการลงทุนจาก “นายหมูบิน” ได้ในรายการ “เซียนเศรษฐกิจ” ทาง FM 97.00 ทุกวันอาทิตย์ เวลา 14.00-16.00 น. เช่นเดิมครับ
ภาพประกอบ : การวิเคราะห์ทิศทางตลาดหุ้นไทยในทางเทคนิครายวัน (Daily)

Source: TQ


