ปัจจัยลบมีน้ำหนักมากกว่า ทั้งในและต่างประเทศ
- Dokbia Online
- Jun 20
- 2 min read

ความเสี่ยงหนักๆ กลับมาอีกครั้ง !
แนวโน้มในระยะสั้นๆ ของตลาดหุ้นโลกจะยังคงมีความผันผวนต่อไป จากประเด็นการสู้รบระหว่างอิสราเอลและอิหร่าน ขณะที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐได้เรียกร้องให้อิหร่านยอมจำนนโดยไม่มีเงื่อนไขก็ตาม แม้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ระบุเขายังไม่มีแผนที่จะสังหารผู้นำอิหร่านในตอนนี้ แต่การแสดงความเห็นของเขาสะท้อนให้เห็นถึงท่าทีที่แข็งกร้าวมากขึ้นต่ออิหร่าน ในขณะที่เขากำลังประเมินว่าสหรัฐจะเข้าไปมีส่วนร่วมในความขัดแย้งระหว่างอิหร่านและอิสราเอลในระดับที่ลึกขึ้นหรือไม่ อย่างไรก็ดีรายงานล่าสุดระบุว่า สหรัฐกำลังส่งเครื่องบินขับไล่เข้าไปประจำการในตะวันออกกลางเพิ่มเติม และขยายเวลาการประจำการของเครื่องบินรบอื่นๆ โดยนับจนถึงขณะนี้สหรัฐได้ดำเนินการเพียงเพื่อป้องกันตนเองท่ามกลางความขัดแย้งกับอิหร่านในปัจจุบัน รวมถึงการช่วยยิงสกัดขีปนาวุธที่พุ่งเข้าสู่ดินแดนอิสราเอล อย่างไรก็ดีโอกาสที่สงครามจะบานปลายมีความเป็นไปได้น้อยลง หลังรัฐบาลจีนเตือนว่าความขัดแย้งระหว่างอิหร่านกับอิสราเอลอาจขยายวงกว้างและสั่นคลอนเสถียรภาพในภูมิภาคตะวันออกกลาง หากยังยืดเยื้อและทวีความรุนแรง พร้อมย้ำว่าจีนจะเดินหน้าสื่อสารกับทุกฝ่าย และผลักดันให้เกิดการเจรจาเพื่อคลี่คลายวิกฤต ขณะเดียวกัน หวัง อี้ รัฐมนตรีต่างประเทศจีนได้โทรศัพท์หารือกับรัฐมนตรีต่างประเทศของอิสราเอลและอิหร่าน โดยแสดงความพร้อมที่จีนจะมีบทบาทเชิงสร้างสรรค์ในการคลี่คลายสถานการณ์ และย้ำว่าสิ่งเร่งด่วนคือ การยุติความขัดแย้งโดยเร็ว หันกลับมาใช้แนวทางทางการทูตเพื่อหลีกเลี่ยงความปั่นป่วนในภูมิภาค
อย่างไรก็ดีจีนระบุว่าการโจมตีของอิสราเอลที่มุ่งเป้าไปที่โครงสร้างพื้นฐานด้านนิวเคลียร์ของอิหร่าน เป็นการกระทำที่อาจนำไปสู่ผลลัพธ์ร้ายแรง พร้อมย้ำว่าจีนสนับสนุนอิหร่านในการปกป้องอธิปไตย และเรียกร้องให้ประเทศที่มีอิทธิพลต่ออิสราเอลเร่งดำเนินการอย่างจริงจังเพื่อฟื้นฟูสันติภาพ
ขณะปัจจัยทางเศรษฐกิจยังคงเปราะบางเช่นกัน หลังสำนักงบประมาณแห่งสภาคองเกรสสหรัฐ (CBO) เปิดเผยว่า ร่างกฎหมายภาษีและงบประมาณของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะทำให้สหรัฐขาดดุลเพิ่มขึ้นถึง 2.8 ล้านล้านดอลลาร์ ภายในช่วง 10 ปีข้างหน้า ทั้งนี้ร่างกฎหมายดังกล่าวซึ่งทรัมป์เรียกว่า เป็นฉบับที่ "สวยงามและยิ่งใหญ่" (One Big Beautiful Bill) ถือเป็นวาระสำคัญของรัฐบาล โดยครอบคลุมนโยบายหลายด้าน อาทิ การเก็บภาษี การควบคุมพรมแดน และปัญญาประดิษฐ์ (AI) อย่างไรก็ตาม ร่างกฎหมายนี้ได้ก่อให้เกิดการถกเถียงอย่างรุนแรงในกลุ่มสมาชิกสภา ว่าอาจยิ่งเพิ่มภาระหนี้สาธารณะให้กับประเทศ ทำให้ล่าสุดเมื่อร่างกฎหมายลดภาษีฉบับเรือธงของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้กลายเป็นความขัดแย้งที่พรรครีพับลิกันปะทะกันเอง หลังจากวุฒิสภาได้เสนอแก้กฎหมายในทิศทางที่สวนทางกับสภาผู้แทนราษฎร สร้างรอยร้าวภายในพรรคและอาจทำให้เป้าหมายการผ่านกฎหมายก่อนเส้นตายที่ตั้งไว้เองในวันที่ 4 ก.