ทิศทางของตลาดหุ้นทั่วโลกในสัปดาห์ที่ผ่านมายังคงได้รับปัจจัยหนุนจากข่าวความคืบหน้าการคิดค้นวัคซีนต้านเชื้อไวรัส COVID-19 หลังจากที่ล่าสุดบริษัท Moderna เปิดเผยว่าวัคซีนสำหรับต้านเชื้อไวรัส COVID-19 ซึ่งทางบริษัทผลิตขึ้นนั้น สามารถสร้างการตอบสนองด้านภูมิคุ้มกันได้อย่าง "แข็งแกร่ง" โดยระบุว่าผลการทดลองขั้นต้นในการใช้วัคซีนต้านเชื้อไวรัส COVID-19 กับผู้ป่วย 45 คนพบว่าผู้ป่วยทั้งหมดมีการตอบสนองด้านภูมิคุ้มกันในระดับที่แข็งแกร่ง และบริษัทกำลังจะเตรียมทดลองวัคซีนเฟส 3 หรือการทดลองในกลุ่มมนุษย์ขนาดใหญ่กว่า 30,000 คน แล้วภายในปลายเดือนนี้ แม้ว่าล่าสุดจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัส COVID-19 จะทั่วโลกทะลุ 13 ล้านคนเรียบร้อยแล้ว ขณะที่ WHO ออกมาเตือนว่าการระบาดในอนาคตอาจรุนแรงมากขึ้นในอนาคต และยังกล่าวอีกว่าหลายประเทศกำลังดำเนินไปในทิศทางที่ผิด
นอกจากนี้ตลาดหุ้นสหรัฐในฐานะตัวแทน หรือ Proxy ของตลาดหุ้นโลก ยังได้รับปัจจัยบวกจากผลประกอบการที่แย่น้อยกว่าคาดของกลุ่มธนาคารในสหรัฐ โดยที่ JP Morgan รายงานรายได้สุทธิออกมาที่ 4.7 พันล้านดอลลาร์ สูงกว่าที่คาดการณ์เอาไว้ประมาณ 3.3 พันล้านดอลลาร์ ขณะที่ Citigroup มีรายได้สุทธิ 1.3 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งสูงกว่าที่คาดการณ์เอาไว้เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม Wells Fargo รายงานการขาดทุน 2.4 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นการขาดทุนเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2551 นอกจากนี้ในด้านของเศรษฐกิจ ล่าสุด James Bullard ประธานเฟดสาขาเซนต์หลุยส์ ได้แสดงมุมมองในด้านบวกเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐ โดยคาดว่าอัตราว่างงานมีแนวโน้มลดลงอย่างมากในช่วง 6 เดือนข้างหน้า ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐ เริ่มมีทิศทางที่เป็นบวกขึ้นสะท้อนออกมาจากการที่ตัวเลข Headline CPI ของสหรัฐ เดือน มิ.ย. 2563 ดีดตัวขึ้น 0.6% ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือน ส.ค.2555 ยอดค้าปลีกของสหรัฐเพิ่มขึ้น 7.5% ในเดือน มิ.ย. 2563 สูงกว่าที่คาดการณ์ที่ระดับ 5.0% ตัวเลขค้าปลีกที่เพิ่มขึ้นสวนทางกับตัวเลขคนตกงาน ปัจจัยหลักที่ยอดค้าปลีกเพิ่มขึ้นคาดว่ามาจากการที่รัฐบาลสหรัฐแจกเงินให้เพิ่มพิเศษสัปดาห์ละ 600 ดอลลาร์ให้แก่คนที่ตกงาน ซึ่งน่าจับตามองเป็นอย่างมากในสิ้นเดือน ก.ค. 2563 เพราะจะเป็นช่วงที่สวัสดิการพิเศษนี้จะครบกำหนด (คนตกงานราว 30 ล้านคน)
สอดคล้องกับรายงาน Beige Book ของธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟดที่ระบุว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจของสหรัฐเริ่มฟื้นตัวขึ้น หลังจากหลายรัฐในสหรัฐผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์
ยังมีแรงต้านของการดีดตัวต่อ ! อย่างไรก็ดีในระยะต่อไป “นายหมูบิน” ยังคงมองว่าตลาดหุ้นโลกยังคงมีแรงต้านอยู่ ทั้งในด้านของการเมืองระหว่างประเทศจากการที่รัฐบาลอังกฤษออกมาระบุว่าชิ้นส่วนและอุปกรณ์ทุกชนิดของ Huawei จะต้องถูกลบออกจากประเทศให้หมดสิ้นภายในปี 2570 นอกจากนี้ยังสั่งแบนการสั่งซื้ออุปกรณ์รุ่นใหม่จากบริษัทของจีนที่เตรียมจัดส่งให้กับพวกในปีหน้า ขณะที่ในฝั่งของสหรัฐ ล่าสุดรัฐบาลสหรัฐได้จำกัดการออกวีซ่าให้กับพนักงานของบริษัทด้านเทคโนโลยีของจีน ซึ่งรวมถึงพนักงานของ Huawei โดยอ้างเหตุผลว่าบริษัทเหล่านั้นมีส่วนสนับสนุนรัฐบาลจีนในการละเมิดสิทธิมนุษยชน รวมทั้งการที่ประธานาธิบดีสหรัฐได้ออกคำสั่งเพิกถอนสถานะ Special Status ของฮ่องกงที่สหรัฐปฏิบัติต่อฮ่องกงแตกต่างจากจีน (the United States-Hong Kong Policy Act of 1992) และลงนามในกฎหมายคว่ำบาตรเจ้าหน้าที่ระดับสูงของจีนอันเนื่องมาจากประเด็นเรื่องการเมืองฮ่องกง (Hong Kong Autonomy Act (HKAA)) ที่สหรัฐได้กล่าวโทษจีนว่าได้ยึดอิสรภาพของฮ่องกงไป
ส่วนจีนได้ออกมาระบุว่าจะตอบโต้ หลังจากที่สหรัฐลงนามให้กฎหมายเพื่อยุติสถานะพิเศษทางการค้าระหว่างสหรัฐ-ฮ่องกง ซึ่งคาดว่าในอนาคตอันใกล้นี้จะมีการขึ้นภาษีสินค้าต่างๆ ภายในเมือง นอกจากนี้การที่ Joe Biden ผู้ซึ่งได้รับการเสนอชื่อจากฝั่ง Democrat เพื่อเข้าท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ 46 ของสหรัฐอเมริกาในเดือน พ.ย.นี้ ล่าสุดได้รับคะแนนเสียงเบื้องต้นนำ Donald Trump ห่างออกไปเรื่อย ๆ ตามข้อมูลจาก Poll สำรวจอย่างเป็นทางการในหลายรัฐของประเทศ ถือว่าเป็นอีกหนึ่งปัจจัยกดดันตลาดหุ้นสหรัฐด้วย สะท้อนออกมาจากผลสำรวจความเชื่อมั่นของนักลงทุนสหรัฐจาก AAII ที่ระบุว่าในสัปดาห์ที่ผ่านมา สัดส่วนนักลงทุนที่เชื่อว่าตลาดหุ้นสหรัฐในระยะ 6 เดือนข้างหน้ายังคงเป็นขาขึ้น หรือ Bullish ที่แม้จะเพิ่มขึ้น 3.64% เมื่อเทียบจากสัปดาห์ที่ผ่านมามาอยู่ที่ 30.80% แต่ยังคงต่ำกว่าสัดส่วนนักลงทุนที่เชื่อว่าตลาดหุ้นสหรัฐในระยะ 6 เดือนข้างหน้ากำลังกลับเป็นขาลง หรือ Bearish ที่เพิ่มขึ้น 2.73% เมื่อเทียบจากสัปดาห์ที่ผ่านมา มาอยู่ที่ 45.40%
ในส่วนของกลยุทธ์ สำหรับการลงทุนระยะสั้น (ไม่เกิน 1 สัปดาห์) ตราบใดที่ SET ยังกลับไปยืนเหนือ 1,430 จุด (+/-) ไม่ได้ เน้น “ดีดขึ้นขาย” ในลักษณะ “Short Against” เพื่อรอกลับมาทยอยสะสมหุ้น CPALL, BJC, BEM, EGCO, BCH, GPSC, BTS, HMPRO, AOT และ ADVANC อีกครั้ง สำหรับการลงทุนระยะกลาง (1-3 เดือน) ในลักษณะ Long-Only แนะนำ “ลดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นมาอยู่ที่ระดับ 25% ของพอร์ต”
ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่ความเห็นส่วนตัวของผมนะครับ โปรดใช้วิจารณญาณ และศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนการตัดสินใจลงทุนด้วยครับ สำหรับการพูดคุยกันระหว่างสัปดาห์นอกจากทาง Facebook ที่ www.facebook.com/wealthhuntersclub และ e-mail ที่ moobin.stockmania@gmail.com แล้ว แฟนๆ ยังสามารถติดตามมุมมองเกี่ยวกับการลงทุนจาก “นายหมูบิน” ได้ในรายการ “เซียนเศรษฐกิจ” ทาง FM 97 ทุกวันอาทิตย์ เวลา 14.00-16.00 น. เช่นเดิมครับ
ภาพประกอบ : การวิเคราะห์ทิศทางตลาดหุ้นไทยในทางเทคนิครายสัปดาห์ (Weekly)
Source: Wealth Hunters Club
Comments