ค. 68 วันชาติสหรัฐอเมริกา กำลังมีความไม่แน่นอน โดยเฉพาะการที่วุฒิสภาเสนอกดเพดานการลดหย่อนภาษีท้องถิ่นลงมาเหลือเพียง 10,000 ดอลลาร์ ซึ่งต่ำกว่าฉบับของสภาล่างที่เคยอนุมัติไว้ที่ 40,000 ดอลลาร์อย่างมาก ประเด็นนี้สร้างความไม่พอใจให้สส.รีพับลิกันทันที เพราะกระทบฐานเสียงของตัวเอง
นอกจากนี้วุฒิสภายังจำกัดวงการลดหย่อนภาษีสำหรับเงินทิปและค่าล่วงเวลาให้แคบลง สวนทางกับฉบับของสภาล่างที่อนุญาตให้หักลดหย่อนรายได้จากทิปสำหรับผู้มีรายได้สูงถึง 160,000 ดอลลาร์ต่อปี ทั้งนี้สถานการณ์นี้เปรียบเหมือนการเดินบนเส้นด้ายของพรรครีพับลิกันที่มีเสียงข้างมากปริ่มน้ำในทั้งสองสภา และไม่สามารถเสียเสียงโหวตจากฝ่ายเดียวกันได้มากนัก ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นภายใต้แรงกดดันมหาศาล เพราะร่างกฎหมายนี้ยังพ่วงการเพิ่มเพดานหนี้สาธารณะอีก 5 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งหากไม่ผ่านสภาภายในฤดูร้อนนี้ สหรัฐอาจต้องเผชิญกับการผิดนัดชำระหนี้ครั้งประวัติศาสตร์ ในภาวะที่การเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐกำลังประสบปัญหามากขึ้นเรื่อยๆ
โดยล่าสุดกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดค้าปลีกร่วงลง 0.9% ในเดือน พ.ค. 68 เมื่อเทียบรายเดือน ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าลดลงเพียง 0.6% หลังจากลดลง 0.1% ในเดือน เม.ย. 68 โดยมีสาเหตุจากมาตรการเรียกเก็บภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้สร้างบ้านลดลง 2 จุด สู่ระดับ 32 ในเดือน มิ.ย. 68 และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 36 ทั้งนี้ดัชนีความเชื่อมั่นได้รับผลกระทบจากการดีดตัวขึ้นของอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนอง และความไม่แน่นอนของภาวะเศรษฐกิจสหรัฐ โดยการที่ดัชนีความเชื่อมั่นปรับตัวต่ำกว่าระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ถึงมุมมองทั่วไปที่เป็นลบ
เศรษฐกิจในภาพรวมไม่ดี ! ในส่วนของเศรษฐกิจประเทศอื่นๆ ล่าสุดเศรษฐกิจสหราชอาณาจักร (UK) กำลังเผชิญปัจจัยฉุดรั้งครั้งสำคัญ ทั้งจากกำแพงภาษีของสหรัฐ และต้นทุนภายในประเทศที่สูงขึ้น ส่งผลให้สมาพันธ์อุตสาหกรรมแห่งสหราชอาณาจักร (CBI) ซึ่งเป็นองค์กรธุรกิจชั้นนำ ต้องปรับลดคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) ของปี 2568 และ 2569 ลงอย่างมีนัยสำคัญ โดย CBI คาดว่าเศรษฐกิจปีนี้จะเติบโตเพียง 1.2% (จากเดิม 1.6%) และจะชะลอตัวลงอีกเหลือ 1.0% ในปี 2569 (จากเดิม 1.5%) โดยที่ปัจจัยสำคัญมาจากต้นทุนแรงงานในประเทศที่เพิ่มขึ้นหลังการปรับขึ้นเงินสมทบประกันสังคมและค่าแรงขั้นต่ำเมื่อเดือน เม.ย. 68 ซึ่งกระทบต่อแผนการจ้างงานและการลงทุนของภาคธุรกิจโดยตรง ขณะเดียวกัน กำแพงภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐก็สร้างความกังวลและส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นทางธุรกิจ แม้ผลกระทบโดยตรงต่อการส่งออก (ซึ่งมีสัดส่วนไปสหรัฐ ราว 7%) จะมีจำกัดก็ตาม ในขณะที่เศรษฐกิจชะลอตัว CBI คาดว่าเงินเฟ้อปีนี้จะยังสูงกว่าเป้าหมายของธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ก่อนจะลดลงสู่ระดับ 2.5% ในปี 2569
ด้านทิศทางดอกเบี้ย BoE คาดว่าจะยังคงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งหน้า ขณะที่ CBI ประเมินว่า BoE จะทยอยลดดอกเบี้ยนโยบายอย่างช้าๆ ลงสู่ระดับ 3.5% ภายในปลายปี 2568 จากปัจจุบันที่ 4.25% อย่างไรก็ดีแม้ภาพรวมระยะสั้นจะดูซบเซา แต่ CBI มองว่าการเติบโตในปี 2569 จะมีแรงขับเคลื่อนหลักมาจากการใช้จ่ายของภาคครัวเรือน ซึ่งจะได้รับอานิสงส์จากเงินเฟ้อที่ลดลงและต้นทุนการกู้ยืมที่ต่ำลง
ในส่วนของญี่ปุ่น ล่าสุดกระทรวงการคลังญี่ปุ่นเปิดเผยว่า ญี่ปุ่นขาดดุลการค้า 6.376 แสนล้านเยน (4.4 พันล้านดอลลาร์) ในเดือน พ.ค. 68 เนื่องจากการส่งออกรถยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์ไปยังสหรัฐ ร่วงลงอย่างหนัก โดยคาดว่าเป็นผลกระทบมาจากการที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ปรับขึ้นภาษีศุลกากร ส่งผลให้ญี่ปุ่นขาดดุลการค้าติดต่อกันเป็นเดือนที่สอง เนื่องจากยอดส่งออกโดยรวมปรับตัวลง 1.7% ในเดือน พ.ค. 68 เมื่อเทียบเป็นรายปี แตะที่ระดับ 8.13 ล้านล้านเยน ซึ่งเป็นการลดลงครั้งแรกในรอบ 8 เดือน โดยถูกกดดันจากการส่งออกไปยังสหรัฐร่วงลง 11.1% ขณะที่ยอดนำเข้าโดยรวมลดลง 7.7% แตะที่ระดับ 8.77 ล้านล้านเยน ซึ่งเป็นการปรับตัวลงติดต่อกันเดือนที่สอง สะท้อนให้เห็นถึงการลดลงของราคาน้ำมันดิบจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์และถ่านหินจากออสเตรเลีย
ทั้งนี้เมื่อพิจารณาเป็นรายประเทศ ญี่ปุ่นเกินดุลการค้ากับสหรัฐ มูลค่า 4.517 แสนล้านเยน ลดลง 4.7% เมื่อเทียบรายปี เนื่องจากการส่งออกลดลงติดต่อกันเป็นเดือนที่สอง สู่ระดับ 1.51 ล้านล้านเยน ขณะที่การนำเข้าลดลง 13.5% แตะระดับ 1.06 ล้านล้านเยน โดยยอดส่งออกรถยนต์ไปยังสหรัฐ ดิ่งลง 24.7% และยอดส่งออกชิ้นส่วนรถยนต์ลดลง 19% เมื่อพิจารณาในแง่มูลค่า ส่วนในแง่ปริมาณนั้น ยอดส่งออกรถยนต์ไปยังสหรัฐลดลง 3.9%
ขณะที่ล่าสุดธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 0.50% ซึ่งเป็นไปตามการคาดการณ์ของตลาด นอกจากนี้ BOJ ประกาศว่าจะชะลอความเร็วในการลดซื้อพันธบัตรรัฐบาลตั้งแต่เดือน เม.ย. 69 ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณว่า BOJ จะดำเนินการปรับนโยบายการเงินสู่ระดับปกติอย่างรอบคอบระมัดระวัง ทั้งนี้ภายใต้แผนล่าสุดนี้ BOJ จะลดการซื้อพันธบัตรลง 2 แสนล้านเยน (1.4 พันล้านดอลลาร์) ต่อไตรมาส จากปัจจุบันที่ 4 แสนล้านเยนต่อไตรมาส ซึ่งจะทำให้ยอดรวมของการซื้อพันธบัตรลดลงสู่ระดับประมาณ 2 ล้านล้านเยนในช่วงต้นปี 2570
ในส่วนของไทย ล่าสุดดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในเดือน พ.ค. 68 อยู่ที่ระดับ 88.1 ปรับตัวลดลง จาก 89.9 ในเดือน เม.ย. 68 โดยผู้ประกอบการกังวลเศรษฐกิจในประเทศเศรษฐกิจโลก สถานการณ์การเมืองในประเทศ ราคาน้ำมันและอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ ขณะที่สายงานวิจัยเศรษฐกิจและความยั่งยืน ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) ระบุว่า SCB EIC ยังคงประมาณการเศรษฐกิจไทย (GDP) ในปี 2568 ว่าจะเติบโตได้ 1.5% และยังอยู่ในระดับต่ำต่อเนื่องในปี 2569 ที่คาดว่า GDP ไทยจะเติบโตได้ 1.4% ซึ่งเป็นระดับต่ำกว่าที่ SCB EIC ได้เคยประเมินไว้ในช่วงต้นปี 2568 ว่าจะสูงกว่า 2%
ทั้งนี้ ในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 ถือว่าเศรษฐกิจไทยต้องเผชิญกับความท้าทายค่อนข้างมาก โดยคาดว่า GDP ในครึ่งปีหลังอาจจะเติบโตต่ำกว่า 1% ทำให้มีความเสี่ยงที่เศรษฐกิจไทยจะเผชิญกับภาวะถดถอยเชิงเทคนิค (Technical Recession) จากการส่งออก และการลงทุนที่จะแผ่วลง
สำหรับงบประมาณโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ในวงเงิน 1.57 แสนล้านบาท ทดแทนโครงการดิจิทัลวอลเล็ตนั้น นายยรรยง กล่าวว่า แม้จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ตรงจุดมากขึ้น แต่ผลต่อเศรษฐกิจจะเกิดขึ้นช้ากว่า และอาจยังไม่เพียงพอ โดย SCB EIC ประเมินว่าแรงส่งเศรษฐกิจจากการใช้จ่ายงบประมาณในปี 2569 จะแผ่วลง ขณะที่สัดส่วนหนี้สาธารณะของไทย มีแนวโน้มขึ้นไปชนเพดานที่ 70% ของ GDP ในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า ซึ่งจะเป็นข้อจำกัดของการเพิ่มงบกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า หากไม่มีการปฏิรูปด้านการคลังควบคู่ไปด้วย
ในส่วนของกลยุทธ์ สำหรับการลงทุนระยะสั้น (ไม่เกิน 1 สัปดาห์) เน้น “อ่อนตัวซื้อลงทุน” สำหรับการลงทุนระยะกลาง (1-3 เดือน) ในลักษณะ Long-Only แนะนำ “เพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้นไปที่ระดับ 75% ของพอร์ต”
ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่ความเห็นส่วนตัวของผมนะครับ โปรดใช้วิจารณญาณ และศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนการตัดสินใจลงทุนด้วยครับ สำหรับการพูดคุยกันระหว่างสัปดาห์นอกจากทาง Facebook ที่ www.facebook.com/hippowealththailand และ e-mail ที่ hippowealththailand@gmail.com แล้ว แฟนๆ ยังสามารถติดตามมุมมองเกี่ยวกับการลงทุนจาก “นายหมูบิน” ได้ในรายการ “เซียนเศรษฐกิจ” ทาง FM 97.00 ทุกวันอาทิตย์ เวลา 14.00-16.00 น. เช่นเดิมครับ
ภาพประกอบ : การวิเคราะห์ทิศทางตลาดหุ้นไทยในทางเทคนิครายวัน (Daily)

Source: TQ
Comments